4: เต้นรำให้เราเจ้าหญิง
มุมมองของไอฟี
เขาข่มขู่ฉันจนฉันยอมปล่อยเสื้อผ้าหลุดจากมือ แต่เพราะฉันขัดขืนคำสั่งของเขาและไม่ยอมเปลื้องผ้าจนหมดตัว เขาก็เลยสั่งให้ลูกน้องจับตัวฉันไว้แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าฉันด้วยตัวเอง
ทันทีที่เขากระชากอาภรณ์ที่ปกปิดร่างกายของฉันและเศษเสี้ยวสุดท้ายของศักดิ์ศรีที่ฉันมี เขาก็หัวเราะเยาะใส่หน้าฉัน
หัวหน้าของพวกมันยังคงพูดเสียงดังฟังชัดขณะที่พรรณนาร่างกายของฉัน – ทุกสัดส่วนโค้งเว้า หรือแม้แต่ส่วนที่แบนราบ
มันกินเวลานานหลายชั่วโมง
พวกมันทุกคนหัวเราะ เสียงดังมากเสียจนฉันมั่นใจว่าจะไม่มีวันลืมสุ้มเสียงและคำพูดที่พวกมันพ่นใส่ฉันได้เลย
“เต้นให้พวกเราดูหน่อยสิ เจ้าหญิง” มันตวาดใส่หน้าฉัน
ฉันเสียใจที่ไม่ได้เชื่อฟังพ่อ ท่านพูดถูก – เราน่าจะตายด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว แต่เปล่าเลย ฉันกลับต้องมายืนอยู่หน้าศัตรูและสร้างความบันเทิงให้เหล่าสมุนของมัน
“ไม่” เสียงของฉันแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เขากลับได้ยินมันชัดเจน
มันไม่เคยดีกับฉันอยู่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยอาวุธที่มันเลือกใช้ก็เป็นเพียงคำพูด แต่ไม่ใช่ตอนนี้อีกต่อไป มันใช้หลังมือตบหน้าฉันอย่างแรงจนฉันหงายหลังล้มลงไปบนกองขวด
แก้วแตกละเอียดใต้ร่างของฉัน เศษแก้วทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ทำให้ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ขณะที่ฉันพยายามนอนนิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เศษแก้วทิ่มลึกลงไปในเนื้ออีก หัวหน้าของพวกมันหัวเราะอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ ลูกสาวของอัลฟ่าอย่างแก ช่างน่าขายหน้าสิ้นดี อย่าบอกนะว่าข้าลากเอาตัวไร้น้ำยาที่สุดในฝูงกลับมา”
อีกครั้งที่คำพูดของมันตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น
ตอนแรกฉันไม่รู้เลยว่าร่างกายของฉันบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน จากนั้นจุดดำๆ ก็เริ่มบดบังการมองเห็น ฉันรู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน และของเหลว – ฉันเดาว่าเป็นไวน์ – ค่อยๆ ไหลนองอยู่รอบตัวฉัน
“ชิบหายแล้วว่ะ พวกเราทำเกินไปแล้ว” ใครคนหนึ่งสบถขณะที่ฉันพยายามเบิกตากว้างไว้เผื่อว่าพวกคนเถื่อนคนใดคนหนึ่งจะฉวยโอกาสทำอะไรฉัน
“พูดเรื่องอะไรของแกวะ? เราเพิ่งจะเริ่มเองนะ” หัวหน้ามันพูดแทรกขึ้น แต่คำพูดของมันไม่ดังเท่าเดิมอีกแล้ว
แม้จะยังคงได้ยินอยู่ แต่เสียงหัวเราะที่ดังแสบแก้วหูนั้นค่อยๆ เลือนหายไป
ดวงตาของฉันจับจ้องไปที่โคมระย้าอันงดงามเหนือศีรษะ และทันใดนั้นฉันก็รู้สึกทึ่งในรูปทรงและแสงไฟของมันอย่างประหลาด ขณะที่เปลือกตาของฉันหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่กะพริบ
“เลือด!” ใครบางคนตะโกนขึ้น ทันทีที่ฉันหลับตาลงและปล่อยให้ความมืดมิดนำพาความสงบสุขที่ฉันต้องการอย่างยิ่งยวดมาให้
ฉันยังไม่หมดสติไปเสียทีเดียว ฉันรู้สึกถึงมือหยาบกร้านที่คว้าไหล่และดึงฉันลงจากโต๊ะ รู้สึกถึงฝ่ามือที่ตบแก้มและมือที่บีบไหล่ของฉันแน่นจนเป็นรอยช้ำ
“ไอฟี ลืมตาสิ” ใครบางคนคำรามอยู่เหนือร่างฉัน แต่ฉันจำเสียงนั้นไม่ได้ “เร็วเข้า ที่รัก ฉันบอกให้ลืมตาไงโว้ย ให้ตายสิ!”
