3: คุณสมควรได้รับความปรารถนา

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ มันไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยน่ารังเกียจแบบที่ฉันได้ยินก่อนจะหมดสติไป

เสียงหัวเราะที่ดังอยู่รอบตัวฉันตอนนี้มันร่าเริงและจริงใจ ไม่เหมือนกับที่ฉันคาดคิดว่าจะได้ยินจากอสูรร้ายอย่างพวกที่จับตัวฉันมาเลย

ถึงจะตื่นเต็มตาแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ลืมตา กลัวสิ่งที่ไม่รู้ กลัวทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อพวกมันรู้ว่าฉันตื่นแล้ว

และความกลัวนั้นก็ตรงเผง เพราะเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว เสียงหัวเราะก็เงียบลง

“ดูนี่สิพวกเรา ในที่สุดเจ้าหญิงนิทราก็ตัดสินใจจะประทานพรให้พวกคนป่าเถื่อนอย่างเราได้ยลโฉมอันสูงส่งของเธอแล้ว” ใครคนหนึ่งคำรามมาจากทางขวาของฉัน

หัวใจฉันเต้นรัวอยู่ในอก ฉันกลัวจนหายใจไม่ออก ปอดของฉันรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้

“เรารู้ว่าแกตื่นแล้ว เลิกเล่นเกมงี่เง่าของแกได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่แดนมหัศจรรย์อีกต่อไปแล้วนะ เจ้าหญิง” อีกเสียงหนึ่งเสริมขึ้น

เสียงนี้ฉันจำได้ เป็นเสียงของผู้ชายคนที่จับตัวฉันมา

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วกะพริบตาเพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่างจ้าเหนือหัว ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งและทนทุกข์อย่างเงียบๆ จนกว่าจะหาทางหนีจากพวกมันไปได้ ไม่ว่าจะรอดหรือตาย

“เห็นไหมล่ะ ไม่เห็นจะยากเลยนี่นา?” เขายังคงเยาะเย้ยฉัน ในขณะที่สิ่งที่ฉันทำได้คือพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

พวกมันเคยเห็นจุดต่ำสุดของฉัน ความสิ้นหวัง ความกลัว และความเจ็บปวดของฉัน พวกมันทุกคนเห็นมามากพอแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้พวกมันสะใจไปมากกว่านี้ด้วยการเห็นฉันทรมานอีก

“ลุกขึ้น!” ไอ้หัวหน้าตะคอก

วิธีที่เขาพูดกับฉัน... มันช่างเหนือจริง ราวกับว่าฉันเป็นศัตรูของเขา ราวกับว่าฉันทำร้ายเขาหรือแย่งชิงของรักของหวงของเขาไป ไม่ใช่ในทางกลับกัน

มันไม่ยุติธรรมเลย เขาเป็นคนแปลกหน้า ครั้งแรกที่เราเจอกันคือตอนที่เขาโจมตีฝูงของฉันและฆ่าครอบครัวของฉัน ทำไมเขาถึงทำเหมือนว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะเสแสร้งว่าเป็นเหยื่อ?

ผู้ชายคนนั้นห่างไกลจากคำนั้นลิบลับ

แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็กัดฟัน กำหมัดแน่น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง จึงได้รู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนโต๊ะยาวตัวหนึ่ง

ดวงตาของฉันกวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด ภาพนั้นช่างยั่วยวนจนทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่ถึงแม้ท้องจะประท้วง ฉันก็ทำเหมือนว่ามันไม่ได้ส่งผลอะไรกับฉัน

ขณะที่สายตาของฉันค่อยๆ ละจากภาพอาหารชวนน้ำลายสอตรงหน้า ฉันก็เหลือบมองใบหน้าของผู้คนรอบๆ

เท่าที่ฉันเห็น มีแต่ผู้ชายนั่งอยู่ที่โต๊ะ น่าจะมีพวกมันอยู่รอบตัวฉันราวสองร้อยคน และนั่นเป็นเพียงการตัดสินจากส่วนน้อยที่ฉันเห็น

ฉันปล่อยให้ตัวเองคิดหมกมุ่นกับสถานการณ์ไม่ได้ ถ้าฉันปล่อยให้ความคิดครอบงำ ฉันจะไม่สามารถมีสมาธิกับคำสั่งที่ถูกตะคอกใส่ได้ แต่จะเอาแต่คิดมากถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เกี่ยวกับแผนการของพวกมันแทน

มือและเข่าของฉันสั่นเทาขณะที่ฉันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง การกระทำนั้นตามมาด้วยเสียงโห่ร้องและผิวปากดังลั่น

ไม่นานฉันก็รู้ตัวว่าเสื้อผ้าของฉันขาดวิ่น ไม่ได้ขาดเป็นชิ้นๆ หรือถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่มีรูและรอยตัดในจุดที่ก่อนหน้านี้ที่ฉันจะหมดสติไปมันไม่มี

มีก้อนอะไรบางอย่างจุกขึ้นมาในลำคอ ขณะที่สายตาหิวกระหายอันร้อนแรงเหล่านั้นแผดเผาผิวหนังของฉัน ก้อนนั้นก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก

“ฉันสัญญาว่าจะมีการแสดงให้ดูไม่ใช่เหรอ?” ไอ้หัวหน้าหัวเราะ น้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขาสะท้อนก้องกับผนังห้อง

ขณะที่พวกป่าเถื่อนกำลังสนุกสนานกัน ฉันสลัดคำพูดที่เขาพูดทิ้งไปไม่ได้ การแสดง... การแสดงอะไรกัน?

“เจ้าชื่ออะไร เจ้าหญิง?” ไอ้หัวหน้าพูดแทรกเสียงทุกคนขึ้นมา

ฉันต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้จ้องเขม็งไปที่เขาและวางแผนถึงความตายอันทรมานสักพันครั้งที่ฉันอยากจะมอบให้กับผู้ชายคนนี้

ฉันสูดลมหายใจสั่นระริก หลับตาลงแล้วกระซิบ “ไอเฟ”

โกหกไปก็เท่านั้น อันที่จริงแล้ว ถามคำถามไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ฉันแน่ใจว่าไอ้คนป่าเถื่อนนั่นต้องได้ยินชื่อฉันตอนที่พ่อตะโกนเรียกฉันแน่ๆ มันก็แค่กำลังเล่นสนุกกับฉันอยู่ เหมือนแมวที่ไล่ต้อนหนูก่อนจะขย้ำเหยื่อ

“เด็กดีนี่ พ่อของแกคงสอนมาดีให้รู้จักเชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่เหนือกว่า น่าประทับใจจริงๆ” หัวหน้ากลุ่มเยาะเย้ยพลางโยนบางอย่างใส่หน้าฉัน “แกสมควรได้รับรางวัล” เขาพูดเสริม

ตาฉันเบิกโพลงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างตกตุบเบาๆ ข้างเท้า ไม่อยากจะเชื่อเลย... มันโยนกระดูกให้ฉัน กระดูกจริงๆ นะ!

แน่นอนว่ามันคงคาดหวังให้ฉันมีปฏิกิริยาตอบกลับ แต่ฉันก็หัวแข็งเกินกว่าจะแสดงอาการใดๆ ให้มันเห็น ฉันไม่ได้ขอบคุณไอ้คนป่าเถื่อนนั่นสำหรับความ ‘ใจกว้าง’ ของมัน เพราะมันไม่มีอยู่จริง และฉันก็ไม่ได้แม้แต่จะชายตามองมันด้วยซ้ำ เพียงแค่จ้องมองกระดูกน่าสมเพชชิ้นนั้น

“ได้เวลาแสดงแล้วโว้ย!” มันคำรามขึ้นกะทันหัน เสียงของมันดังจนฉันสะดุ้งโหยง

ทุกคนพากันหัวเราะเยาะปฏิกิริยาของฉัน บางคนถึงกับชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วส่งเสียงยุยงให้ฉันร้องไห้ออกมาอีก

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเรียนรู้การเกลียดใครสักคนเป็น แต่ณ ตอนนี้ ฉันกำลังเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ‘ความเกลียดชัง’ ไม่ใช่แค่คำพูดแรงๆ ที่เอาไว้ใช้เท่านั้น

“แก้ผ้า!”

ฉันได้ยินคำนั้น แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ แม้ว่าพวกผู้ชายรอบตัวจะทำท่าราวกับไม่ได้เห็นผู้หญิงมานานนับสิบปี และบางคนพยายามจะฉุดกระชากฉัน ฉันก็ยังคงยืนนิ่ง

นี่มันต้องเป็นเรื่องตลกร้ายแน่ๆ ไม่มีใครจะไร้หัวใจและอำมหิตได้ถึงเพียงนี้

ฉันรู้ว่าการนิ่งเฉยของฉันทำให้หัวหน้ากลุ่มโกรธ เมื่อมันทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น ฉันรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้าเปล่า แต่เลือดในกายฉันเย็นเฉียบพลันเมื่อมันตวาดลั่น “กูบอกให้แก้ผ้าไงวะ อีชาติชั่ว!”

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีผู้หญิงอยู่ร่วมโต๊ะกับพวกมันสักคน ไม่มีผู้หญิงที่รักศักดิ์ศรีคนไหนจะทนให้ถูกกระทำราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำได้หรอก

อย่างไรก็ตาม ฉันก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วส่ายหน้า ฉันยอมตายดีกว่า ความตายยังฟังดูดีกว่าการถูกหยามเกียรติเช่นนี้อยู่แล้ว

มือข้างหนึ่งคว้าแขนเสื้อของฉันแล้วกระชากอย่างแรงจนเสียงผ้าขาดดังไปทั่วห้อง

“ถ้าแกโง่พอที่จะคิดว่าครอบครัวอันมีค่าของแกตายห่าไปในระเบิดนั่นแล้ว ก็ช่วยไม่ได้” หัวหน้ากลุ่มคำรามลอดไรฟัน หางตาฉันเห็นมันลุกพรวดจากเก้าอี้ ใบหน้าแดงก่ำ แววตาฉายชัดถึงความโกรธจัด “แต่ถ้าแกอยากจะพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของแกมันจริงแค่ไหน ก็เชิญเลย ขัดขืนคำสั่งกูดูสิ คอของแม่สุดที่รักของแกนั่นแหละจะเป็นรายต่อไปที่กูจะปาด!”

นี่ต้องเป็นความพยายามที่จะบงการฉันแน่ๆ แต่ฉันไม่สนใจ ต่อให้มันโกหกเพื่อให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ยังไม่ยอมทิ้งความหวังว่าจะมีใครบางคนรอดชีวิต

น้ำตาเอ่อคลอเบ้าขณะที่ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น วินาทีหนึ่ง รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมัน เกือบจะทำให้มันดูมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว และสีหน้าบึ้งตึงก็กลับมาอีกครั้ง

มือของฉันกำผ้าเสื้อเชิ้ตไว้แน่นขณะที่น้ำตารินไหลอาบแก้ม ฉันกัดกระพุ้งแก้มด้านในซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อบังคับตัวเองไม่ให้ส่งเสียงใดๆ ออกมาขณะที่ดึงเสื้อออกทางศีรษะแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ จากนั้น ฉันก็รีบรูดกางเกงลง พยายามทำราวกับว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้ยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าอสุรกายพวกนี้ ปล่อยให้พวกมันย่ำยีได้ตามอำเภอใจ

แต่แน่นอนว่ามันยังไม่พอ มันไม่เคยพอสำหรับอสุรกายอย่างพวกมันอยู่แล้ว

มือหนึ่งตะปบปลายคางของฉันแล้วบีบบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาอันว่างเปล่าของมัน “กูบอกให้แก้ผ้า” มันย้ำคำเดิมขณะที่ใช้นิ้วเกี่ยวสายเสื้อชั้นในของฉันแล้วกระตุก “ทั้งหมดเลย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป