บทที่ 12 ความตายของพี่น้องสกุลโม่3
“ใครกัน”
มิถามเปล่า ร่างสูงก้าวตรงไปยังทิศทางตามสายตาของคนสนิทในทันที ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ายกยิ้มน้อย ๆ เมื่อมองต่ำลงไปยังขอบหน้าผาเห็นร่างของใครบางคนยังห้อยตัวอยู่ ก่อนหันกลับไปเอาคันธนูพร้อมลูกศรจากคนของตน แล้วยกขึ้นเหนี่ยวสายธนูจนสุดแรง ค่อย ๆ เบนหัวลูกศรไปยังเป้าหมาย
ฟึ่บ!
ลูกศรอันใหญ่ถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมายเสมือนการจับวางก็มิปาน ร่างของคนผู้นั้นร่วงลงไปเปรียบดั่งใบไม้ที่หลุดลอยจากกิ่งก้าน
ห่างออกไปอีกด้านของป่าบนต้นไม้สูงชัน ชายในชุดดำกว่าห้าคนได้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสงบ
เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว รวมทั้งกลุ่มโจรได้จากไปจนหมดสิ้น ทั้งห้าจึงได้ก้าวไปยังจุดปะทะกันในทันที ทุกอย่างคือความสูญเสีย ผู้นำทั้งสองของคณะได้สิ้นใจยังก้นผาลึก ทุกอย่างช่างง่ายดาย มิต้องลงมือให้เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“ส่งสาร์นให้แก่นายท่าน ว่าเสี้ยนหนามหลักถูกกำจัดแล้ว”
“ขอรับ”
ชายชุดดำทั้งห้าได้หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจของคณะพ่อค้าจากเมืองหลวง ที่จำต้องสังเวยชีวิตให้แก่ความประมาทของพวกเขาเอง
เมืองหลวง
ภายในตลาดเมืองหลวงดูจะคึกคักกว่าที่เคยเมื่อมีประกาศแต่งตั้งพระสนมจากต่างแดนขึ้นสู่ต่ำแหน่งเฟยอีกคน ทั้งยังมีข่าวว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับพระนางเต๋อเฟยให้สมพระเกียรติในอีกเร็ววัน จึงทำให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อเตรียมการเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้น
มิเว้นแม้แต่เหล่าคหบดีจากทั้งในและต่างแคว้น ต่างพากันนำสินค้าเข้ามายังเมืองหลวงชีเป่ยเพื่อค้าขายหาผลกำไรจากบรรดาบุตรธิดาของเหล่าผู้มีอันจะกิน
อีกทั้งข่าวลือมากมายในทางดีและไม่ดีได้กระจายไปทั่วทุกหัวมุมถนนเลยก็ว่าได้ ข่าวลือเหล่านั้นก็มิอาจหนีพ้นเรื่องของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในเวลานี้
เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทหยุดชะงักในทันใดเพื่อฟังคำพูดที่เหมือนจะไร้ความเกรงกลัวต่ออำนาจแห่งราชวงศ์ เรียวปากหนาคลี่ออกน้อย ๆ พร้อมทั้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะก้าวต่อไปช้า ๆ อย่างมิเร่งรีบอันใด โดยมีผู้ติดตามอยู่ด้านหลังเพียงสองคนเท่านั้น
ทั้งสามคนรู้ดีว่านับตั้งแต่ก้าวลงจากเรือก็ได้ถูกจับตาชนิดที่เรียกได้ว่าแทบสิงกายพวกเขาทั้งนายบ่าวเลยก็ว่าได้ แต่ทว่า คนพวกนั้นยังไม่รู้จักเขาดีพอ
‘คนสกุลจ้าวใช่สหายพวกเจ้ารึ ถึงคิดจะหยอกเย้าเสมือนข้าเป็นลูกเจี๊ยบ หึ ๆ แล้วข้าจะแสดงความอ่อนโยนให้ได้เห็นกันถ้วนหน้า’
เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มทำให้ผู้ติดตามทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ พวกเขารู้นิสัยผู้เป็นนายดี ว่าถ้าลองได้แสดงอาการเช่นนี้แล้วนั้น สิ่งที่ตามมาจะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
“ครานี้ ข้าว่าคงต้องมีสกุลใดสักสกุลหายไปเป็นแน่”
“เจ้าน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วมิใช่รึ นับตั้งแต่ก้าวออกจากเกาะ”
“ฮา ๆ”
ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ ๆ คนของตนได้พากันหัวเราะเสียงดัง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์ใดตลกขบขันถึงปานนั้น คิ้วหนาย่นเข้าหากันก่อนจะ...
พลั่ก! โครม!
ยังมิทันได้หันกลับไปเอ่ยถามผู้ติดตามทั้งสอง ทว่าบัดนี้ ร่างสูงสง่าเป็นอันต้องล้มคว่ำไปยังร้านขายผลไม้ด้วยแรงกระแทกจากผู้ติดตามทั้งสองที่ชนเขาอย่างแรง ทำให้แตงโมหลายผลถึงกับแตกกระจาย ทั้งยังเปรอะเปื้อนเนื้อตัว จนเวลานี้ความหล่อเหลาก็มิอาจช่วยอันใดเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ พวกเจ้าเดินมิมองทางเลยหรืออย่างไรกัน ข้าเป็นสหายพวกเจ้ารึถึงได้กล้าทำเช่นนี้กับข้า”
จ้าวอวิ๋นเสียงเขียวใส่ผู้ติดตามทั้งสองที่กำลังช่วยกันพยุงร่างของผู้เป็นนายขึ้น ชายหนุ่มพยายามใช้ความเคร่งขรึมกลบเกลื่อนอาการขบขันของตนเองเอาไว้อย่างที่สุด
เขาต่างหากที่เป็นผู้ผิด และช่างน่าขบขันนักกับสภาพในตอนนี้ ทว่าหากเขาเห็นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไป คนที่ตามติดพวกเขาอยู่ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมานั้น นิสัยคุณชายเจ้าอารมณ์คือสิ่งที่เขาเสแสร้งมันขึ้นมา
“พวกข้ามิได้ตั้งใจขอรับนายท่าน ได้โปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถอะนะขอรับ”
ผู้ติดตามทั้งสองรีบคุกเข่าลงยังพื้นถนน ก่อนจะหมอบตัวสั่นอยู่แทบเท้าของผู้เป็นนาย แต่ใครจะหารู้ไม่ว่า อาการสั่นสะท้านไปทั้งกายของสองผู้ติดตามไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว ทั้งคู่พยายามข่มกลั้นอาการขบขันเสียมากกว่า
“ฮึ! พวกเจ้ายังบังอาจร้องหาคำว่าอภัยจากข้าอยู่อีกรึ”
“เอ่อ! ขะ…คุณชายขอรับ คือว่า…”
“อะไร…”
น้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่มทำให้ชายชราผู้เป็นเจ้าของร้านผลไม้ถึงกับสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวั่นเกรง ด้วยฐานะที่แตกต่างทำให้ชายชราเริ่มหวาดหวั่น ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้รับการชดใช้เป็นแน่
“ร้านของข้าน้อย…พะ…พังเสียหายมากนะขอรับ”
“แล้วอย่างไร ข้าต้องชดใช้สินะ”
“ขอรับ”
จ้าวอวิ๋นยังคงทำหน้าตาบึ้งตึง พร้อมทั้งปัดไปตามเสื้อผ้าที่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษผลไม้ ก่อนจะชำเลืองมองชายชราเจ้าของร้านที่ยืนตัวสั่นอยู่มิห่างมากนัก


















