บทที่ 9 ตอบแทนน้ำใจ2
เจินเจิน ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาจะตามมาฆ่าเจ้าเพื่อข้าทำไม”
ทุกถ้อยคำของหลิวเมิ่งชีนั้นเหมือนมีดที่หมายกรีดกลางใจของอีกฝ่าย แต่หลิวเจินเจินกลับนิ่งเฉยต่อคำเหล่านั้น เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายเลือกใคร
‘เขาคือลูกชายข้าเมิ่งชี ต่อให้เขาลงมือกับข้า ใจของซานหลางก็มีแต่ข้าที่เป็นมารดาของเขา ข้าเชื่อเช่นนั้น’
“แล้วเราจะได้รู้กัน ท่านพี่”
หลิวเมิ่งชีกำอาวุธเอาไว้แน่น ฝีมือนางมิเป็นรองหลิวเจินเจินแม้แต่น้อย และวันนี้ นางจะพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตา ว่านางคือสตรีที่เพียบพร้อมทั้งอำนาจ หน้าตา และฝีมือ มิใช่หลิวเจินเจินที่มีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญว่าสตรีเหนือสตรี เป็นรองเพียงฮองเฮาของแคว้น สิ่งใดที่คนอย่างหลิวเมิ่งชีต้องการ มิมีคำว่าไม่ได้
“ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับลูกสาวของเจ้าเองน้องพี่”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือพี่สาวข้า ว่าบุตรสาวข้าตายแล้ว บ่าวที่ภักดีของข้าก็มากมาย มีหรือพวกเขาจะปล่อยให้ลูกข้าตาย”
หลิวเจินเจินหันใบหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะปรายตาไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังสะบัดแส้ไปมาอย่างดุดัน ต่อกรอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารกบฏ
หลิวเมิ่งชีได้มองตามสายตาของหลิวเจินเจินไป ก่อนจะตั้งใจเพ่งมองยังหญิงสาว ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายหันมาพอดี ผิวสีน้ำผึ้งต่างจากหญิงสาวทั่ว ๆ ไป แต่กลับงดงามและเหมือนกับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าเสียสติขนาดนั้นเลยหรือ ถึงขนาดต้องอุปโลกน์ว่าผู้อื่นเป็นลูกตน” หลิวเมิ่งชียังคงไม่เชื่อในสายตา แม้ในใจลึก ๆ กำลังหวาดหวั่น
“ข้าไม่จำเป็น…ต้องบังคับให้ใครมาเชื่อ”
หลิวเมิ่งชีขบกรามแน่น กระชับกระบี่ในมือ ก่อนจะสะกิดปลายเท้า เหินกายเข้าหาญาติผู้น้องของตนอย่างรวดเร็ว
“อย่าเสียเวลาพล่ามอยู่เลยเจินเจิน มอบชีวิตเจ้าให้แก่ข้าซะ!”
หลิวเจินเจินที่ขยับถอยเพียงเล็กน้อย ยิ้มหยันอีกฝ่าย
‘มันควรเป็นคำพูดของข้ามากกว่านะ’
หยางซานหลางที่กำลังรับมืออยู่กับอดีตภรรยา คราแรกที่เขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจน เขาไม่คิดที่จะเชื่อในสายตาของตนเองสักนิด แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา เพียงคำเดียว เขาก็จำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นอดีตภรรยาซึ่งควรจะตายไปแล้ว
เมื่อหญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้น ปิดบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ แล้วจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งใจ
‘นายหญิงแห่งเซียนอี้’
สตรีที่เขาหมายปองกลับเป็นอดีตภรรยาที่เขามิเคยต้องการ วันนี้กลับเป็นนางที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ฟางเล่อใช้ดาบคู่เข้าปะทะกับอดีตสามีด้วยความดุดัน แต่ใบหน้างามยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
จีกวานฮวาผละออกจากชายบนรถม้า พุ่งตรงเข้าหาศัตรูหัวใจอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ร่างงามยังมิทันได้ถึงตัวอีกฝ่าย เอวบางกลับถูกแส้ทองของเมี่ยวจ้านพันเข้าเสียก่อน
ขุนพลสาวกระชากร่างของจีกวานฮวาเหวี่ยงใส่ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปมิไกล รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม นางมิจำเป็นต้องอ่อนโยนกับศัตรู เพราะเมื่อใดที่นางใจอ่อน แล้วปล่อยไปก็มิต่างตีงูให้หลังหัก สักวัน มันต้องกลับมากัดนางอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้น กฎของการรบคือกำจัดเสียให้สิ้นซาก
ความรวดเร็วของแส้ทองคำช่างอ่อนพลิ้วแต่หนักแน่นยิ่งนัก ทุกที่ ๆ แส้กระทบจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงการปลดปล่อยพลังนั้น สร้างความพรั่นพรึงให้แก่เหล่าทหารที่ติดตามมิน้อย
หมิงจงเป่าไม่สนใจเหล่าทหารติดตาม แต่เขามุ่งเข้าจัดการกับพรรคมารที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาโดยมิได้ส่งเทียบเชิญไปสักหน่อย
การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นตามลำดับ จีกวานฮวาไม่คิดปิดบังวิชามารของตนแล้วในเวลานี้ เพราะถ้ามัวกลัวว่าคนรักจะรับในตัวนางไม่ได้คงมิพ้นต้องตายเสียตรงนี้อย่างแน่นอน
ฟางเล่อหมุนกายสลับกับเมี่ยวจ้านทันที เมื่อจีกวานฮวาปลดปล่อยพลังของมารออกมา หยางซานหลางที่ไม่คิดว่าคู่ต่อสู้อยู่ ๆ จะเปลี่ยนเป็นน้องสาวต่างมารดาจึงได้พลาดท่า ถูกแส้ทองพันรอบลำคอในทันใด ยังดีที่เขายกมือข้างที่ไม่ได้จับอาวุธขึ้นกันไว้จึงถูกรวบติดกับลำคอ ส่งผลให้เขายังสามารถหายใจได้อยู่
“พบกันอีกแล้วนะเจ้าคะ…ท่านพี่”
“ข้าต่อให้เจ้าก่อน น้องพี่”
สองพี่น้องยังคงพูดเหน็บแนมกันอยู่ในที เมี่ยวจ้านส่งพลังไปตามแส้ ก่อนจะหมุนแส้อย่างรวดเร็วและรุนแรง หยางซานหลางใช้วิชาตัวเบา ผ่อนแรงแส้ พร้อมกับพยายามทำให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการของน้องสาว ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจอยู่มาก ไยข้อมือบอบบางของน้องสาว มันกลับแข็งแกร่งดุจบุรุษนักเล่า
หยางซานหลางได้รวบรวมพลังทั้งหมด เพื่อทำให้ตนหลุดพ้นแส้ของน้องสาวให้เร็วที่สุด ก่อนที่คอของเขาจะถูกกระชากให้ขาดตามแรงของแส้ทองเส้นนี้
ตูม!
เสียงระเบิดพลังของชายหนุ่มทำให้แส้ทองคลายออก ด้วยเมี่ยว
จ้านจำต้องถอยห่างจากแม่ทัพหนุ่ม เพื่อตั้งหลักอีกครั้ง
“แค่ก ๆ”
หยางซานหลางถอยไปยืนพิงต้นไม้ ก่อนจะเอามือลูบที่ลำคอ พร้อมทั้งไอติด ๆ กันหลายครั้ง ดวงตาคมดุร้ายดั่งสัตว์บาดเจ็บที่พร้อมห้ำหั่นกับผู้ที่ทำร้ายตน ดาบในมือถูกกระชับแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีน้องสาวโดยอีกฝ่ายยังมิทันตั้งตัว

















