บทที่ 3

"ฉันนึกว่านายจะไม่มาแล้วซะอีก เพื่อนนายล่ะ ฉันนึกว่าเขาจะมากับนายด้วย!" ฉันพูดขณะก้าวขึ้นรถของเจค แล้วเขาก็เริ่มขับมุ่งหน้าไปยังไดมอนด์คลอว์ผับ

"ฉันต้องไปทำธุระมาน่ะ เดี๋ยวเขาตามไปเจอเราที่นั่น" เจคตอบ

"วันนี้ฉันได้ยินเรื่องซุบซิบที่โรงพยาบาลมา โคลอี้บอกว่าอัลฟ่าของฝูงนี้ฆ่าคนทุกคืนวันเพ็ญเหมือนเป็นเรื่องสนุกเลยล่ะ เธอบอกว่าเขากลายเป็นอสูรร้ายที่ควบคุมไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครทนอยู่ใกล้เขาได้ด้วย" ฉันเล่าให้เจคฟัง ปกติเวลากลับบ้าน เรามักจะคุยกันเรื่องราวในแต่ละวันของเราเสมอ

"งั้นเธอคงจะประหลาดใจน่าดู เพราะเรากำลังจะไปเจอแกมม่าของอัลฟ่า"

"ดีนะที่นายเตือนฉันก่อน ลองนึกดูสิถ้าฉันพูดเรื่องนั้นต่อหน้าเขา ฉันคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ ว่าแต่ไลลาบอกว่าเธอเจอเมทของเธอแล้วล่ะ"

เจคเม้มปากแน่น สูดหายใจลึกแล้วพูดว่า "ก็ดีสำหรับเธอนะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนั้น"

ฉันรู้สึกสงสารเจคจับใจ หมาป่าที่ไม่มีเมทเป็นอะไรที่น่าเศร้าที่สุด การรอคอยใครสักคนที่จะเข้ามาในชีวิตในอีกห้าวันหรือห้าปีข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันมองเห็นความเศร้าของเขาที่ยังไม่ได้เจอเธอ ฉันรู้ว่าตอนที่เขารู้ว่าฉันไม่ใช่เมทของเขา เขาก็ผิดหวังอยู่บ้าง มันคงจะดีมากถ้าเราเป็นเมทลิขิตกัน เพราะเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และเขาก็ไม่ต้องรอคอยใครสักคนที่ไม่มีกำหนดว่าจะปรากฏตัวเมื่อไหร่ เขาเป็นคนดีมาก ฉันหวังว่าเมทของเขาจะเห็นคุณค่าในตัวเขานะ

"นายจะต้องเจอเมทของนายแน่เจค การรอคอยมันจะคุ้มค่าในไม่ช้า!" ฉันพูด เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเศร้าๆ ขณะขับรถ

ความไม่แน่นอนว่าจะเจอเมทเมื่อไหร่นี่มันน่าเศร้าและทรมานใจ แต่ฉันยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่ในจุดนั้นแทนเขา การเป็นมนุษย์หมายความว่าฉันจะไม่มีวันรู้ว่าความรู้สึกของการเจอคู่แท้เป็นอย่างไร ความรู้สึกของการเป็นของใครสักคนที่พิเศษ ฉันอาจจะเป็นเมทของใครสักคนได้ด้วยซ้ำ ซึ่งมันแทบจะเป็นปาฏิหาริย์เลยนะ เพราะคนหมาป่าแทบจะไม่สามารถจับคู่กับมนุษย์ได้ ปกติแล้วพวกเขาจะปฏิเสธและเลือกเมทคนอื่น เมทที่ถูกเลือกจะไม่มีวันเป็นเมทลิขิต แต่สำหรับพวกเขาแล้ว อะไรก็ดีกว่าการมีเมทเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ฉันจะมีเมท ก็ยังมีความเสี่ยงที่เขาจะปฏิเสธฉันอยู่ดี ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดเรื่องนี้มากขนาดนี้ ฉันไม่เคยเดท ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันรู้สึกยังไง ฉันเก็บตัวเองไว้เพื่อใครสักคนที่พิเศษมาตลอด ถึงแม้ฉันจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ฉันก็อยากจะรอใครสักคนที่คู่ควรเสมอ และระหว่างที่รอ ฉันก็ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นคนที่ดีขึ้น และเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อแม่และฝูงของฉัน

"เคธี่ ไปกันเถอะ!"

พอฉันมองไปข้างๆ เราก็มาถึงแล้ว เจคจอดรถเรียบร้อยและกำลังเคาะกระจกหน้าต่างฝั่งฉันเรียกให้ลงไป "วันนี้เธอดูใจลอยนะ สงสัยพรุ่งนี้ฉันต้องจัดตารางออกกำลังกายให้หนักขึ้นซะแล้ว เธอจะได้มีสมาธิมากขึ้น" เขาแกล้งฉัน

"ฮ่าๆๆ ตลกมากเลยนะยะ เดี๋ยวฉันจะจำไว้ตอนทำกล่องข้าวกลางวันให้นายทั้งอาทิตย์เลยคอยดู" ฉันสวนกลับขณะที่เราเดินเข้าไปในไดมอนด์คลอว์ผับ

สถานที่นี้อบอุ่นสบายมาก ทางด้านขวามีพื้นที่ซึ่งบางวันในสัปดาห์จะมีนักดนตรีมาร้องเพลง การตกแต่งก็ดูรื่นเริงมีชีวิตชีวา พอเราเข้าไป เราก็ตรงไปที่โต๊ะที่เรานั่งกันเป็นประจำ

"เจค!"

ประตูเปิดผางออก และร่างหนึ่งก็เดินทอดน่องเข้ามา แผ่ทั้งความแข็งแกร่งและเสน่ห์ดึงดูดจนเต็มห้องด้วยตัวตนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ชายร่างสูงกล้ามใหญ่คนนี้เคลื่อนไหวด้วยความมั่นใจอันลื่นไหลที่เรียกร้องความสนใจ ผมสีน้ำตาลของเขายุ่งเหยิงอย่างไม่ตั้งใจ เป็นดั่งมงกุฎแห่งเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติ ขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ ฉันปฏิเสธไม่ได้เลย—ฉันว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในฝูงนี้

ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบคู่นั้น ซึ่งมีแพขนตาเป็นกรอบขับเน้นความรู้สึกอันแรงกล้าในแววตา จับจ้องมาที่ฉัน รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเขา และราวกับต้องมนตร์ ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ ความอบอุ่นของช่วงเวลานั้นระริกอยู่บนแก้ม จุดประกายให้ใบหน้าแดงซ่านทรยศความในใจเกินกว่าที่ฉันตั้งใจ

"หวัดดีแช้ด นี่เคธี่" เจคแนะนำด้วยรอยยิ้มรู้ทัน ราวกับกำลังสนุกกับพลังงานอันเขม็งเกลียวระหว่างฉันกับแช้ด คนทรยศ! เขาแกล้งผลักฉันเบาๆ ให้เป็นจุดสนใจ ดวงตาของเขาวิบวับ "เคธี่ นี่แช้ด เขาเป็นแกมม่าของฝูง" เขาเสริม คำพูดของเขาเลือนหายไปชั่วขณะเมื่อสายตาของแช้ดยังคงตรึงฉันไว้

ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ดูเหมือนจะซ่อนความลับบางอย่างไว้ แช้ดยื่นมือมาทักทาย ท่าทีที่ดูสบายๆ แต่ก็จงใจ ไม่ละสายตาไปไหนเลย ทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับนิ้วของฉัน แก้มของฉันก็ยิ่งแดงระเรื่อขึ้นไปอีก “ยินดีที่ได้รู้จักนะ นี่เองสินะเคธี่คนดัง” เขาพูด น้ำเสียงของเขามีเสน่ห์แบบสบายๆ ซึ่งยิ่งเพิ่มความน่าดึงดูดใจของเขาเข้าไปอีก “ผมชื่อแช้ด อ้อ เดี๋ยวนะ เจคบอกไปแล้วนี่นา” เขาพูดต่อพร้อมหัวเราะเบาๆ ขณะที่สายตาของเรายังคงประสานกันอยู่

“ด้วยความยินดีค่ะ แช้ด” ฉันตอบกลับไปได้แค่นั้น ถึงแม้ว่าสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตาของเขามันช่างทำให้ใจสั่นจนวอกแวก มีบางอย่างที่น่าสนใจในการที่เขาสบตาฉันราวกับว่าเขามองเห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็น “ฉันไม่กล้าถามเลยว่าเจคพูดอะไรไปบ้าง” ฉันละสายตาจากเขาแล้วหันไปมองเจคอย่างสงสัย และสังเกตเห็นว่าแช้ดยังคงจับมือฉันอยู่และมองมาที่ฉัน

“เขาพูดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นแหละ ผมนึกว่าคุณเป็นแฟนเขาซะอีก เห็นเขาพูดถึงคุณบ่อยมาก ผมดีใจนะที่รู้ว่าไม่ใช่ โดยเฉพาะเมื่อได้เจอคุณตัวเป็นๆ แบบนี้” รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นอีก เขายังคงจับมือฉันอยู่ ฉันพยายามจะดึงมือออก แต่ดูเหมือนเขาจะเคลิ้มไปกับสายตาของฉันและไม่ขยับปล่อยมือฉันเลย

“เราไปนั่งกันดีไหม สั่งอะไรหน่อยสิเคธี่ เอาเหมือนเดิมรึเปล่า” เจคพูดพลางวางมือบนไหล่ฉัน แช้ดสังเกตเห็นจึงปล่อยมือฉัน ดูจากสีหน้าแล้ว เขาดูหัวเสียเล็กน้อย

สองชั่วโมงผ่านไป เรากินดื่มกันเรียบร้อย และได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับแช้ดเยอะมาก เจคเองก็จงใจพูดถึงฉันทุกครั้งที่เขาพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเอง เจคไม่สนใจสีหน้า 'นายทำบ้าอะไรเนี่ย' ของฉันเลย แช้ดบอกว่าเขารอคอย 'เมท' (คู่แท้) ของเขามาสิบปีแล้ว จนถึงตอนนี้เขาคิดว่าเธอคงตายไปแล้ว เขาบอกว่าเขากำลังมองหาคนพิเศษเพื่อมาเป็น 'โชเซ่นเมท' (คู่ที่เขาเลือกเอง) ของเขา พอเขาพูดแบบนั้น ฉันถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เจคเป็นคนวางแผนนัดครั้งนี้!

