บทที่ 12 ตอบแทนน้ำใจ5
‘พวกเจ้ากล้าดูถูกข้า สารเลวนัก’
เป็นผู้ใดก็ย่อมเสียหน้าเป็นที่สุด มีอย่างที่ไหนกำลังต่อสู้กับเขาอยู่ยังหาญกล้าถ่ายทอดวิชาให้แก่อีกคนได้อย่างหน้าตาเฉย มันช่างหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว เจิ้งถงเพิ่มความดุดันในการลงมือต่อศิษย์พี่ของตนเองให้หนักขึ้น
“ข้าจะไม่มีวันให้คนอย่างพวกเจ้ามาเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้ต่อไปได้อีก ความตายคือของขวัญสำหรับเจ้าสองคน ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมกับผู้นำแห่งโลกันต์ เข้าใจหรือไม่ ศิษย์พี่”
“ฮา ๆ เจ้ามั่นใจขนาดเลยรึ! ลองทำให้ข้าดูสักหน่อยจะเป็นไร”
แม้ใบหน้าหมิงจงเป่าจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะยังคงมีไม่ขาดสาย แต่ใช่ว่าภายในจิตใจจะเป็นดังเช่นภายนอกเสียเมื่อไหร่กัน บุรุษที่จับอาวุธเพื่อช่วงชิงอำนาจผู้อื่นได้นั้น มิว่าอย่างไรก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ต่อให้มองเสมือนศัตรูดูไร้ฝีมือ แท้จริงอาจเป็นเพียงกลลวง เพื่อให้เราตายใจก็เป็นได้
เช่นเดียวกันกับเจิ้งถง แม้จะฝีมือไม่อาจทัดเทียมเขาได้เมื่อในอดีต แต่ตลอดหลายปีที่เจิ้งถงหายไป มิอาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายร่ำเรียนวิชาเพิ่มพูนความสามารถมาจากที่ใดอีกบ้าง การประมือในครานี้นับว่าความเสี่ยงมีอยู่ไม่น้อย
หนึ่งรุกด้วยความทะนงในฝีมือ อีกหนึ่งรับด้วยความชาญฉลาด ผู้หนึ่งใช้กำลังเพื่อช่วงชิงชัยชนะ อีกหนึ่งนั้นใช้สติตอบโต้เพื่อรอจังหวะพลิกสถานการณ์ หากนี่คือสนามรบขนาดใหญ่ก็ยากจะประเมินได้ว่าผู้ใดคือคนที่จะคว้าชัยมีเพียงทั้งสองที่กำลังต่อกรกันเท่านั้นที่พากันประเมินผลครั้งนี้อยู่ภายในใจ
จีกวานฮวาลอบมองการต่อสู้ของ ชายที่นางเคยพบเจอเมื่อสองปีก่อนอยู่เช่นกัน
‘มิธรรมดาจริง ๆ คนผู้นี้คือใครกัน ไยดูจะห่วงใยโม่ไป๋หลานยิ่งนัก’
ดวงตากลมโตที่เคยสดในของจีกวานฮวาเปลี่ยนเป็นดุร้ายเจ้าเล่ห์ เสมือนจิ้งจอกก็มิปาน นางพลาดพลั้งให้คู่ต่อสู้บ้างแล้ว เรียกว่าตัวนางกำลังจะตกเป็นรองอีกฝ่ายอยู่รอมร่อ
“โม่ไป๋หลาน หากวันนี้ ข้าไม่ปลิดชีพเจ้าให้สิ้น ข้าไม่ขอมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกเช่นกัน”
“ข้าคงไม่อาจห้ามเจ้าได้น้องพี่ หากเจ้าคิดอยากจะตายในวันนี้ เอาเป็นว่าทำตามที่ใจเจ้าปรารถนาเถิด หึ ๆ พี่รักเจ้ามากยิ่งนัก คงทำได้เพียงสนับสนุนเจ้าให้สมปรารถนาเท่านั้นกระมัง”
ฟางเล่อกล่าววาจาเย้าแหย่อีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะจบการต่อสู้ลงได้เมื่อใดกัน แต่มันคือหลักการใช้จิตวิทยาในการทำลายสมาธิของคู่ต่อสู้ตามแบบแผนที่นางจดจำมาจากอีกมิติ มาใช้หันเหความคิดของจีกวานฮวา เพื่อให้ญาติผู้น้องมุ่งเน้นแต่การกำจัดนาง โดยลืมเพิ่มการป้องกันตัวเองจากการต่อสู้
