บทที่ 7: แคทรีนา

ตอนที่เดินจูงมือไมล์สเข้าไปในโรงอาหาร ฉันอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นความเงียบภายในห้อง โต๊ะทุกตัวในโรงอาหารเต็มหมดยกเว้นอยู่โต๊ะเดียว และก่อนที่เราจะเข้ามา เสียงในห้องนั้นดังเซ็งแซ่และร่าเริงเต็มไปด้วยนักเรียนที่กำลังคุยกันเรื่องคาบเรียนที่จะถึง แต่ทันทีที่เราก้าวเข้ามา ทุกอย่างก็เงียบกริบ ฉันบีบมือไมล์สอย่างประหม่า และเขาก็ตอบสนองด้วยการยกมือฉันขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจูบเบาๆ เบ็คเก็ตต์กับอเฟลิออนเดินตามเข้ามาติดๆ และเช้านี้ฉันก็ยังไม่เห็นซามาเอลเลย ไม่ใช่ว่าฉันมองหาเขาอยู่หรอกนะ

“อเฟลิออน!” เสียงร้องแหลมปรี๊ดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนเธอจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ถึงยี่สิบกลางๆ ผู้หญิงคนที่วิ่งมาทางเรามีผมสีดำขลับดุจปีกอีกา และดวงตาสีเขียวไอวี่ ขอบตาของเธอเขียนด้วยอายไลเนอร์สีดำหนาเตอะ และริมฝีปากก็ทาด้วยลิปสติกสีแดงเลือดนก เธอวิ่งตรงมาหาอเฟลิออนพร้อมอ้าแขนกว้างแล้วโผเข้าใส่เขาเต็มแรง สองแขนกอดรอบคอส่วนขาก็เกี่ยวรอบเอวเขาไว้ หล่อนโน้มตัวเข้าไปจะจูบ แต่อเฟลิออนหันหน้าไปทางซ้าย ทำให้ริมฝีปากของหล่อนประทับลงบนแก้มเขาแทน ดูเหมือนว่าทั้งโรงอาหารจะสูดลมหายใจเข้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“อ้อ ฮิลด้า เอ่อ...ไง” อเฟลิออนพูดพลางวางหญิงสาวลงบนพื้น เธอมองเขาด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรขณะจ้องมองเขาอย่างคลางแคลงใจ

“นี่แคทรีนา” อเฟลิออนพูดพลางดึงตัวฉันมาจากไมล์ส แล้วแนะนำให้ฉันรู้จักกับฮิลด้า

ฮิลด้ามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าและดูเหมือนจะไม่ประทับใจนัก แต่เธอก็ยังมีมารยาทพอที่จะแนะนำตัวเองกับฉัน “ฮิลด้า ตระกูลอัสนี กึ่งเทพ ธิดาแห่งธอร์” จากนั้นเธอก็แค่นเสียงใส่ฉันพลางควงแขนอเฟลิออน “คู่หมั้นของอเฟลิออน ทายาทแห่งอาณาจักรสกาย”

ฉันอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมากับท่าทีแสดงความเป็นเจ้าของของเธอ ถึงแม้ว่าในอกจะร้อนรุ่มไปด้วยความหึงหวงก็ตาม

“เอ่อ ฮิลด้า...” อเฟลิออนเริ่มพูดพลางลูบท้ายทอย แต่ฉันพูดขัดจังหวะเขา นี่เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกของฉันต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน ฉันอยากให้พวกเขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมาแหยมด้วยได้ง่ายๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฮิลด้า” ฉันพูดพลางปั้นรอยยิ้มที่เสแสร้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ประดับใบหน้า “ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอเธอ ฉันแคทรีนา อย่างที่เธอรู้แล้ว เอ่อ...ตระกูลไม่ปรากฏ สถานะเทพไม่ปรากฏ สถานะบิดามารดาก็ไม่ปรากฏอีกเช่นกัน เมทของอเฟลิออน” ฉันยื่นมือออกไปราวกับรอให้เธอจับ

“เมท” ฉันได้ยินเสียงผู้คนกระซิบกระซาบกัน “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?” “พวกเขาไปเจอเธอที่ไหน?” “ตระกูลของเธอไม่ปรากฏได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่าต้องแสดงพลังถึงจะเข้าดีไวน์อะคาเดมีได้เหรอ?”

“ฟังนะ แคทรีนา” ฮิลด้าพูดพลางจ้องเขม็งมาที่ฉัน มือเท้าสะเอว ท่าทางของเธอแสดงออกถึงความยโสโอหังอย่างชัดเจน “เธออาจจะเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของอเฟลิออน แต่เธอไม่มีวันได้เป็นคู่ชะตาของเขาหรอก เทพเจ้าไม่อาจถูกลิขิตให้มีคู่เป็นคนไร้ตัวตนอย่างเธอได้!”

อเฟลิออนพยายามจะเข้ามาห้ามอีกครั้ง ฉันรู้จักเขาได้ไม่นาน แต่ก็มองเห็นประกายสายฟ้าหมุนวนในดวงตาสีเขียวของเขา เผยให้เห็นความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

“ฟังนะ เฮลก้า” ฉันพูดพลางจงใจเรียกชื่อเธอผิดๆ “เธออาจจะเป็น ‘คู่หมั้น’ ของอเฟลิออน แต่เราจะได้เห็นกันว่าคืนนี้เขาจะไปนอนกกใคร”

ฉันมองดูความโกรธบนใบหน้าของอเฟลิออนค่อยๆ มอดลง แทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนๆ ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ กับปฏิกิริยาของเขา มันเหมือนกับว่าฉันเพิ่งโยนกระดูกให้หมาไม่มีผิด

ฉันหันหลังให้ฮิลด้าแล้วเริ่มเดินไปยังโต๊ะกลางห้อง โดยมีพวกผู้ชายของฉันเดินตาม ทิ้งให้ฮิลด้าอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น

“เอ้อ นั่นมันน่าสนุกจริงๆ” เบ็คเก็ตต์พูด “ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าอาหารเช้ากับการแสดงสดอีกแล้ว”

ฉันกรอกตามองบนใส่เขา ต้องยกให้เบ็คเก็ตต์เลยเรื่องเปลี่ยนสถานการณ์ตึงเครียดให้ผ่อนคลาย ถึงแม้ฉันจะเพิ่งรู้จักพวกนี้ไม่ถึงวัน ไม่นับไมล์ส พวกเขาก็เริ่มจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว และฉันก็กำลังสนุกกับบุคลิกเฉพาะตัวของแต่ละคน

“แล้ววันนี้จะมีคู่หมั้นหรือแฟนเก่าขี้หึงโผล่มาให้ฉันต้องรับมืออีกไหมเนี่ย?” ฉันถามขึ้นลอยๆ ไม่ได้เจาะจงใคร

ไมล์สสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ เบ็คเก็ตต์ระเบิดหัวเราะลั่น ส่วนอเฟลิออนหน้าแดงก่ำ

“คนที่เธอต้องกังวลน่ะคือสาวๆ ของไมล์สต่างหาก” ในที่สุดเบ็คเก็ตต์ก็พูดขึ้นหลังจากหยุดหัวเราะได้ “ไมล์สน่ะออกจะเจ้าชู้หน่อยๆ ส่วนฉันเคยคบจริงจังแค่สองคนเอง แล้วทั้งคู่ก็ไปเจอคู่แท้ของตัวเองแล้ว อเฟลิออนผู้น่าสงสารสิต้องติดแหง็กอยู่กับฮิลด้ามาตั้งแต่เกิด แถมยังรักๆ เลิกๆ กันอยู่เรื่อย”

“เจ้าชู้งั้นเหรอ?” ฉันถามพลางหันไปทางไมล์ส

เขาหัวเราะแหะๆ ตอบ “ฉันคงไม่เรียกตัวเองว่าเพลย์บอยหรอกนะ”

“อ๋อ แล้วนายจะเรียกตัวเองว่าอะไรล่ะ” ฉันถามเขา พลางโน้มตัวเข้าไปใกล้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มหยอกเย้า

“อืม” เขาครางพลางลูบคาง “ฉันว่าเธอเรียกฉันว่านักรักผู้เชี่ยวชาญก็ได้นะ”

“เหลวไหลน่า!” ฉันพูดพลางผลักเขาเบาๆ อย่างหยอกล้อ ก่อนจะหันไปโน้มตัวข้ามโต๊ะ ความสนใจทั้งหมดของฉันตอนนี้อยู่ที่อโพเลียน “เอาล่ะ บอกฉันมาซิ สปาร์คกี้ ทำไมนายกับยัยควีนบีถึงได้หมั้นหมายกัน”

“สปาร์คกี้?” อโพเลียนถามฉัน พลางมองมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “และคำถามที่ถูกต้องคือ ทำไมเรา เคย หมั้นกัน คำสำคัญคือ เคย หมายถึงอดีตกาล”

“ฮิลด้าดูจะไม่คิดอย่างนั้นนะ” ฉันพูดพลางจ้องไปยังหญิงสาวที่กำลังโกรธอยู่ที่โต๊ะของหล่อนอีกฟากของห้อง “ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ฉันคงตายไปเป็นพันครั้งแล้วล่ะ”

“เอาเป็นว่าฮิลด้าเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะถ้าหล่อนคิดว่ามีใครกำลังล้ำเส้นเข้ามาในอาณาเขตของหล่อน” อโพเลียนตอบพลางยื่นมือข้ามโต๊ะมาพยายามจะจับมือฉัน

“แล้วฉันกำลังล้ำเส้นอยู่หรือเปล่า” ฉันถามอโพเลียนขณะเลื่อนมือออกจากโต๊ะมาวางไว้บนตัก

“องค์หญิง ท่านไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย ที่ของท่านคือข้างกายข้าโดยชอบธรรม ท่านถูกสร้างมาเพื่อข้า เช่นเดียวกับที่ข้าถูกสร้างมาเพื่อท่าน” อโพเลียนพูด ดวงตาของเขาอ้อนวอนขอให้ฉันให้อภัยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

“ถูกสร้างมาเพื่อพวกเราต่างหาก” เบ็คเก็ตต์พูดเสริมขึ้น โดยมีไมลส์พยักหน้าเห็นด้วย

“นายไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น สปาร์คกี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก็ให้มันอยู่ในอดีตไป สิ่งเดียวที่ฉันอยากรู้จริงๆ ก็คือทำไมถึงมีการหมั้นหมาย”

อโพเลียนถอนหายใจพลางยกมือกุมขมับ “มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายยาวน่ะ” เขาพึมพำ

ฉันดูออกว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ แต่ฉันก็มองไม่เห็นภาพตัวเองจะสานสัมพันธ์กับอโพเลียนได้ ถ้ายังไม่รู้เรื่องการหมั้นหมายนี้และเหตุผลเบื้องหลังของมันมากขึ้น

“มันไม่ใช่เรื่องยาวขนาดนั้นหรอก” เบ็คเก็ตต์พูดพลางยักไหล่ “พ่อของอโพเลียนต้องการเสริมอำนาจของตนในอาณาจักรสวรรค์ ในขณะที่ปัจจุบันซุสเป็นเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดผู้ควบคุมพลังแห่งท้องฟ้า ธอร์ก็มีพลังตามมาติดๆ และบาอัลก็อยู่ถัดไปอีกที บาอัลเองก็มีลูกชาย ซุสกลัวว่าธอร์กับบาอัลจะรวมกำลังกันผ่านการแต่งงานของลูกๆ พวกเขา ซุสก็เลยทำข้อตกลงกับธอร์ การหมั้นหมายจึงเกิดขึ้น”

อโพเลียนทำหน้าบึ้ง ฉันดูออกว่าการพูดถึงพ่อของเขากำลังทำให้เขาอึดอัด

“แล้วถ้านายไม่ทำตามการหมั้นหมายล่ะ” ฉันถามอโพเลียน พลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปลูบหลังมือเขาเบาๆ รู้สึกเพลิดเพลินกับประกายไฟที่แล่นปราดขึ้นมาตามแขนเมื่อสัมผัสเขา

“ตราบใดที่เหตุผลคือท่าน ข้าก็จะไม่เป็นไร ท่านคือคู่แท้หนึ่งเดียวของข้า ไม่มีใคร แม้แต่เหล่ามหาเทพก็มิอาจทำลายพันธะคู่แท้ได้ นอกจากนี้ท่านยังจะช่วยให้บัลลังก์ของทั้งสี่อาณาจักรเป็นปึกแผ่นและรวมเป็นหนึ่งเดียว” อโพเลียนตอบพลางกุมมือฉันไว้ในมือของเขา

“งั้นก็ไม่กดดันเลยสินะ” ฉันถามอย่างติดตลก พยายามจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงอีกครั้ง

เสียงระฆังดังขึ้น และพวกผู้ชายทุกคนก็ครางออกมาพร้อมกัน

“ถึงเวลาเริ่มเรียนคาบแรกแล้วเหรอ” ฉันถาม รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่แล้ว” เบ็คเก็ตต์ตอบพลางรวบรวมกระเป๋าให้ฉัน “คาบแรกของเธอเรียนอะไร”

“เอ่อ... วิชาเทววิทยาและปิศาจวิทยา” ฉันตอบพลางหยิบตารางเรียนออกจากกระเป๋า

“อา ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะได้เจอซามาเอลจนได้สินะ” เบ็คเก็ตต์ตอบ “ฉันกับอโพเลียนจะพาไปทางนั้น มันอยู่ใกล้กับคลาสฝึกซ้อมการต่อสู้ของเรา”

ฉันรู้สึกท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ความประหม่าของฉันตอนนี้กลายเป็นก้อนความวิตกกังวลไปแล้ว เยี่ยมเลย ไม่ใช่แค่ฉันจะต้องเข้าเรียนคาบแรกที่สถาบันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ฉันยังต้องเรียนกับคู่แท้คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะทนฉันไม่ไหวอีกด้วย

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ไมลส์พูดพลางลุกขึ้นจากที่นั่งข้างฉัน “ซามาเอลไม่ชินกับความรักใคร่ผูกพัน เขาโตมาในยมโลก”

ฉันกลอกตา “ตอนแรกเขาก็ดูอ่อนโยนดีออกจะตายไป”

“พวกเราทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบจากเธอในแบบของตัวเอง” ไมลส์ตอบพลางโน้มตัวเข้ามาจูบฉันเร็วๆ “อ้อ แล้วเจอกันตอนซ้อมนะ” เขาพูดพลางยักคิ้วให้ฉันขณะเดินออกจากโรงอาหารไปยังคลาสแรกของวัน

“ว่าไง” อโพเลียนพูดขณะที่เราออกจากโรงอาหารและเดินไปยังคลาสแรกของฉัน “เมื่อกี้ท่านแค่พยายามจะยั่วโมโหฮิลด้าเล่น หรือว่าท่านพูดจริงเรื่องที่จะให้ข้านอนบนเตียงของท่านคืนนี้”

“อืมม ก็คงต้องดูกันไปนะ สปาร์คกี้ ว่านายจะเป็นเด็กดีหรือเปล่า” ฉันตอบอย่างยั่วยวนขณะเดินนำหน้าเขาไปข้างๆ เบ็คเก็ตต์

บทก่อนหน้า
บทถัดไป