7: ผู้ชายฝูงคัดเลือกไว้

ไม่นานหลังจากการสนทนา เอรินกับอบิเกลก็กลับมาพร้อมกับผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคน ฉันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่พวกเธอทุกคนให้ความสนใจฉันมากขนาดนี้

พวกเธอแต่ละคนมีคำถามเกี่ยวกับฝูงของฉัน ครอบครัว และเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉันพยายามเปิดเผยและแสดงความขอบคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอนที่ตอบคำถามพวกเธอ แต่ก็จงใจเก็บรายละเอียดบางอย่างไว้

อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับโต๊ะและพวกผู้ชายที่จับฉันเปลื้องผ้า ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนั้น

ส่วนหนึ่งในใจฉันรู้ว่าในที่สุดพวกเธอก็จะรู้เรื่องนี้จากผู้ชายพวกนั้นบางคนอยู่ดี แต่ฉันก็หวังว่าพวกเธอจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่พูดถึงมัน

ขณะที่การสนทนาดำเนินไป ฉันก็ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคริมสันมูนมากขึ้นอีกหน่อย

ฉันเคยได้ยินข่าวลือแย่ๆ เกี่ยวกับฝูงที่ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ออกจากอาณาเขตของตนเองก็ต่อเมื่อต้องการโจมตีและสังหารหมู่เท่านั้น แต่ฉันก็ได้แต่หวังว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อขู่เด็กๆ เป็นแค่นิทานแย่ๆ เรื่องหนึ่ง

น่าเศร้าที่เรื่องนั้นเกี่ยวกับพวกเขาเป็นความจริง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ คือสิ่งที่พวกเขาทำหลังจากการโจมตี ผู้หญิงพวกนั้นอ้างว่าพวกผู้ชายจะพาผู้หญิงหลายคนกลับมาทุกครั้งที่พวกเขาทำลายฝูงอื่น ราวกับเป็นถ้วยรางวัล

ไม่มีใครยอมอธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงขโมยผู้หญิง พวกเธอเพียงแค่อธิบายระบบที่พวกตนใช้ชีวิตอยู่ อย่างที่อบิเกลพูดไว้ คนที่โชคดีจะถูกเลือกโดยผู้ชายในฝูง

เหตุผลที่ไม่มีผู้หญิงให้เห็นแถวอาคารหลักตอนที่ฉันอยู่ที่นั่น ก็เพราะว่าคนที่ถูกเลือกจะอาศัยอยู่กับคู่ของตนในบ้านแยกต่างหาก และพวกคนงานจะอยู่ที่นั่นในช่วงเช้ามืดหรือตอนค่ำๆ บางคนอยู่ที่นั่นเพื่อทำอาหารกลางวัน แต่พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องครัว

"แล้ว...พวกเขาตัดสินใจยังไงว่าจะเก็บใครไว้แล้วทิ้งใครไปล่ะคะ ขอโทษนะคะ แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจตรรกะการปกครองของพวกเขาเลยค่ะ ทำไมต้องลักพาตัวบางคนมาเพียงเพื่อทำให้พวกเธอกลายเป็นคนรับใช้ แล้วตัดสินว่าไม่เหมาะสมในภายหลังด้วยล่ะคะ" ในที่สุดฉันก็เริ่มถามคำถาม

คลอเดียส่งยิ้มสมเพชมาให้ฉัน เธอดูไม่เหมือนคนที่เศร้าใจกับสถานการณ์ของฉัน แต่เหมือนจะเศร้าใจที่ฉันไม่เข้าใจและดูไม่ฉลาดพอในสถานการณ์นี้มากกว่า

"ที่รักจ๊ะ พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเลือกยังไง สิ่งที่พวกเรารู้ก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ พวกเราเองก็เคยถูกพรากมาจากทุกสิ่งที่เคยรู้จัก พี่น้องและเพื่อนๆ ของเราบางคนถูกนำไปเป็นคู่ครองของพวกนักรบ ส่วนพวกเราที่เหลือน่ะเหรอ...อืมมม พวกเขาคงเห็นข้อบกพร่องล่ะมั้ง" เธอหัวเราะเบาๆ กับประโยคสุดท้ายของตัวเอง

ฉันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แล้วกวาดสายตามองใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่รอบตัวฉัน คลอเดียดูเหมือนจะอายุมากกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย แต่ดวงตาสีน้ำตาลสวยงามกับผมสีบลอนด์หยิกเป็นลอนของเธอก็ทำให้เธอดูราวกับเทพธิดา เธอไม่ได้มีอะไรบกพร่องเรื่องหน้าตาเลย อันที่จริงแล้ว พวกเธอทุกคนก็เช่นกัน

เอรินเป็นหญิงสาวผมแดงผู้ร่าเริงสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ส่วนอบิเกล ตรงข้ามกับเธอ เป็นสาวผมสีน้ำตาลเข้มที่ดูสงบเยือกเย็นแต่ก็แฝงไปด้วยความร้อนแรง พร้อมด้วยดวงตาสีเขียวที่ชวนมองที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา

จากนั้นก็มีแมรี่กับแซลลี่ – ฝาแฝดผู้งดงามจนแทบลืมหายใจ พวกเธอมีผมสีเข้มยาวสลวยและดวงตาสีฟ้าคมกริบ ถัดจากพวกเธอคือเคท ซึ่งแทบจะเหมือนเอรินทุกอย่าง ยกเว้นสีผม

ไม่ว่าฉันจะมองไปทางไหน ผู้หญิงทุกคนรอบตัวฉันล้วนมีเอกลักษณ์และสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าจะมีใครดูแปลกแยก ก็คงเป็นฉันเอง ฉันจึงไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงถูกพรากมาจากฝูงของฉัน บางทีในกรณีของฉัน อาจจะเป็นเรื่องสายเลือด ไม่ใช่รูปร่างหน้าตากระมัง? น่าจะอย่างนั้นแหละ

ตอนนี้ฉันมีคำถามผุดขึ้นในใจมากมาย แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกมา คลอเดียก็วางมือลงบนมือของฉันแล้วถอนหายใจ "ได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะจ้ะ เธอต้องพักผ่อน พวกเราเองก็เหมือนกัน พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนนะ"

ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับคำพูดนั้น วันสำคัญงั้นหรือ ฟังดูเหมือนฝันร้ายที่สุดของฉันเสียมากกว่า

ตอนที่พวกหล่อนลุกจากที่นั่ง ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไป ฉันมีความสุขกับอาหารมื้อเยี่ยมและการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ กับพวกหล่อน ดังนั้นผู้หญิงทุกคนก็สมควรได้รับการพักผ่อนบ้าง คงจะเป็นการโกหกถ้าฉันอ้างว่าอยากจะนอนหลับ อันที่จริง ฉันรู้ดีว่าคงข่มตาหลับไม่ลงจนกว่าจะเช้า

มีคนบอกให้ฉันไปที่ห้องนอนแล้วพักผ่อน แต่พอพวกหล่อนไปแล้ว ฉันก็นอนแผ่อยู่บนโซฟาแล้วพยายามวิเคราะห์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าการคิดมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา แต่ฉันก็อดไม่ได้

ถึงจุดหนึ่ง ฉันคงเผลอหลับไป เพราะฉันถูกคลอเดียปลุกด้วยการเขย่าตัวและเธอกำลังโน้มตัวอยู่เหนือฉัน “ไอฟี ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอให้ไปนอนบนเตียงแล้วตั้งนาฬิกาปลุก? เราจะสายกันถ้าไม่ออกไปตอนนี้ คนอื่นๆ เขาไปกันหมดแล้วนะ” หล่อนตำหนิฉัน

ฉันเมินความเจ็บปวดขณะลุกจากโซฟาแล้วเดินตามหล่อนออกไปข้างนอก คลอเดียใช้เวลาพอสมควรในการตำหนิฉันเรื่องที่ยังใส่เสื้อผ้าขาดๆ และไม่ได้อาบน้ำ แต่พอถึงครึ่งทางไปอาคารหลัก หล่อนก็สงบลงในที่สุด

“ตอนที่เธอไปพบอัลฟ่า ถ้าเขาพูดอะไรเรื่องเสื้อผ้า บอกเขาไปว่าเราไม่มีไซส์ของเธอ แล้วฉันก็สั่งไปให้แล้วนะ มันเป็นเรื่องโกหกน่ะ แต่ฉันจะทำทันทีที่เรากลับถึงบ้าน แต่จริงๆ นะ เธอมันตัวเล็กมาก ฉันไม่คิดว่าเราจะมีอะไรที่เธอใส่ได้พอดีหรอก อย่างที่เห็น พวกเราทุกคนค่อนข้างจะตัวใหญ่กว่าหน่อย บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่เราไม่เป็นที่ต้องการขนาดนี้” หล่อนเสริมประโยคสุดท้ายด้วยเสียงกระซิบ

หางตาของฉันมองเห็นสีหน้าบูดบึ้งของหล่อน อันที่จริงแล้ว พวกหล่อนไม่ได้ ‘ตัวใหญ่กว่า’ อย่างที่หล่อนอ้างเลยสักคน ฉันต่างหากที่ผอมจนน่าเป็นห่วง นั่นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่มันเป็นเพราะฉันขาดอาหารมาตลอดทั้งสัปดาห์

คลอเดียและคนอื่นๆ ดูปกติอย่างสมบูรณ์ในสายตาของฉัน - อันที่จริง มากกว่านั้นด้วยซ้ำ พวกหล่อนมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่เย้ายวนและรูปร่างที่สวยงาม ฉันเชื่อว่าคำพูดขมขื่นเหล่านั้นต้องเป็นปฏิกิริยาจากการถูกปฏิเสธจากชายกลุ่มเดียวกับที่ลักพาตัวพวกหล่อนมาจากครอบครัว แต่ฉันเลือกที่จะเก็บมันไว้กับตัวเอง

ฉันโดนตำหนิมามากพอแล้ว ฉันไม่อยากฟังมันอีก

เมื่อเราไปถึงอาคารหลัก เราก็ไปต่อท้ายแถวของผู้หญิงที่กำลังรอให้เข้าไปข้างใน อย่างน้อยที่สุด เราก็ไม่ได้มาสาย ซึ่งดูเหมือนจะมีความหมายกับคลอเดียมาก

ทั้งตัวของฉันปวดไปหมดขณะที่ฉันคอยสลับน้ำหนักจากขาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งระหว่างที่พวกยามปล่อยให้ผู้หญิงเข้าไปทีละคน พวกเขากตรวจดูเสื้อผ้าและตะคอกใส่ใครก็ตามที่มีแม้แต่เศษดินเล็กๆ ติดอยู่ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคลอเดียถึงไม่พอใจฉัน

พอถึงประตู ฉันรู้สึกเหมือนเท้ากำลังลุกเป็นไฟ พวกยามปล่อยให้คลอเดียเข้าไปในอาคารโดยไม่ตรวจค้น แต่หล่อนยืนยันว่าจะรอคนมาใหม่

ทันทีที่สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่ฉัน ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “แกใส่อะไรของแกวะ?” หนึ่งในนั้นตวาดแล้วยกมือขึ้นราวกับจะตบฉัน

ยามอีกคนคว้าข้อมือเขาไว้แล้วขู่ฟ่อ “อย่าเพิ่งอาละวาดตอนนี้ ไว้ทีหลัง หลังจากที่หล่อนไปพบอัลฟ่าแล้ว เขาคนนั้นรออีนี่อยู่ในห้องทำงานของเขาแล้ว ปล่อยให้เขาจัดการกับเดนคนนี้เอง”

ดวงตาของคลอเดียเบิกกว้างขณะที่หล่อนเริ่มถอยหลังแล้วหายเข้าไปในอาคาร แหม ช่างเป็นการช่วยเหลือฉันเสียจริง ยามคนที่ก้าวร้าวเอื้อมมือมาด้านหลังฉันแล้วคว้าผมของฉันเต็มกำมือ ลากฉันเข้าไปในอาคารโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ผู้หญิงทุกคนได้เห็นความทุกข์ทรมานของฉันขณะที่เขาลากหัวฉันผ่านฝูงชน เขายังคงดึงและกระชากจนน้ำตาคลอเบ้า ฉันเกือบจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่แล้วแรงจับก็หายไปทันทีและฉันก็ถูกโยนลงบนพื้น

“ในที่สุดแกก็เสด็จมาให้ฉันเห็นหน้าสักทีนะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป