บทที่ 5
ไคเดน
การบัญชาการเหล่าคนหมาป่าทั้งหมดในประเทศคือสิ่งที่ท่านพ่อต้องการให้ข้าทำอย่างแท้จริง เมื่อข้ารู้ว่าอัลฟ่าคิงสิ้นชีวิตลงหลังจากครองอำนาจมากว่า 200 ปี ความคิดเดียวของข้าคือตำแหน่งใหม่นี้จะต้องเป็นของข้า
ของข้าแต่เพียงผู้เดียว
ข้ารู้ว่าข้าสามารถชนะการประลองและได้รับการสวมมงกุฎ และจะไม่มีผู้ใดขวางทางข้าได้ ข้าจะทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันทุกรายการ ข้ายินดีใช้วิธีการใดก็ตามที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใด
ข้าต้องการเอาใจท่านพ่อมาโดยตลอด เขาคือบุคคลที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จัก ท่านพ่อมักจะผลักไสข้าไปอยู่ในสถานการณ์รุนแรงสุดขั้วเสมอ แม้กระทั่งก่อนที่ทรอย หมาป่าในตัวข้า จะปรากฏตัวเมื่อข้าอายุ 12 ปี ตั้งแต่จำความได้ ข้าต้องฝึกฝนไม่หยุดหย่อนและรับมือกับคำขู่และการลงโทษของท่านพ่อเสมอ
‘ฆ่าพวกมันเสีย’ ‘อย่าปรานีใคร’ ‘ทุกคนคือศัตรูของเจ้า’ ‘แทงข้างหลังศัตรู’ ‘เจ้าไม่มีทางเลือกที่จะพ่ายแพ้’ ‘เจ้ามันอ่อนแอ ไร้ประโยชน์ และไร้ค่า เจ้าต้องพัฒนาอีกมากถึงจะถูกมองว่าแค่เลว’... นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวลีสร้างแรงบันดาลใจมากมายที่เป็นดั่งมนตราตลอดการฝึกฝนของข้า
การเป็นลูกคนเดียวหมายความว่ามันคือชะตากรรมของข้าที่จะต้องปกครองอนาคตของฝูงไดมอนด์คลอว์ ดังนั้นข้าจึงต้องแข็งแกร่ง ชั่วร้าย และเหี้ยมโหดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านพ่อ ท่านแม่เห็นด้วยกับท่านพ่อเสมอ คนเดียวที่ข้าเห็นท่านพ่อแสดงความรักใคร่ด้วยก็คือท่านแม่ และท่านแม่ก็มอบความรักใคร่ให้เพียงท่านพ่อเท่านั้น
ครั้งหนึ่งข้าเคยเข้าไปกอดท่านแม่ และสิ่งที่ข้าได้รับทันทีที่แขนเล็กๆ วัย 8 ขวบของข้าสัมผัสสะโพกของท่านคือการผลักอย่างแรงและตบเข้าที่ใบหน้า ข้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่ท่านพูดกับข้าต่อจากนั้น
“หยุดแสดงความอ่อนแอเสียที ไคเดน เจ้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อของเจ้าหมายความว่าอะไร? นักสู้! นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่ข้าคาดหวังจากเจ้า” ด้วยถ้อยคำอัน "อ่อนโยน" เหล่านั้น ข้าเติบโตขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวที่จะสัมผัสใครและกลัวที่จะถูกเข้าใจผิด
เมื่อข้าอายุ 10 ขวบ ข้าได้ไปปฏิบัติภารกิจกับท่านพ่อทางตอนใต้ของฝูงเราเพื่อยึดครองอาณาเขต
เราเผชิญกับการต่อต้าน แต่เราก็เอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดาย ขณะที่เรายืนอย่างผู้มีชัยเหนือฝูงผู้พ่ายแพ้ ดวงตาของท่านพ่อก็ทอประกายด้วยความยินดีอันชั่วร้าย
“ไคเดน ถึงเวลาที่เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้นำแล้ว” ท่านพ่อพูดพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย “ฆ่าพวกมันเสีย!”
ท่านชี้ไปยังทารกน้อยไร้เดียงสาของพวกนอกคอก
หัวใจของข้าหล่นวูบ และความหวาดหวั่นอย่างรุนแรงก็ถาโถมเข้าใส่ โดยปกติแล้วข้าจะเชื่อฟังท่านอย่างไม่ลืมหูลืมตาในทุกสิ่งที่ท่านสั่งให้ทำ แต่ให้ฆ่าทารกหรือ? ไม่! นั่นเป็นเส้นที่ข้าไม่อาจข้ามไปได้ ข้ากลัวที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น หวาดวิตกว่าจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และหวาดกลัวต่อการลงโทษใดๆ ที่ท่านพ่ออาจกระทำต่อข้า
จากนั้น ข้าก็ตระหนักได้ว่าข้าไม่เคยรู้เลยว่าความโหดร้ายของท่านพ่อมันมากมายเพียงใด ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำเมื่อท่านสั่งให้ข้าทำเช่นนี้
“ข้า... ข้าทำไม่ได้” ข้าพูดตะกุกตะกัก เสียงของข้าแผ่วเบาราวกระซิบ
ในทันใดนั้น สีหน้าของท่านพ่อก็เปลี่ยนจากยินดีเป็นเกรี้ยวกราด โดยไม่ลังเล ท่านชักกริชที่อาบด้วยวูล์ฟสเบนออกมาทันทีแล้วฟันเฉือนใบหน้าของข้า บาดแผลอันน่าสยดสยองนั้นลากยาวจากกลางหน้าผากจรดหูซ้ายของข้า ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัส ข้ากรีดร้องออกมาด้วยความทรมานขณะที่เลือดทะลักออกจากบาดแผล
ทว่ามันไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันยังคงทารุณข้าต่อไป ไม่สนใจคำอ้อนวอนขอความเมตตาของข้าเลย ข้าเห็นแต่สีแดงฉานจากเลือดที่ทะลักออกจากบาดแผล แผลนั้นบวมเป่ง และมันรุนแรงมากจนข้าถึงกับสมองกระทบกระเทือน ตั้งแต่นั้นมา รอยแผลเป็นบนใบหน้าของข้าก็คอยย้ำเตือนเสมอว่าอย่าได้มีความเมตตาต่อผู้ใดอีกเป็นอันขาด
เมื่อข้าอายุได้ 12 ปีและได้พบกับทรอย ข้าถามเขาว่ารอยแผลเป็นนี้จะหายไปหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ เพราะข้าได้รับมันมาก่อนที่ยีนของเขาจะถูกกระตุ้น ข้าใจสลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น ข้าจะมีรอยแผลเป็นนี้คอยย้ำเตือนถึงสถานะและหน้าที่ของข้าไปตลอดกาล
เมื่อข้าอายุ 17 ปี ท่านพ่อออกคำสั่งเฉพาะให้ข้าไปยึดครองฝูงข้างเคียง และเช่นเคย ข้าทำตามคำสั่งและเอาชนะฝูงนั้นได้สำเร็จ เมื่อข้ากลับมาถึงไดมอนด์คลอว์ ฝูงของเรากำลังถูกโจมตี และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือท่านพ่อสิ้นใจไปแล้ว มันเป็นกับดัก! ผู้ทรยศตนนั้นรู้ว่าข้าจะไม่อยู่ในฝูง มันจึงตัดสินใจบุกโจมตีเพราะต้องการขึ้นเป็นอัลฟ่าของไดมอนด์คลอว์ และมันรู้ดีว่าหากข้าอยู่ในฝูง มันจะไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยนิด มันจึงรอคอยจังหวะที่เหมาะสม
แต่โชคยังร้ายสำหรับมัน ข้าสังหารมันด้วยความเกลียดชังทั้งหมดที่มีในใจ ทว่าโชคร้ายที่การโจมตีนั้นกลายเป็นการสังหารหมู่ สมาชิกฝูงของข้าหนึ่งในสามต้องตาย และอาณาเขตก็เสียหายย่อยยับ
เนื่องจากการตายของท่านพ่อ ข้า เคเดน การ์ดิเนอร์ จึงได้ขึ้นเป็นอัลฟ่าของไดมอนด์คลอว์ และภารกิจใหม่ของข้าคือการฟื้นฟูฝูง ซ่อมแซมอาณาเขตของเรา แล้วจากนั้นก็ยึดครองฝูงอื่น ๆ เพิ่มเติม และนั่นคือสิ่งที่ข้าทำ ไม่หยุดยั้ง ไม่ลดละ ไม่มีการพักผ่อน ไม่มีการหันหลังกลับ
โชคร้ายที่ท่านแม่ของข้าเสียชีวิตในอีกสองปีต่อมา ท่านไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ได้หลังจากท่านพ่อถูกสังหาร พันธะคู่ชีวิตนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ท่านแม่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและเลือกที่จะไม่ทนอยู่กับความเจ็บปวดจากการไม่มีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้าง
ในช่วงสองปีที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากการตายของท่านพ่อ ท่านกล่าวโทษข้าว่าเป็นต้นเหตุการตายของท่านพ่อ ทุก. วัน. ไม่. มี. เว้น.
ท่านหลีกเลี่ยงข้าทุกครั้งที่มีโอกาส และเมื่อใดที่บังเอิญเจอข้า ท่านก็จะย้ำเตือนว่าข้ายังทำหน้าที่อัลฟ่าได้ไม่ดีพอ มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องช่วยท่านพ่อ แต่ข้าก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย ท่านอยากให้ข้าเป็นเหมือนท่านพ่อเสมอ และไม่ว่าข้าจะพยายามหนักเพียงใด ก็ดูเหมือนจะไม่เคยเพียงพอสำหรับท่านเลย
ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและความคาดหวังอยู่ตลอดเวลา ทุกย่างก้าวที่ข้าเดิน ทุกการตัดสินใจที่ข้าทำ ล้วนเจือปนไปด้วยความตระหนักรู้ว่ามรดกของท่านพ่อยังคงครอบงำข้าอยู่ รอยแผลเป็นบนใบหน้าของข้าทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอถึงสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อให้บรรลุชะตากรรมของตน
แล้วเมื่อข้าได้ยินเรื่องการประลองเพื่อชิงตำแหน่งอัลฟ่าคิง ข้ารู้ได้ทันทีว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดที่จะเป็นเกียรติแด่พวกท่าน นี่คือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังจากข้าอย่างแท้จริง และข้าจะชนะให้ได้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดยิ่งกว่าเดิมก็ตาม
ให้ศึกชิงบัลลังก์เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้
🐺 🐺 🐺
ดวงอาทิตย์กำลังทอแสงขึ้นบนท้องฟ้า บ่งบอกว่าอย่างน้อยก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว ในช่วงฤดูหนาว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นดวงอาทิตย์ แต่วันนี้ มันปรากฏกายเพื่อช่วยละลายหิมะบางส่วน ในเวลานั้น ข้าฝึกซ้อมยามเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากข้าต้องการเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าต้องอุทิศตนเพื่อที่จะไร้พ่าย
เหมือนเช่นทุกวัน ข้ามุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของข้า ที่ซึ่งเบต้าและแกมม่าของข้ารออยู่แล้วพร้อมกับรายงานด่วนประจำวัน
“ท่านอัลฟ่าครับ ฝูงฟรอสต์ไบท์ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับฤดูหนาว เราเพิ่งยึดครองมันมาได้ไม่นาน ข้าเพิ่งจะมารู้ปัญหาของมันก็ตอนนี้ครับ” แกมม่าแช้ดกล่าวพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ข้า ซึ่งมีรายการสิ่งที่ฝูงฟรอสต์ไบท์ต้องการ
“เรื่องนี้เร่งด่วนกว่าครับ ท่านอัลฟ่า” เบต้าเจสันขัดจังหวะแช้ด “เขตแดนทางเหนือถูกโจมตีเมื่อรุ่งสาง เป็นการโจมตีจากพวกนอกคอกห้าตัว เป็นการโจมตีเล็กๆ แต่พวกมันบุกรุกเข้าไปในบ้านหลายหลัง พวกนอกคอกทั้งหมดตายแล้วครับ” เจสันกล่าว รอคำสั่งจากข้าเพื่อดำเนินการ
“แช้ด ไปบอกฝ่ายบริการของฝูงว่าข้าอนุญาตทุกอย่างตามรายการนี้ เจ้าตรวจสอบรายการนี้แล้วหรือยัง” ข้าถาม และพยักหน้ารับ “ดูซิว่าพวกเขาต้องการอะไรอีกไหม นี่ยังกลางฤดูหนาวอยู่เลยนะ” ข้ายื่นรายการคืนให้เขาแล้วหันไปหาเจสัน
“เหตุใดพวกนอกคอกถึงโจมตีตอนรุ่งสาง แล้วเจ้าเพิ่งจะมารายงานข้าเอาป่านนี้? ทำไมพวกมันถึงบุกเข้าไปในบ้านได้มากมายขนาดนั้น? ช่างอุกอาจนัก! ข้าต้องการหัวของพวกมันทั้งหมดภายในบ่ายสามโมง ไปเสริมกำลังรักษาความปลอดภัยห่าเหวนั่นทางทิศเหนือซะ! เบต้า ข้าคาดหวังจากเจ้ามากกว่านี้นะ”
เราใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงถกเถียงกันเรื่องปัญหาอื่นๆ ของฝูง เจสันกับแช้ดเป็นเพียงสองคนที่ข้าไว้ใจจริงๆ
แช้ดเป็นคนประเภทที่ชอบแก้ไขปัญหาด้วยกลยุทธ์มากกว่าการใช้กำลัง เขาให้ความสำคัญกับสติปัญญา ความอดทน และการตัดสินใจที่รอบคอบมากกว่าพละกำลังดิบเถื่อนและความก้าวร้าว เขาชอบวิเคราะห์ปัญหาจากหลายๆ มุมมองและพิจารณาทางเลือกต่างๆ ก่อนลงมือทำ นอกจากนั้น เขายังมีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นในหลายๆ ด้านของฝูง เช่น ธุรกิจ กฎหมาย และการเมือง ซึ่งความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์และการเจรจาต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีค่าอย่างยิ่ง งานหลักของเขาในฝูงคือการปกป้องอาณาเขตของเราจากศัตรูด้วยกลยุทธ์ ข้าจึงไม่เคยตระหนี่กับเครื่องมือใดๆ ที่เขายืนกรานว่าเราต้องมีเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเรา ข้าเห็นด้วยกับเกือบทุกสิ่งที่เขาเสนอแนะ เพราะเรามีฝูงที่ใหญ่ที่สุดฝูงหนึ่งในประเทศ และข้ายังมีฝูงอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลจากฝูงของข้า ข้าจึงต้องการระบบติดตามทั้งหมดเพื่อจัดการทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม อย่าเข้าใจข้าผิดไปล่ะ แช้ดเองก็ชอบการต่อสู้ดีๆ เหมือนกัน ในสงครามทุกครั้งที่เราพิชิตดินแดนปัจจุบันของเรามาได้ เขาก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง กล้าหาญ และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในทางกลับกัน เบต้าเจสันของข้าคิดต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สำหรับเขา เขาให้ความสำคัญกับพละกำลัง อำนาจ และความก้าวร้าวมากกว่าการคิดเชิงปัญญา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้ามอบหมายให้เขานำทหารของเรา เพราะเขารับมือกับความท้าทายและความขัดแย้งด้วยการเผชิญหน้า การใช้กำลัง และทัศนคติที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เนื่องจากความแตกต่างมากมายของพวกเขา เจสันกับแช้ดจึงทะเลาะกันแทบทุกวัน คนหนึ่งมักจะคอยย้ำเตือนอีกคนเสมอว่าความคิดของอีกฝ่ายนั้นโง่เง่าเพียงใด ไอ้พวกโง่เง่าเอ๊ย! เถียงกันเรื่องไร้สาระซ้ำๆ ซากๆ ทุกวันไม่เปลี่ยนเลย
“เจ้าควรจะใช้หัวคิด ไม่ใช่ใช้แต่กล้ามเนื้อของเจ้าสิ บางทีเจ้าอาจจะคิดออกไปตั้งนานแล้วก็ได้” แช้ดกล่าวอย่างใจเย็น เหน็บแนมความทึ่มของเจสันอีกครั้ง
"แกทนหมัดข้าไม่ได้หรอก อยากลองดูไหมล่ะ?" เจสันยกหมัดขึ้น เตรียมจะต่อยแช้ด
ข้าคำรามใส่พวกมันทั้งคู่ และพวกมันก็หยุดทันที
"เป็นแบบนี้ทุกวันเลยนะ ข้าเบื่อพวกแกสองคนทะเลาะกันไม่เลิกจริงๆ วันเพิ่งจะเริ่มแท้ๆ ก็ทำข้าปวดหัวแล้ว! ถ้ามีเรื่องกันอีกครั้ง ข้าจะฆ่าพวกแกทั้งคู่ด้วยมือเปล่าของข้าเอง!!" ข้าตะคอกใส่พวกมัน
"ขอรับ อัลฟ่า" พวกมันตอบพร้อมกันพลางจ้องหน้ากันเขม็ง ข้ามั่นใจเลยว่าพวกมันคงเถียงกันต่อทางโทรจิตแน่ๆ ซึ่งข้าไม่สนหรอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนฟัง
"อัลฟ่าครับ เราต้องคุยกันเรื่องการประลอง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้!" แช้ดละสายตาจากเจสันแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