ฉันนี่มันโง่จริงๆ ที่ดันอยากจะมองขึ้นไปดูว่าผู้ชายท่าทางร้อนรนที่ตะโกนใส่ฉันเป็นใคร แต่ฉันทำไม่ได้
ความมืดมิด ความโล่งใจ และความรู้สึกว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน
แม้จะรู้สึกว่ามีคนช้อนร่างฉันขึ้นอุ้มและพาออกไปให้พ้นจากเสียงเหล่านั้น ฉันก็ไม่ได้พยายามจะมองขึ้นไป แต่ฉันกลับขอบคุณพระแม่เจ้าในใจที่ทรงช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากขุมนรกนี้ได้เร็วเหลือเกิน และปล่อยให้การรับรู้ที่ค่อยๆ เลือนหายกล่อมฉันสู่ห้วงนิทรา
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหัวเราะอีกครั้ง ความรู้สึกเดจาวูพลันแล่นลึกเข้าไปถึงกระดูก
ความกลัวทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ ฉันกลับมาแล้ว ฉันนอนอยู่บนโต๊ะโดยมีอสูรร้ายเหล่านั้นรายล้อม เตรียมพร้อมที่จะเริ่มเกมอันน่าอัปยศอดสูใหม่อีกครั้ง
สมองฉันทำงานหนักจนเกินไป ฉันเริ่มหายใจหอบถี่และไม่ทันสังเกตว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่ที่ฉันหวาดกลัว จนกระทั่งฉันกำทรายขึ้นมาเต็มมือและตระหนักได้ว่าเสียงหัวเราะนั้นดังอยู่ในหัวของฉันมากกว่าที่ได้ยินจริงๆ
ฉันได้ยินเสียงคนพูดคุยและเสียงหัวเราะเป็นครั้งคราว แต่มันไม่ได้อยู่ใกล้ฉันเลย
เมื่อลืมตาขึ้น ฉันหวาดหวั่นถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมิด มันหมายความว่าฉันสูญเสียการมองเห็นไปอย่างนั้นหรือ? ไม่ ไม่น่าจะใช่
ฉันพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามหลีกเลี่ยงส่วนที่น่ารังเกียจไปพร้อมกัน
เลือด มีคนพูดถึงเลือด ใช่ นั่นต้องเป็นคำตอบแน่ๆ
แต่เป็นคำตอบของอะไรกันแน่? หรือว่าฉันกำลังจะเสียสติ?
ราวกับเจ้าของเสียงอ่านใจฉันออก เสียงนั้นตอบคำถามในใจของฉัน “ข้าได้ยินพวกยามมันพึมพำกันว่าเจ้าเสียเลือดไปมาก พวกมันบอกว่าเจ้าจะสลบไปแค่วันสองวัน ไม่ใช่ทั้งอาทิตย์ สวัสดีตอนเช้า หน้าใหม่ ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเจ้า ข้าว่าสงบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของเจ้าลงหน่อย ก่อนที่พวกยามมันจะรู้ตัวว่าเจ้าตื่นแล้ว เชื่อข้าเถอะ อยู่กับความโสโครกตรงนี้ยังดีกว่าอยู่กับไอ้พวกยามข้างบนนั่นเสียอีก”
ก้อนแข็งๆ ในลำคอกลับมาอีกครั้งราวกับว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายฉันไปแล้ว
ฉันคิดเสมอว่าการด่วนสรุปอะไรบางอย่างเป็นเรื่องที่บุ่มบ่าม แต่โชคร้ายที่ฉันเกือบจะมั่นใจว่าสิ่งที่ฉันสันนิษฐานนั้นถูกต้อง – ฉันยังมีชีวิตอยู่... น่าเศร้าใจจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันเค้นคำพูดออกมาได้ขณะพยายามตั้งสติควบคุมลมหายใจ
ขณะที่ความหนักอึ้งของความเป็นจริงใหม่ถาโถมเข้าใส่ฉัน สิ่งที่น่าประหลาดใจคือไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ดังก้องในหัวของฉันอีกต่อไป แต่กลับเป็นคำพูดของพ่อ
“ศัตรูบนเรือที่กำลังจะจมยังเป็นมิตรที่ดีกว่าพันธมิตรที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน”
ถ้อยคำนั้นดังขึ้นในหัวของฉันขณะที่ชายลึกลับคนนั้นเริ่มผิวปากเป็นทำนองที่ค่อนข้างคุ้นหู
ฉันหันขวับไปตามทิศทางของเสียง ในชั่วขณะหนึ่ง ฉันพยายามมองหาบางสิ่ง – อะไรก็ได้ แม้เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ยังดี
แต่แล้วอีกครั้ง ความเป็นจริงอันหนักหน่วงก็กระแทกเข้าใส่ฉัน มันมืดเกินไป และยิ่งฉันพยายามเพ่งมองหาบางสิ่งมากเท่าไร หัวของฉันก็ยิ่งปวดมากขึ้นเท่านั้น
“ทำไมท่านถึงช่วยฉันคะ?” ฉันกระซิบถาม กลัวว่าเสียงของตัวเองจะดังเกินไปและอาจดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็น
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นตามด้วยความเงียบที่ยาวนาน นานพอที่จะทำให้ฉันเริ่มคิดมากว่าการตั้งคำถามกับคนแปลกหน้าที่ซ่อนตัวอยู่นั้นเป็นความคิดที่ดีหรือไม่
“พวกยามนั่นไม่ใช่คนดี ข้าเองก็ไม่ใช่คนดี แต่พวกยามนั่นเลวกว่า พวกมันโยนเจ้ามาที่นี่ราวกับว่าหญิงสาวเช่นเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าอีนังลูกครึ่งชั้นต่ำเสียอีก ข้ารู้จักชีวิตของคนเถื่อนและนักโทษ แต่พวกยามนั่นรู้จักแต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดและความโหดร้าย ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับหญิงสาว บางทีข้าอาจจะแค่สงสาร”
ฉันพยักหน้าเมื่อคำพูดของเขาซึมซับเข้าสู่ความเข้าใจ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่ฉันหวังว่าเขาจะรู้ว่าฉันขอบคุณสำหรับคำตอบและเวลาที่เขามอบให้
หลังจากการสนทนาสั้นๆ ฉันก็เก็บตัวเงียบ หาทางไปยังมุมที่ไกลที่สุดของห้องขัง ดึงเข่ามาชิดอก พิงศีรษะกับกำแพงเย็นเฉียบ และปล่อยให้เปลือกตาปิดลงอีกครั้ง
แม้จะอยู่ในท่าที่ไม่สบายนัก ฉันก็ค่อยๆ เคลิ้มหลับไปจนกระทั่งมีใครบางคนทำให้ฉันตื่นเต็มตาด้วยการลากบางอย่างครูดกับลูกกรงเหล็ก
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นแสงสลัวๆ ส่องสว่างโถงทางเดินเพียงเล็กน้อย และชายหน้าตาบูดบึ้งคนหนึ่งยืนอยู่หลังลูกกรง จ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“พวกป่าเถื่อนชิบหาย” เขาสบถขณะเสียบกุญแจเข้าไปในรูกุญแจแล้วบิด “ตามมา มีคนอยากเจอแก”





































































































































































































































































































