บทที่ 2
"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หนู?" เสียงหนุ่มทว่าทรงเสน่ห์เอ่ยถาม
"ลูกพ่อ ทำอะไรอยู่ในโคลน? มานี่เดี๋ยวนี้" เสียงที่แก่กว่าสั่ง
"พ่อครับ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่นี่ เธอเปรอะเปื้อนเลือดกับโคลนไปทั้งตัว แถมยังเปียกโชกเลยครับ" เสียงหนุ่มกล่าว
"อะไรนะ!" ฉันได้ยินเสียงตะโกน จากนั้นก็มีเสียงวิ่งเข้ามา ฝีเท้าหยุดลงอีกด้านของฉัน แล้วเขาก็คุกเข่าลงในโคลนเช่นกัน "ทำไมลูกหมาป่าตัวแค่นี้ถึงมาอยู่ข้างนอกในสภาพนี้ได้?" ฉันได้ยินเขาถามด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ฉันแทบจะไม่ได้สติขณะที่พวกเขายังคงพูดคุยกันเรื่องของฉัน ฟังดูเป็นกังวล
"ดูที่แขนของเด็กคนนี้สิ มีรอยช้ำเป็นรูปนิ้วมือเห็นไหม เห็นรอยเล็บด้วย ที่แก้มอีกข้างก็มีรอยช้ำรูปมือเหมือนกัน" เสียงที่แก่กว่าชี้ให้เห็น "รอยบาดแผลพวกนี้อีก เด็กคนนี้คงถูกโยนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กน้อยน่าสงสาร แล้วขึ้นมาจากแม่น้ำได้ยังไงกัน?"
"เธอถูกทำร้ายเหรอครับ?" เสียงหนุ่มนั้น ซึ่งอาจจะเพิ่งเคยเห็นเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เป็นครั้งแรก มีแววไม่อยากเชื่อในน้ำเสียง
"พ่อเกรงว่าเจ้าจะพูดถูกนะลูก และเด็กคนนี้อาจตายไปแล้วก็ได้ แม่น้ำกำลังเอ่อล้นและอันตราย ขาของเธอ..." เสียงที่แก่กว่าขาดหายไป
"รอยช้ำเต็มไปหมด..." เสียงหนุ่มก็เงียบไปเช่นกัน
"เธอมาจากไหนครับพ่อ?" เสียงหนุ่มถาม
"วันนี้มีงานปิกนิกของฝูง จำได้ไหม นั่นคือที่ที่เรากำลังจะไป ดูเหมือนเด็กคนนี้จะใส่ชุดที่ดีที่สุดของเธอมาด้วยนะ แม้ว่าตอนนี้สภาพมันจะดูไม่ได้เลยก็ตาม เธอต้องมาจากที่นั่นแน่ๆ" เสียงที่แก่กว่ากล่าว
"พ่อครับ... นั่นมันต้นน้ำขึ้นไปตั้งห้าไมล์เลยนะครับ" เสียงหนุ่มชี้
"พ่อรู้ พระแม่เจ้า... เด็กคนนี้น่าจะตายไปแล้ว ลูกหมาป่าคนอื่นคงตายไปแล้ว เธอโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่รอดมาได้" เสียงที่แก่กว่ากล่าว
"ดูเหมือนจะมีตระกูลฟรอสต์กับตระกูลนอร์ธเมาน์เทนอยู่แถวนี้นะครับ บางทีเธออาจจะมาจากตระกูลพวกนั้น? แต่กลิ่นของเธอไม่เหมือนพวกเขานะครับ" เสียงหนุ่มตั้งข้อสังเกต
"แต่ตระกูลฟรอสต์กับตระกูลนอร์ธเมาน์เทนเนี่ย หลายชั่วอายุคนมานี้มีแต่คนผิวขาวซีดกับผมบลอนด์เท่านั้นนะ เด็กคนนี้มีผมสีดำสวย เธอไม่ใช่คนของตระกูลพวกนั้นแน่" เสียงที่แก่กว่ากล่าว
เขากล่าวต่อ "แคลนนั้นน่ะตั้งใจกำจัดลักษณะสีเข้มออกไปจากการสืบพันธุ์ พวกเขาจะจับคู่กับคนที่มีลักษณะผมบลอนด์ตาสีฟ้าเท่านั้น ลูกพ่อ สมาชิกในครอบครัวคนไหนที่เกิดมามีผิวสีแทนหรือผมสีเข้มจะถูกทำให้เป็นคนนอก หรือไม่ก็ถูกจับแต่งงานออกไป เพื่อกำจัดพวกเขาออกจากตระกูลอยู่ดี ถ้าคู่ชะตาของพวกเขามีลักษณะสีเข้ม พวกเขาก็จะปฏิเสธ"
"ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ มันงี่เง่าออก" เสียงหนุ่มถาม
"พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันลูก แต่ธรรมเนียมปฏิบัติของแคลนนั้นคือเหตุผลที่พ่อไม่ลงรอยกับแคลนนั้นมาตลอด" ทันใดนั้นชายสูงวัยกว่าก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเสริมว่า "แต่บรรพบุรุษของแคลนฮาร์ทซองมีผิวสีแทน ผมสีดำ และดวงตาสีม่วงนะ ว่ากันว่าอัลลิสเตอร์กับเบตติน่ามีลูกสาวคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนบรรพบุรุษของแคลนฮาร์ทซอง ซึ่งเป็นอัลฟ่าตนแรก"
"พ่อคิดว่าเด็กคนนี้คือคนนั้นหรือเปล่าครับ?" เสียงหนุ่มถาม
"การทารุณกรรมที่เด็กคนนี้ได้รับอย่างเห็นได้ชัด มันไม่สมควรเลย เราจะสืบให้รู้ว่านี่เป็นฝีมือของครอบครัวเธอหรือเปล่า" เสียงที่แก่กว่ากล่าว
ฉันไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แต่สติของฉันก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจนขึ้น ในที่สุดฉันก็ลืมตาขึ้นมองพวกเขาได้ ชายหนุ่มข้างกายฉันสูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจเมื่อเห็นดวงตาของฉัน
เขาคือคนที่พบฉัน กลิ่นของเขาช่างปลอบประโลมใจและดูเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่สามารถเยียวยาฉันได้
"หนูชื่ออลอร่าใช่ไหม หนูน้อย?" ชายสูงวัยกว่าถาม ฉันพยักหน้าตอบรับ คอของฉันเจ็บมากเกินกว่าจะพูดได้
"ที่คอของเธอก็มีรอยช้ำด้วยครับพ่อ" ชายหนุ่มกล่าว เสียงของเขาไพเราะมากจนทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองเขาทันที เขามีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดุจรัตติกาล และผิวขาวซีด ไหล่ของเขากว้าง
ดูออกเลยว่าเขาจะต้องเป็นมนุษย์หมาป่าร่างยักษ์เมื่อโตเต็มวัย ใหญ่โตพอๆ กับชายสูงวัยกว่าที่อยู่ข้างฉัน ชายสูงวัยกว่าหน้าตาคล้ายกับชายหนุ่ม เพียงแต่ดวงตาของเขาเป็นสีเขียวและมีผมสีเงินแซมอยู่ตรงขมับ มันทำให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นไปอีก
"เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด" ชายสูงวัยกว่าถาม
ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? ฉันเคยเห็นเขาเพียงครั้งเดียว แต่ฉันสัมผัสได้ถึงพลังและสถานะที่เหนือกว่าของเขา
"อัลฟ่า" ฉันครางเสียงแหบพร่า
"ใช่แล้ว เด็กน้อย และนี่คือเดเมียน ลูกชายของข้า เราจะพาเจ้าไปที่บ้านฝูง และรักษาเจ้าก่อนจะส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัว" อัลฟ่ากล่าว
"ท่านพ่อครับ เราจะยอมให้พวกนั้นได้ตัวเธอกลับไปจริงๆ หรือครับ" เดเมียนถาม
"เราไม่มีทางเลือกหรอกลูกเอ๊ย นางจำเป็นต้องอยู่กับครอบครัวของนาง และพ่อจะพรากเด็กไปจากอกครอบครัวเฉยๆ ไม่ได้" ขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน พร้อมกับกลิ่นหญ้าอันเย้ายวนใจ ฉันก็จมดิ่งสู่ภวังค์โคม่าอีกครั้ง
เสียงทุบประตูห้องนอนของฉันดังโครมครามดึงสติฉันกลับมาจากความทรงจำนั้น น่าเศร้า ที่นั่นไม่ใช่ความทรงจำอันเลวร้ายเพียงอย่างเดียวที่ฉันแบกรับไว้ มันไม่ใช่เพียงรอยแผลเป็นเดียวที่ครอบครัวได้สลักฝังลึกลงในจิตวิญญาณของฉัน ยังมีอีกมากมาย...มากมายเหลือคณานับ ฉันรู้ว่าใครเป็นคนทุบประตู แม้กระทั่งก่อนจะได้ยินเสียงของหล่อน
"ลุกขึ้นซะทีสิ นังตัวซวย!" หล่อนกรีดร้อง หล่อนกรีดร้องใส่ฉันเสมอ หลายครั้งฉันอดคิดไม่ได้ว่าแม่คงลืมชื่อของฉันไปแล้ว เพราะแม่เอาแต่เรียกฉันว่า "นังตัวซวย" อยู่ร่ำไป 'หล่อน' ที่ว่าคือแม่ของฉันเอง ใครๆ ก็คงคิดว่าแม่น่าจะเรียกชื่อฉันบ้าง แต่มันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะหวังในสิ่งที่แตกต่างออกไป ฉันรู้เรื่องนี้มาสักพักใหญ่แล้ว
ได้เวลาแต่งตัวไปโรงเรียนแล้ว ฉันพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่เผลอทำตามใจตัวเองที่อยากจะร้องเพลงในห้องน้ำ ทุกครั้งที่ฉันร้องเพลง ครอบครัวของฉันจะพากันเดือดดาลอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาบอกให้ฉันหยุดร้องโหยหวนเหมือนแมวใกล้ตาย บอกว่าเสียงของฉันทำให้พวกเขาเลือดออกหู มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาใช้ทำร้ายฉัน
ฉันเริ่มจะทนต่อการปฏิบัติที่กดขี่ข่มเหงและทารุณโหดร้ายของพวกเขาได้น้อยลงทุกทีๆ ฉันต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะสะกดกลั้นตัวเองเอาไว้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของหมาป่าสาวผู้อ่อนน้อมยอมจำนนและเชื่อฟัง เหลือเวลาเรียนอีกแค่สองสัปดาห์เท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องย้ำเตือนตัวเอง และซีน่า
‘อีกแค่สองสัปดาห์เท่านั้นนะซีน่า แล้วเราจะเป็นอิสระ’ ฉันบอกกับเธอ
‘วันนี้เรามีสอบอะไรบ้างเหรอ’ ซีน่าถาม
‘ฉันว่าวันนี้น่าจะเป็นสอบการฝึกของเรานะ ทั้งการต่อสู้ในร่างมนุษย์และร่างหมาป่า’ ฉันรู้สึกได้ถึงความยินดีอย่างล้นเหลือของเธอ เราทั้งคู่ชอบการออกกำลังกายจากการฝึกฝน ชอบที่ได้รู้สึกว่าเราแข็งแกร่งเพียงใดจริงๆ
ด้วยการที่ฉันจงใจปิดบังมาโดยตลอด จึงไม่มีใครล่วงรู้ถึงพละกำลังที่แท้จริงของฉัน แต่ซีน่ากับฉันต่างรู้ดีว่าสายเลือดของลูน่า ฮาร์ทซองนั้นล้ำเลิศสำหรับเราเพียงใด พละกำลังของเรานั้นมากพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะเปิดเผยตัว
‘เธอจะขอให้ฉันออมมืออีกแล้วใช่ไหม’ เธอถาม ฉันรู้สึกได้ว่าความยินดีของเธอมันหรี่แสงลงเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น
เฮ้อ "อืมม์ เราคงต้องทำอย่างนั้นแหละ วันนี้เราต้องประมือกับพวกหัวกะทิ แถมยังต้องสู้ต่อหน้าพวกรุ่นพี่ที่เหลือทั้งหมดด้วย" ฉันบอกเธอ
‘แบบนั้นมันก็หมดสนุกกันพอดีน่ะสิ’ เธอครางหงิงๆ ฉันรู้สึกได้ว่าหางของเธอตกลง
เฮ้ออีกครั้ง ‘อืม ใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ’ คำตอบของฉันเต็มไปด้วยความผิดหวังของตัวเอง
แล้วฉันก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันไม่มีเหตุผลที่แท้จริงให้ฉันต้องออมมือในการสอบครั้งนี้ ‘ในเมื่อเราไม่ได้จะประมือกับเจ้าหญิงน้ำแข็ง และนี่ก็เป็นการสอบครั้งสุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องออมมืออีกต่อไปนี่นา’
ฉันรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของซีน่าที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง จินตนาการเห็นเธอกระดิกหางถี่ๆ ลิ้นห้อยแผล็บๆ และใบหูตั้งชันด้วยความกระตือรือร้น ท่าทางขี้เล่นของหมาป่าในตัวฉันทำให้ฉันหัวเราะออกมา
ฉันสวมสปอร์ตบราไร้โครงแบบดันทรงสีม่วงเข้มที่ช่วยพยุงหน้าอกพร้อมจัดทรงให้ ‘น้องสาว’ ของฉันเข้าที่เข้าทาง แล้วสวมทับด้วยเสื้อกล้ามเอวลอยเว้าหลังสีดำลายหัวกะโหลกสีม่วง กับเลกกิ้งสามส่วนสีดำที่มีกระเป๋าข้างต้นขาสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือ
ฉันถักเปียผมแบบฝรั่งเศสยาวลงมาจนถึงต้นคอ รวบมัดด้วยยางรัดผมสีม่วงเข้ม จากนั้นแบ่งผมส่วนที่เหลือออกเป็นสามเปียเล็กๆ แล้วมัดแต่ละเปียด้วยยางรัดผมสีม่วงเข้มเส้นบางกว่าเดิม ฉันหยิบกระโปรงแบบพันสีม่วงมาสวมทับเลกกิ้ง และสวมคาร์ดิแกนแขนสั้นสีดำยาวประบ่าทับเสื้อกล้ามอีกที ฉันตัดสินใจใส่ตุ้มหูเงินแบบแป้นเพื่อที่ต่างหูจะได้ไม่ไปเกี่ยวโดนอะไรระหว่างต่อสู้
ฉันว่าฉันต้องโดนเทศนาชุดใหญ่เรื่องการแต่งตัวนี่แน่ๆ แต่บอกเลยว่าฉันไม่แคร์อีกต่อไปแล้ว ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนรนกระวนกระวายของหมาป่าในตัวเรา เราเบื่อเต็มทีแล้วกับการต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นอีกต่อไป
ฉันจะได้รับปริญญาเอกและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันทีที่สอบผ่านและสำเร็จการศึกษา การประลองครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบการเปลี่ยนผ่านที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับฉัน ฉันจะปรากฏตัวต่อหน้าครอบครัวด้วยรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยม และจะทำให้พวกเขาตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปเลย!
















































































































































































