‘ในเมื่อกำลังของข้ายังไม่แข็งแกร่ง แต่ฝีปากข้าในการเบี่ยงเบนเจ้า เชื่อเถอะว่าข้าเหนือชั้นกว่าเจ้าจีกวานฮวา’
การต่อสู้ทางด้านพี่น้องสกุลหยาง
เมี่ยวจ้านขยับเท้าหลบการโจมตีได้แบบเฉียดฉิวมาก หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง คนอย่างนางหรือจะยอมละสายตาจากคู่ต่อสู้และทุกอย่างรอบ ๆ กาย หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่านางยินยอมตกเป็นรองศัตรูด้วยความสมัครใจนั้นเอง
‘ไม่ทางเสียละพี่ชายข้า’
หญิงสาวก้าวหลบได้อย่างว่องไวดุจสายลม ดาบในมือของหยางซานหลางฟันลงหมายผ่ากลางลำตัวให้จงได้ แต่มันกลับฝันลงยังพื้นดิน เฉียดปลายเท้าผู้เป็นน้องสาวเพียงเสี้ยวเท่านั้น
เมี่ยวจ้านจำต้องสะกิดปลายเท้า เหินกายถอยห่างหยางซานหลางด้วยว่านางใช้แส้เป็นอาวุธ แม่ทัพหนุ่มพุ่งตามเมี่ยวจ้านไปติด ๆ สองพี่น้องห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
เสียงระเบิดของพลังวัตรมีเป็นวงกว้าง หยางซานหลางริษยาน้องสาวผู้ที่แย่งความรักของมารดาไปจากตนเอง เมื่อก่อนเขาเป็นลูกรักของมารดาเพียงผู้เดียวมาตลอด แต่เวลานี้ นอกจากมารดาจะเกลียดชังเขาแล้วยังมีลูกรักคนใหม่ที่เก่งกาจไม่แพ้กันกับเขา
‘เจ้ามันน่าชังนัก น้องสาวข้า’
“เจ้ามันสมควรตาย…เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าไม่มีน้องสาวเช่นเจ้า” หยางซานหลางพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันขณะที่บุกเข้าประชิดตัวผู้เป็นน้องสาว ใบหน้าดุดันจนกลายเป็นเหี้ยมเกรียมเลยทีเดียว
“มันควรเป็นข้าที่ต้องพูดแบบนี้พี่ชาย ท่านมันเกิดมาเพื่อหนักแผ่นดิน แล้วยังช่วงชิงครอบครัวของข้าไปอีก” เมี่ยวจ้านเองก็จุกไปทั้งทรวงอกเมื่อหยางซานหลางกำลังพาลหาเรื่องนาง
หยางซานหลางเองดวงตาเริ่มแดงก่ำจากการข่มกลั้นบางสิ่งเอาไว้ภายใน มิอาจปลดปล่อยออกมาให้ศัตรูได้เห็นมัน เขาเก็บกดเรื่องมารดามาหลายวันแล้วจนถึงตอนนี้ที่…
“อ๊ากกก…”
ตูม! ตูม!
พื้นดินแตกกระจายจนฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจากการระเบิดพลังของชายหนุ่ม
เมี่ยวจ้านพุ่งขึ้นสู่ที่สูง สองเท้าเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ มองลงด้านล่าง นางเห็นเพียงหยางซานหลางกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมปลดปล่อยพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ หยางซานหลาง”
เมี่ยวจ้านพึมพำเบา ๆ เมื่อมองเห็นสิ่งที่พี่ชายกระทำอยู่ในเวลานี้ เมี่ยวจ้านเหมือนกำลังมองดูอีกด้านของผู้เป็นพี่

