ไอ้บ้าเอ๊ย! กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ฉันจะขยี้หัวหมอนั่นให้เละเลย

“งานเป็นยังไงบ้างคะ แช้ด” ฉันถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคำถามมากมายที่เขาถามเกี่ยวกับฉัน ซึ่งจะว่าไป เจคก็ไม่หยุดตอบแทนฉันเลย

“ก็...ค่อนข้างวุ่นวายครับ เรามี 'อัลฟ่า' (จ่าฝูง) ที่รับมือยากหน่อย แต่เขาก็เก่งมาก ผมอยู่ข้างกายเขาเสมอ แต่คนที่ติดตามเขามากที่สุดคือเจสัน 'เบต้า' (รองจ่าฝูง) ของฝูง เบต้าเจสันเชื่อในการแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยกำลัง แต่ผมเชื่อในการหาทางออกที่ชาญฉลาดกว่า!” เขาพูดแล้วพยักหน้าให้เจค

“อ๋อ งั้นคุณก็ทำงานที่ศูนย์ฝึกพิเศษของเจคด้วยเหรอคะ” ฉันถาม และทันทีที่ฉันพูดจบ เขาก็หันมาสนใจฉัน

“ใช่ครับ ผมสอนคลาสของเจคเมื่อเทอมที่แล้ว และตอนนี้ผมก็กำลังฝึกเขาในฐานะลูกศิษย์ของผม” เขาพูดถึงเจคอย่างภาคภูมิใจ

เราคุยกันต่ออีก 2 ชั่วโมง และหยุดก็เพราะผับกำลังจะปิด ตอนที่เราจะลากลับ แช้ดขอเบอร์ฉันแล้วบอกว่าเขาอยากจะทำความรู้จักฉันให้มากขึ้น พอเขาพูดแบบนั้น หน้าฉันก็แดงก่ำจนเหมือนมะเขือเทศทันที จากนั้นเขาก็ได้เบอร์ฉันไป แล้วเราก็กล่าวลากัน

“ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายหลอกให้ฉันมาเดตโดยไม่บอกกันสักคำเลยนะเจค! นายนี่มันเป็นอะไรไป ปกตินายไม่เป็นแบบนี้นี่นา” ฉันพูดขณะที่เราขึ้นรถ

“เคธี่ เธอเป็นคนสำคัญมากคนหนึ่งในชีวิตฉันเลยนะ ฉันมองเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ ตอนที่ฉันเจอแช้ด ฉันเริ่มชื่นชมเขา โดยเฉพาะหลังจากรู้ว่าพวกเธอมีอะไรเหมือนกันเยอะมาก ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะดีใจขนาดนั้นที่ได้เจอเธอ ฉันสาบานเลย! ฉันไม่รู้ว่าเขาจะขอเบอร์เธอแล้วพูดเรื่องเมทของเขา” เขาพยายามแก้ตัว

“ไม่น่าเชื่อเลย! นายนี่มันขายฉันเหมือนฉันสิ้นไร้ไม้ตอกอยากมีใครสักคนขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันตะคอกใส่เขา

“เคธี่ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ดูเหมือนเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายกระตือรือร้นในสถานการณ์นี้ ฉันแค่คิดว่าเธอน่าจะให้โอกาสเขา เขาเป็นคนดีนะ แล้วฉันก็แค่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอ คิทแคท” เขาพูดชื่อเล่นฉันพลางยิ้ม ส่วนฉันก็ได้แต่กลอกตา

“เขาก็...น่ารักดีนะ...” ฉันพูดเบาๆ

“ฉันว่าแล้ว! ฉันรู้ว่าเธอต้องชอบเขาแน่ๆ” ฉันหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขาพูดต่อ “ฉันไม่มีทางแนะนำเขาให้รู้จักหรอก ถ้าฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนที่จริงจังได้น่ะ คิทแคท”

ตลอดทางกลับอพาร์ตเมนต์ เรายังคงคุยกันเรื่องแช้ดไม่หยุด เขาส่งข้อความมาหาฉันทางมือถือ

ผมเมมเบอร์คุณแล้วนะ เจ้าหญิง การได้เจอคุณเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงนี้เลย!

ฉันอ่านมันด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้า โอเค ฉันรู้ว่ามันเลี่ยนไปหน่อย แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่ามีคนสังเกตเห็นฉัน คนที่ดูเหมือนจะคุ้มค่าที่จะใส่ใจ

และแล้ว ในชั่วขณะที่ดูเหมือนไม่มีอะไร การพบเจอกับแช้ดก็ได้พลิกผันไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด กลายเป็นบางสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดฝันมาก่อน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป