บทที่ 5 ไล่ล่า

เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนาน

รถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลาง

เนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้า

ด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด

‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’

หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว

“ยะ!”

ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน

“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่” คนสนิทของหยางซานซินเอ่ย

“อย่าได้บังอาจถามข้า” หยางซานหลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ และไม่แม้แต่จะชำเลืองมองคนที่ควบม้าตีเสมอขึ้นมาอยู่ข้างกาย

ทางด้านหมิงจงเป่าเร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก ส่วนคนที่นั่งอยู่ภายในรถม้ามิได้พากันหวาดกลัวต่อภัยที่กำลังมาถึงตัวสักนิด

หลิวเจินเจินรู้สึกใจหาย เมื่อรู้ว่าคนที่ตามล่านางคือบุตรชายซึ่งนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดด้วยสองมือ นางไม่คิดว่าวันนี้จะเกิดขึ้น เมื่อต้องทำร้ายชายหนุ่มที่นางรักดั่งบุตรในอุทร หากพวกนางไม่รีบลงมือเสียแต่ตอนนี้ ไม่ช้าคงต้องกลายเป็นเพียงเบี้ยในกระดานจนกลายเป็นศึกรอบด้านก็เป็นได้ นางจำต้องร่วมแผนการตัดกำลังของฝ่ายกบฏซึ่งมีอดีตสามีและบุตรชายร่วมอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับนาง

ทุกอย่างมิอาจรั้งรอได้เหมือนที่คิดในคราแรก ว่าควรจะรอเวลาเหมาะสมที่ค่อยลงมือ แต่อดีตสามีกลับไม่คิดละเว้นชีวิตนางและบุตรสาว เมื่ออีกฝ่ายมิเมตตาต่อนาง เช่นนั้นจำเป็นด้วยหรือที่จะยอมถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว

“เมี่ยวเอ๋อร์ มิว่าอย่างไรวันนี้ เจ้าห้ามห่วงแม่มากกว่าตนเองเข้าใจหรือไม่ สำหรับแม่นั้นเสมือนใบไม้ที่ใกล้ปลิดปลิว ส่วนลูกนั้นเปรียบดั่งดอกไม้แรกแย้ม อย่าเลือกที่จะเสียสละตนเอง โดยทำร้ายใจคนแก่เช่นแม่ รู้ไหม”

หลิวเจินเจินกำชับบุตรสาว เพราะเกรงว่าหากเมี่ยวจ้านมัวแต่ห่วงนางอาจพลาดพลั้งถึงชีวิตเอาได้ แม้แต่บาดเจ็บ นางก็ไม่อยากให้เกิดแก่บุตรสาวเพียงคนเดียว

“ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ แค่ไม่กี่คน ข้ากับท่านอาหมิงรับมือไหวอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ นางไม่มั่นใจนัก แต่มิอยากให้ผู้เป็นแม่ต้องเป็นกังวลเท่านั้นเอง นางคือนักรบ ไม่เคยคิดที่จะประมาทศัตรู การที่อีกฝ่ายกล้าตามไล่ล่าพวกนาง นั่นเท่ากับว่าอีกฝ่ายก็ต้องมิใช่ธรรมดาเช่นกัน พี่ชายของนางเป็นถึงแม่ทัพ ฝีมือย่อมต้องสูงส่ง ในความดุดันย่อมต้องมีสมองที่ชาญฉลาดในการเอาชนะคู่ต่อสู้ มิเช่นนั้น คนอย่างหยางซานหลางคงไม่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้นานถึงเพียงนี้เป็นแน่

“แม่ขอโทษ…ที่ทำให้ลูกต้องทำร้ายกันเอง” หลิวเจินเจินบีบเบา ๆ ที่มือของบุตรสาว

“ท่านแม่! มิว่าอย่างไร ข้าก็พร้อมที่จะป้องป้องท่านแม่นะเจ้าคะ” เมี่ยวจ้านเอ่ยเบา ๆ พร้อมระบายยิ้มงามทั่วใบหน้าทำให้หลิวเจินเจินอดอมยิ้มตามมิได้

ด้วยแผนการครั้งนี้ของฟางเล่อ ทั้งหมดเพียงเพื่อแยกสองพ่อลูกสกุลหยางออกจากกันเท่านั้น เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายดำเนินตามแผนได้อย่างราบลื่น อย่างไรเสียวันนี้ บรรดาจิ้งจอกทั้งหลายคงได้พากันโผล่หางออกมาอวดโฉมเป็นว่าเล่น

คนที่เดินทางมาอย่างลับ ๆ ตอนนี้อยู่ที่พรรคเมฆาทมิฬโดยมีหรู่อี้เป็นผู้ส่งข่าวมาให้ หลังจากคนสนิทของท่านหญิงโม่ได้แฝงตัวเข้าไปกับคณะของกลุ่มคนต้องสงสัย โดยมีหมิงจงเป่าเป็นผู้จัดการให้หญิงสาวปลอมตัวเข้าร่วมในคณะได้อย่างแนบเนียน

แม้คนส่งข่าวของหมิงจงเป่ามิอาจระบุตัวผู้นำของฝ่ายนั้นได้ แต่ก็สามารถบอกได้ว่าคณะเดินทางใดคือกลุ่มกบฏจึงง่ายต่อการส่งหรู่อี้เข้าไปปะปนแฝงตัวในคณะเดินทาง จนตอนนี้ หญิงสาวได้เข้าไปอยู่ในพรรคมารคอยสืบหาข่าว

ส่วนขุนนางที่ร่วมมือกับสกุลหยางนั้นก็มาถึงยังค่ายทหารแล้วเช่นกัน หากพวกเขาปะทะซึ่ง ๆ หน้าฝ่ายตนย่อมลำบากด้วยกำลังคนที่จำนวนน้อยกว่า แต่หากจะเอาชนะได้โดยเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุดก็จำต้องกำจัดผู้บงการไปทีละคน

‘ในเมื่อเป็นคนดีแล้วยังถูกทรยศหักหลัง ไยพวกเขาจะทำตัวเยี่ยงโจรร้าย หรือนักฆ่าบ้างไม่ได้เล่า’

นั่นคือคำพูดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาจากปากของท่านหญิงผู้เคยอ่อนโยนประดุจดอกไม้กลีบบาง แต่ไฉนนางกลับกลายเป็นดั่งพยัคฆ์ร้ายที่คอยซุ่มตะครุบเหยื่ออย่างชาญฉลาด เสมือนท่านหญิงโม่มิใช่คนเดิม

ฟิ้ว! ฉึก ๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป