บทที่ 8 ตอบแทนน้ำใจ

‘เป็นไปไม่ได้’

หญิงสาวเลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติ ความงดงามของโม่ไป๋หลาน เมื่อครั้งอดีตว่างดงามหยดย้อยแล้ว แต่โม่ไป๋หลานที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับงดงามไปอีกแบบ นางดูสูงค่าจนชายหนุ่มรำพันในใจว่านางคือสิ่งที่เขามิอาจเอื้อมถึงได้เลยก็มิปาน

แน่นอนว่าวันนี้…ฟางเล่อและอีกสามคนไม่คิดปล่อยให้หยางซานหลางกับคนของเขาให้มีชีวิตรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว ด้วยว่าความลับของพวกนางถูกพบเห็นโดยความตั้งใจของพวกนางเอง

อย่างไรเสีย มันก็ถึงเวลาเปิดศึกอย่างเป็นทางการกับฝ่ายกบฏแล้วนั่นเองจะปิดบังต่อไปก็ไร้ประโยชน์ มิเช่นนั้นจะเป็นการสูญเสียโอกาสที่จะช่วงชิงความได้เปรียบในหมากกระดานนี้

อยากรู้นักว่า หากหยางซานชินต้องสูญเสียของรักไป เขาจะรู้สึกเช่นไรบ้าง

‘จะว่าข้าใจร้ายก็ย่อมได้ แต่หากพวกเจ้าไม่เริ่มก่อน มีหรือคนเช่นข้าจะทำแบบนี้’

ฟางเล่อยิ้มเย็นชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นละมุนเช่นเดิม

“เจอกันอีกแล้วนะ ท่านพี่”

“ไยต้องเป็นเช่นนี้”

น้ำเสียงแผ่วเบาที่หลุดออกมาจากปากของหยางซานหลาง เมื่อสองตาดุจพญาอินทรีจ้องมองรอยยิ้มหยันของอดีตภรรยา

‘เจ้าไม่ได้รักข้าแล้วหรืออย่างไร’

หยางซานหลางได้แต่รำพันอยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจ

“ยะ!”

กุบ! กับ!

สตรีในชุดหรูหราควบม้าด้วยความร้อนใจโดยมีผู้ติดตามไปนับสิบคนตามหลังมิห่าง ฝันร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันมานานทำให้นางไม่อาจวางใจได้ เมื่อรู้เรื่องจากคนรักว่าเวลานี้บุตรชายเพียงคนเดียวกำลังออกติดตามอดีตภรรยาของแม่ทัพใหญ่หยางซานชินที่กำลังหลบหนีไปยังแคว้นข้างเคียง พร้อมหลักฐานสำคัญและความลับของนางกับแม่ทัพสกุลหยางทั้งสอง

สำหรับเรื่องนั้น นางมิกังวลใจเท่ากับภาพฝันซ้ำ ๆ ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวร้องเรียกหาผู้เป็นมารดาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

“ยะ!”

หลิวเมิ่งชีเร่งกระตุ้นม้าให้เร็วขึ้น ทั้งหมดวิ่งไปตามถนนเส้นเล็กที่รอบด้านเรียงรายไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ใจของนางยิ่งมิอาจควบคุมให้สงบลงได้ เมื่อภาพฝันฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดไม่ยอมจางหาย

ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นพร้อมอาการตื่นตัวของคนบนหลังม้าทันที เมื่อเสียงอาวุธกระทบกันดังให้ได้ยินจากเพียงบางเบาจนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้หลิวเมิ่งชีดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะเหินกายจากหลังม้า ตรงเข้าหาบุตรชาย

แต่ยังมิทันเข้าถึงตัว ร่างงามต้องเซถอยเมื่อเท้าสัมผัสพื้นดิน หลิวเจินเจินปรากฏกายขวางกั้นญาติผู้พี่ของตนเอาไว้เสียก่อน

“ท่านพี่…ไยถึงมิอยู่ในวังเล่าเจ้าคะ ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้มิเหมาะสมเลยนะเจ้าคะ”

หลิวเจินเจินพูดด้วยน้ำเสียงติดเยาะหยัน แววตาที่เคยมีแต่ความรัก และไว้ใจเมื่อครั้งในอดีต บัดนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงความว่างเปล่าในสายตาของหลิวเจินเจินที่มีต่อญาติผู้พี่ของนาง

หลิวเมิ่งชีสะท้านในอกเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัย ส่งกลับให้ญาติผู้น้องของตนเอง

“เจินเจิน…อย่าปากดีไปหน่อยเลย อย่างไรซะ! วันนี้ ข้าก็ต้องจบเรื่องระหว่างเราให้เสร็จสิ้นกันเสียที ”

หลิวเมิ่งชีชี้กระบี่ไปยังญาติของตน พระสนมคนงามถึงกับขบกรามแน่น เมื่อมองเลยไปยังบุตรชายที่กำลังต่อสู้กับหญิงสาวซึ่งนางไม่รู้จักว่าเป็นใครด้วยความเป็นห่วง

นับตั้งแต่เยาว์วัย หยางซานหลางจะนับนางเป็นเพียงแม่ทูนหัว แต่วันนี้ นางอยากได้ยินคำว่าแม่อย่างเพียงเดียว ไม่มีคำอื่นใดต่อท้าย

“ข้าก็ยังเป็นคนเดิมพี่สาว สิ่งใดถูกผิด ข้าแยกแยะออกเสมอ เรื่องระหว่างเรานั้นคืออันใดเล่า บอกน้องสาวผู้โง่เขลานี้สักนิดจะได้หรือไม่”

หลิวเจินเจินข่มกลั้นความคลั่งแค้นเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าระบายยิ้ม เพื่อมิให้คนที่หักหลังนางได้ใจไปมากกว่านี้

“เจ้ามิใช่เด็กแล้วเจินเจิน จงยอมรับความจริงว่า วันนี้ เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้าในทุก ๆ ด้าน เสียจะดีกว่าน้องรัก ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าคิดว่าได้ครอบครอง แท้จริงมันเป็นของข้ามาแต่แรกแล้ว และจะเป็นตลอดไป เจ้าควรขอบคุณพี่สาวเช่นข้าที่เมตตาให้ยืมคนรักและบุตรชาย เพื่อให้เจ้ามีความสุขในวัยสาวอย่างภาพฝันที่เจ้าปรารถนามาตั้งแต่วัยเยาว์”

หลิวเมิ่งชียังคงพยายามพูดเพื่อให้ญาติของตนรู้สึกต่ำต้อยโดยการต้องย้ำเรื่องความพ่ายแพ้ที่อีกฝ่ายได้รับมา นางไม่สนว่าจะถูกหรือผิด ใครจะอยู่หรือตายนางไม่สนใจ เพื่อให้ลูกของนางอยู่อย่างปลอดภัยและเติบโตมาด้วยความเพียบพร้อม คนเช่นนางทำได้ทุกอย่าง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มิอาจกลับไปแก้ไขอันใดได้อีก วันนี้ นางจะต้องกำจัดญาติผู้น้องให้ตายตกตามลูกน้อยของหลิวเจินเจินไปซะ

“เช่นนั้นรึ…ท่านพี่ เป็นข้าสินะ! ที่ต้องของคุณในความเมตตานั้น สตรีที่กล้าทำผิดศีลธรรมเช่นท่านยังคิดอยู่อีกหรือว่า ซานหลางจะยอมรับในตัวมารดาเช่นท่านกัน”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป