บทที่ 2 ช้อนแผน2
หมับ!
มือหนาคว้าจับข้อมือบอบบางเอาไว้ ก่อนที่มันจะเลื่อนต่ำลงไปยังส่วนที่ไม่สมควร น้ำหนักที่จับข้อมือนางมิหนักหรือเบาไป ชายหนุ่มดันมือของหญิงสาวออกให้ห่างกาย ก่อนจะปล่อยออกเสมือนเป็นของร้อน แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ไร้ซึ่งความต้องการเฉกเช่นบุรุษโดยทั่วไป
“หึ ๆ หากเป็นข้าก็ยังดีกว่ามิใช่รึ แต่หากเป็น...”
ชายหนุ่มปรายตาไปยังความมืดอีกด้าน พร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะก้าวจากจุดที่ยืนในคราแรกเพื่อกลับไปยังที่พัก โดยไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ยืนถือโคมไฟอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
หญิงสาวร่างกายยังเปียกชื้นภายใต้เสื้อคลุมตัวบาง หันไปตามทิศทางที่ชายหนุ่มมองก่อนจากไป ใบหน้าภายใต้แสงสลัวของโคมไฟคลี่ยิ้มเย้ายวนก่อนจะเปลื้องชุดคลุมออก รวมทั้งชุดเอี๊ยมด้านในที่เปียกชื้น เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียน ก่อนที่มือบางจะคว้าจับเสื้อผ้าที่แห้งขึ้นมาสวมใส่อย่างเชื่องช้า
‘เป็นท่านใช่หรือไม่ ท่านเยว่ ในที่สุด ท่านก็อดใจไม่ไหวสินะ ถึงได้แสร้งเดินจากไปแล้วย้อนกลับมาหาข้า กายของข้าพร้อมมอบมันแก่ท่านยิ่งนัก’
อี้เหมยคิดว่าบุรุษในความมืดคือชายที่นางหมายปอง นางรู้ว่ามีบุคคลที่สามนับตั้งแต่ก่อนจะก้าวขึ้นจากน้ำแล้ว แค่เพียงมิรู้ว่าเป็นผู้ใดเท่านั้นเอง ทว่าเมื่อชายหนุ่มที่ต่อคำอยู่กับนางเอ่ยอย่างมีความนัยออกมา ก็เดาได้ว่าต้องเป็นคนที่ชายหนุ่มคุ้นเคย คงเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเยว่คัง ผู้ที่นางหมายตาเอาไว้เท่านั้น
กร๊อบ!
เสียงกิ่งไม้หักจากทางด้านหลัง ทำให้มือบางที่กำลังผูกสายคาดเอวชะงักเล็กน้อย เมื่อคนที่ซ่อนกายอยู่ได้ก้าวออกมาแล้ว
“แม่นางอี้เหมย”
ขวับ!
ใบหน้าหวานพลันซีดเผือดลงในทันทีเมื่อเห็นคนที่ก้าวออกมา แม้จะมีแสงเพียงแค่สลัว ๆ ทว่า นางก็เห็นชัดว่าคือใคร
“จะ...เจ้า กรี๊ดดดด ไม่จริง!”
เสียงกรีดร้องของอี้เหมยทำให้หรู่อี้ที่เพิ่งเอนกายลงนอนลุกพรวดขึ้นทันที มือบางคว้าอาวุธคู่กายหมายจะออกไปหาสตรีอีกคนของคณะเดินทาง
หมับ!
“นอน! อี้เอ๋อร์ อย่าใส่ใจผู้ที่คิดร้ายต่อเจ้าให้มากนัก นางมิใช่สตรีไร้สามารถ”
“ข้ามิได้โง่งมจนมิรู้สิ่งใด ท่านเยว่ แต่นางอาจกำลังลำบากจริงนะเจ้าคะ”
“ฮึ! ลำบากเช่นนั้นรึ เด็กโง่ เจ้ามิรู้จักโตเอาเสียเลย เชื่อข้าเถอะว่านางปลอดภัยดี แค่นางคงกำลังผิดหวังเท่านั้นเอง นอน...นี่คือคำสั่ง เข้าใจรึไม่ หืม!”
มือหนากดไหล่บางให้เอนกายลงบนผ้ารองนอนเช่นเดิม หญิงสาวจำต้องทำตามชายหนุ่ม ด้วยผู้เป็นนายหญิงได้กำชับมาหลายหนว่าให้เชื่อฟังผู้นำคณะเดินทางในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด นางเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ท่านหญิงมอบหมายมาย่อมมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
โม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาว
ทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมย
หญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน
“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”
“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”
อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’
ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอย่างไร นางถึงจะอยู่เพียงลำพังได้เล่า
‘ไยนางช่างเหมือนมารดาของนางถึงเพียงนี้กันนะ’
ชายสูงวัยทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปยังผ้าที่ปูเอาไว้ข้างรถม้าเพื่อหลับพักผ่อน
โม่คังแสร้งไม่เห็นการกระทำของสองลุงหลาน เขาทำเพียงเอนกายลงข้างหรู่อี้ โดยใช้แขนทั้งสองข้างประสานกันใต้ท้ายทอย ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
สำหรับเขาแล้วมิจำเป็นต้องนั่งถ่างตาเฝ้ายาม เพราะต่อให้เขาหลับตาอยู่เช่นนี้ก็สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวรอบกายได้เป็นอย่างดี
เสียงสัตว์ป่าหรือแม้แต่จิ้งหรีดพลันเงียบเสียงลง
กร๊อบ!
เสียงของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ตัวเขาและหญิงสาว ทว่า โม่คังยังคงนอนหลับตานิ่งมิไหวติง เขารู้แล้วว่าคือผู้ใด
“ท่านเยว่ มีการเคลื่อนไหวขอรับ”
“งูออกหากินรึ หรือว่าเป็นพวกหมาในกัน”
“ทั้งสองอย่างขอรับ”
ชายหนุ่มพูดไป มือก็ผูกเชือกกับต้นไม้เพื่อกางผ้าใบกันฝนให้แก่โม่คังและหรู่อี้ เสียงพูดคุยภายใต้ความเงียบ จำต้องควบคุมเอาไว้ให้ดี มิเช่นนั้น ผู้ที่คอยสอดแนมคงจะรู้ความนัยจนหมดสิ้นเป็นแน่


