"เยี่ยม! นี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน ความสำเร็จในอนาคตของข้า! ข้ารู้สึกถึงรสชาติของชัยชนะแล้ว!" ข้าพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง "ตำแหน่งอัลฟ่าคิงนี่มันเหมาะกับข้าดีจริงๆ ว่าไหมล่ะ?" ข้าถามโดยไม่ต้องการคำตอบ
"เคเดน การจะได้มานั้น ท่านต้องชนะให้ได้เกือบทุกรอบและต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นบางอย่างด้วยนะครับ" แช้ดเตือนข้า
"อย่าทำลายบรรยากาศสิ เราจะกวาดมันมาให้หมดเลย เคเดน ต่อให้ต้องฆ่าไอ้ระยำทุกตัวในการแข่งก็ตาม" เจสันพูดพลางลิ้มรสความรุนแรงในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
"อัลฟ่าครับ ข้าไปเจอเรื่องสำคัญบางอย่างมาจากสภาผู้อาวุโส" แช้ดลดเสียงลงขณะที่ข้ากับเจสันรอให้เขาพูดต่อ ห้องนี้เก็บเสียง เราจึงไม่ต้องกังวลว่าพูดอะไรออกไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาตัดสินใจพูดเบาๆ ราวกับเป็นความลับ เมื่อเห็นว่าเราสนใจแล้ว เขาก็พูดต่อ "มีคำทำนายโบราณกล่าวไว้ว่า อัลฟ่าคิงคนต่อไปที่จะได้สวมมงกุฎจะมีทายาทที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด ชนิดที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน ข้าไม่รู้ว่าคำทำนายนี้จะถูกเผยแพร่หรือเปล่า แต่มันเก่าแก่มาก ข้ามั่นใจว่ามีบางคนรู้เรื่องนี้แล้ว"
"ทายาทที่ทรงพลังรึ? มันมีประโยชน์อะไรกับข้า? ข้าไม่มีแล้วก็ไม่อยากมีด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นทายาทที่ทรงพลังยิ่งแล้วใหญ่" ข้าพูดพลางกลอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอุตส่าห์อยากรู้ไปเสียเปล่า
"เคเดน ท่านพูดแบบนั้นตอนนี้ แต่ถ้าท่านเจอเมทของท่านล่ะ ข้ามั่นใจว่าท่านจะเปลี่ยนไป" เจสันพูด ข้าคิดว่าในบรรดาสามเรา เขาเป็นคนที่รอคอยเมทของตัวเองมากที่สุด
"พอได้แล้ว นางคงตายไปแล้วล่ะ สิบสามปีแล้วยังไม่มีวี่แวว ข้าไม่สนอีกต่อไปแล้ว" ข้าพูด และมันก็จริง ข้าไม่สนอีกแล้ว
‘พูดแทนแกคนเดียวเถอะน่า ไอ้มนุษย์โง่! ข้ายังรอเมทของเราอยู่ และข้ารู้ว่านางจะต้องสมบูรณ์แบบสุดๆ’ ทรอยตะหวาดลั่นในหัวข้าอย่างเดือดดาล
"จำนวนรอบและลักษณะของแต่ละรอบยังไม่ประกาศออกมาครับ พอเราได้ข้อมูลเพิ่มเติม เราถึงจะเตรียมตัวกันได้ แต่พวกเขาก็ประกาศบางอย่างออกมาแล้ว ข้าอ่านเจอตอนที่ลงชื่อท่านเข้าร่วมการประลอง" เขาชี้มาที่ข้า "ข้าเห็นว่ามีเกณฑ์บางอย่างที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษระหว่างการประลอง ตัวอย่างเช่น ใครก็ตามที่มีฝูงใหญ่ที่สุดจะได้เริ่มในรอบแรก นอกจากนี้..." เขาหยุดเว้นจังหวะอย่างมีนัยแล้วพูดต่อ "เฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่มีเมทแล้วเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประลอง!"
สิ่งที่ข้าต้องการที่สุดคือการชนะการประลองครั้งนี้ แล้วนี่มันอะไรกันวะ?
โอ้ ให้ตายสิ นี่ข้าจำเป็นต้องมีไอ้เมทบ้านั่นด้วยรึไงวะ?






































































































































































































































