4.ลาร่า: โอกาสที่ยอดเยี่ยมกลายเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด

ลาร่า

“เธอพูดเล่นใช่ไหม”

แอนเดรียส่ายหน้าแล้วเม้มปาก เธอผิดหวังและโกรธมาก ๆ เพราะทริปของเธอไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังไว้ ไบรอันไม่ได้ขอเธอแต่งงานอย่างที่เขาวางแผนไว้ อันที่จริง มันไม่มีการไปเที่ยวพักผ่อนสุดโรแมนติกอะไรทั้งนั้นเพราะทริปถูกยกเลิก ลองนึกภาพดูสิว่าฉันจะประหลาดใจแค่ไหนตอนที่แอนเดรียโผล่มาที่หน้าประตูบ้านฉันตอนเจ็ดโมงเช้าวันนี้ ฉันอุตส่าห์ตั้งตารอที่จะนอนตื่นสายแท้ๆ

“ทำไมล่ะ” แอนเดรียร้องออกมาพลางกอดผ้าห่มแนบอกแน่นขึ้น “ฉันอุตส่าห์หวังว่า... เขาไม่แม้แต่จะพยายามหาทางเลือกอื่นสำหรับทริปที่ถูกยกเลิกของเราเลยนะ! เขาก็แค่ยักไหล่แล้วบอกว่าจะไปส่งฉันที่บ้าน เธอเชื่อไหมล่ะ”

ฉันพยักหน้าแล้วทำเสียงเห็นอกเห็นใจขณะที่เธอยังคงบ่นถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ตาของฉันเริ่มจะปิดลงอีกครั้ง แต่ฉันก็รีบฝืนลืมตาขึ้น ปล่อยลมหายใจแผ่วเบา ฉันขยับตัวนั่งตรงขึ้นแล้วกะพริบตาไล่ความง่วง วันนี้กับพรุ่งนี้ฉันไม่มีงาน ถ้าฉันรู้ว่าจะมีแขกมาหาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ฉันคงไม่นอนดูหนังจนถึงตีหนึ่งเมื่อคืนนี้หรอก

“ลาร่า เธอฟังอยู่หรือเปล่า”

ตาของฉันตวัดไปมองแอนเดรีย ฉันพยักหน้าทันที “ฟังอยู่สิ ฟังอยู่”

“คนโกหก” เธอพึมพำพลางเม้มปาก “เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดสักคำเลยนี่! เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ได้”

ฉันส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เธอ “ฉันขอโทษนะ”

“เธอกังวลเรื่องบาร์เหรอ”

ฉันพยักหน้า

“ลาร่า...”

“นี่มันก็อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ ปกติปรับปรุงร้านมันไม่น่าจะนานขนาดนั้นนี่นา แอนเดรีย ถ้าเคนซี่ตัดสินใจไม่เปิดบาร์อีกเลยล่ะ” ฉันกลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาในคอ

แอนเดรียโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วสวมแขนโอบรอบคอฉัน เธอ กอดฉันแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็ค่อยๆ ผละออกแต่ยังคงวางมือไว้บนไหล่ฉัน ดวงตาของเธอสบกับตาฉัน

“ทำไมเธอดูกังวลจัง” เธอถาม “เรารู้มาหลายอาทิตย์แล้วนี่ว่าเขาจะขายร้าน มันไม่น่าแปลกใจเลยถ้าเคนซี่จะทำตามนั้นจริงๆ”

เคนซี่เคยบอกไว้ชัดเจนแล้วว่ามีความเป็นไปได้ เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าของใหม่จะให้พวกเราอยู่ต่อ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบาร์จะยังคงอยู่หรือไม่ อันที่จริง เขาบอกให้พวกเราเริ่มหางานใหม่ได้แล้ว

“มันเป็นเมืองเล็กๆ นะ” ฉันพูด รู้สึกแย่ “เราทั้งคู่ก็รู้ว่างานที่นี่มันมีจำกัด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคนรู้จักก็ไม่มีทางได้งานใหม่หรอก” ฉันกลืนน้ำลายเสียงดัง “ฉันชอบเมืองนี้นะ แอนเดรีย ฉันไม่อยากเก็บของย้ายที่อยู่อีกแล้ว”

“โธ่ ที่รัก” เธอถอนหายใจ “เราจะทำให้มันผ่านไปได้น่า ถ้าเราถูกบังคับให้ย้าย เราก็จะหาเมืองอื่นที่ดีพอๆ กับเมืองนี้ได้”

เราทั้งคู่รู้ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น อีกอย่าง ครั้งนี้แอนเดรียได้พบรักแท้ของเธอแล้ว เธอคงยอมทิ้งมันไปเพื่อฉัน แต่ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด แอนเดรียสมควรได้รับความสุข และฉันคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ถ้าทำให้เธอต้องทิ้งความสุขนั้นไปเพียงเพื่อจะมาลำบากกับฉันต่อ ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

“ฉันก็แค่คิดมากไปเองน่ะ” ฉันพูดพลางส่งยิ้มให้เธอ “เธอพูดถูกแล้วล่ะ ทุกอย่างมันจะโอเค”


ฉันลูบมือไปบนกางเกงสีดำพลางถอนหายใจออกมา ฉันประหม่าแต่ก็รู้ว่าสำคัญมากที่จะต้องไม่แสดงมันออกมา พลาดเพียงครั้งเดียวฉันก็จะถูกส่งกลับบ้านโดยไม่มีการลังเลใดๆ

“เธอแค่เสิร์ฟเครื่องดื่มแล้วก็ออกไป ไม่ต้องชวนคุย ห้ามอ่อยแขกด้วย ทำตามกฎพวกนี้ แล้วสิ้นคืนนี้ก็ได้เงิน” แคลร์สั่ง

มันก็ง่ายดีอยู่หรอก และทุกอย่างก็กำลังไปได้สวยจนกระทั่งฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นเข้า ฉันจ้องมองโครงหน้าด้านข้างของเธอได้เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะรีบขยับตัวทันที จะให้เธอเห็นฉันไม่ได้เด็ดขาด! ขณะที่ฉันรีบเดินฝ่าฝูงชนออกไป ฉันก็แอบเหลียวมองข้ามไหล่

ผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉันพอดี ฝีเท้าฉันชะงักไปเมื่อรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่ฉันกำลังหลบหน้าอยู่ แม่ของฉันอยู่ไกลจากที่นี่มาก หวังว่าแม่จะยังอยู่อีกซีกโลกนะ

เธอดูคล้ายแม่ฉันมาก แต่พอได้มองใกล้ๆ ฉันก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งต่างจากสีตาของแม่ฉันโดยสิ้นเชิง อีกอย่าง แม่ฉันผอมกว่านี้มาก ท่านดูสุขภาพย่ำแย่หลังจากติดยาและเล่นการพนันไม่หยุด

แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันอยู่ที่ไหน

ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันรู้สึกหวาดระแวงเพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผู้ชายคนนั้น ตั้งแต่คืนที่เขาคว้าตัวฉันไว้ ฉันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยมาตลอด ช่วงนี้ฉันต้องคอยเหลียวมองข้างหลังอยู่เรื่อย

“ลาร่า”

ฉันหันไปตามเสียงเรียก รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าทันทีเมื่อเห็นแคลร์รีบเดินตรงมาหาฉัน ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วฝืนยิ้มออกมา เธอหยุดยืนตรงหน้าฉันพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ฉันต้องการให้เธอขึ้นไปชั้นบน” เธอสั่ง “เดี๋ยวนี้เลย”

ฉันพยักหน้ารับ รีบเดินผ่านเธอแล้ววิ่งไปที่ลิฟต์ ฉันกอดถาดไว้แนบอก พลางยืนรอลิฟต์อย่างอดทน แล้วฉันก็สังเกตเห็นใครบางคนหยุดยืนอยู่ทางขวาของฉันเล็กน้อย มีคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ ฉันยืนสลับขาไปมาอย่างอึดอัด กำลังจะหันหลังกลับไปใช้บันไดแทนอยู่แล้วเชียว ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฉันก้าวเข้าไปข้างใน หันไปกดปุ่ม

สายตาฉันเหลือบไปมองคนที่ก้าวตามเข้ามาข้างหลัง แก้มฉันร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อสบตากับเขา ฉันถอยหลังจนแผ่นหลังชิดผนังลิฟต์ ไซลาสขยับไปพิงผนังอีกด้าน ขณะที่เขาก้มมองรองเท้าตัวเอง ฉันก็ถือโอกาสลอบมองสำรวจเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ไซลาสสวมสูทสีดำทับเชิ้ตสีขาวสะอาดตากับเนกไทสีน้ำเงิน ดูเหมือนสูทตัวนั้นจะสั่งตัดมาเพื่อรูปร่างสูงใหญ่ของเขาโดยเฉพาะ เสื้อเชิ้ตแนบสนิทกับแผงอกกว้างของเขา แสงไฟในลิฟต์สลัวเกินไป ฉันเลยมองเห็นรูปร่างเขาไม่ชัดเจนนัก

“คุณไม่ได้ทำงานที่บาร์แล้วเหรอ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น

ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมองเขา แก้มฉันร้อนผ่าวอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าเขาจับได้ว่าฉันแอบมอง ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะตอบ

“ยังทำอยู่ค่ะ พอดีบาร์ปิดปรับปรุงน่ะค่ะ” ฉันก้มหน้ามองพื้น “ฉันนึกว่าคุณออกจากเมืองไปแล้วเสียอีก”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

ฉันเหลือบมองเขา ก็เห็นเขากำลังมองฉันอยู่พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ฉันกระชับถาดในมือแน่นขึ้น ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นิ่งเงียบ การขยับตัวเล็กน้อยของเขาดึงความสนใจของฉัน ไซลาสสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉัน พร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์แบบเดิมประดับอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาของเขาสบประสานกับฉัน แต่คราวนี้เขาไม่หลบตาเหมือนเมื่อก่อน

ความเงียบเริ่มทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จนฉันอยากจะทำลายมันเต็มแก่ ฉันพูดอะไรไม่ออก เขาทำลายความเงียบลงก่อนที่ฉันจะหาคำพูดใดๆ ได้ทัน

“อยากจะหนีออกจากที่นี่ไปหาอะไรกินกันไหมครับ”

ฉันเบิกตากว้าง “อ-อะไรนะคะ”

“อยากไปหาอะไรกินกับผมไหมครับ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป