บทที่ 4 ช้อนแผน4

ดูเหมือนการต่อสู้จะไม่จบลงง่าย ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ในคราแรก เสียงอาวุธปะทะกันดังสนั่นไปทั่วทุ่งหญ้า ร่างของคนทั้งกลุ่มมองเห็นเพียงเงาเลือนราง ทว่า ชายหนุ่มผู้มาใหม่ทั้งสามคนกลับมองออกได้โดยง่ายว่าผู้ใดคือคนที่พวกเขาตามหา

ณ ลานพัก

ผู้ติดตามทั้งหมดต่างพากันมารวมตัวอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้รับการป้องกันจากหนังวัวผืนใหญ่ที่กางป้องกันฝนเอาไว้เป็นอย่างดี

เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบางเบา ทำให้คนที่พากันหลับใหลพลันตื่นขึ้นมา มิเว้นแม้แต่อี้เหมยที่คลี่ม่านรถม้าออกมามองยังด้านนอก โดยเป้าหมายของสายตาคือหรู่อี้ ซึ่งบัดนี้ไร้เงาของเยว่คังเคียงกาย ก่อนที่อี้เหมยจะดึงสายตากลับมายังต้วนลี่ที่เงยหน้ามองนางอยู่ก่อนแล้ว

“อย่าให้พลาด ข้าเกลียดความผิดพลาดเป็นที่สุด”

มือบางปล่อยจากม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะเอนกายลงนอนด้วยความสบายใจ

ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้ต้องมีคนอยู่และตาย คำสั่งที่ได้รับมาจากบิดานั้น แม้ว่านางจะมิเต็มใจเท่าใดนักในตอนนี้ ด้วยความเสน่หาในตัวของเยว่คัง ทำให้ยากที่จะทำใจกำจัดชายหนุ่มได้ แต่ด้วยเหตุใดกันที่ทำให้นางมั่นใจว่า อย่างไรเสีย คืนนี้ ชายหนุ่มต้องปลอดภัย แต่กับหญิงสาวอีกคน มันคือจุดจบ

‘สิ่งใดที่คนอย่างข้าปรารถนา ไม่ว่าจะยากเพียงใด หรือต้องปลิดชีพผู้ใด ข้าก็พร้อมที่จะลงมือ’

ต้วนลี่เดินตรงไปยังกลุ่มของชายหนุ่มหลายคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่รายล้อมตัวหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว เขายังคิดไม่ออกกับเรื่องที่ต้องกระทำเลยสักนิดเดียว ยิ่งการโจมตีใกล้จะเกิดขึ้น เขาจะนำตัวเองมาอยู่ตรงนี้นานก็มิอาจทำได้

ชายสูงวัยเดินเลียบเคียงไปใกล้ฝั่งที่หรู่อี้นั่งอยู่ให้มากที่สุดเพื่อดำเนินตามแผนที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้

“คุณหนู พอดีหลานสาวของข้าเกิดจับไข้ขึ้นมา คุณหนูพอมียาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ เอ่อ…หากคุณหนูจะเมตตาตามข้าน้อยไปตรวจดูอาการของนางแทนข้าสักนิดจะยิ่งเป็นพระคุณยิ่งนักขอรับ ตัวข้าเป็นชายจะแตะเนื้อต้องตัวนางมากไป มันก็มิสมควร ในคณะเดินทางก็มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่เป็นสตรีเช่นเดียวกับนาง”

“นายหญิงของข้าเป็นหมอรึไรกัน ท่านลุง”

หนึ่งในผู้ติดตามเอ่ยขึ้น ขณะที่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่กำลังจะขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไปดูหลานสาวของชายสูงวัย ทว่า จำต้องนิ่งเสียเมื่อคนของเยว่คังเอ่ยขึ้นมาเพื่อเป็นการย้ำเตือนว่านางกำลังจะทำนอกเหนือคำสั่งของผู้นำคณะ

“ท่านลุง พี่อี้เหมยไม่สบายรึ ข้าพอมียาติดตัวมาบ้าง สักครู่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะหาให้”

หรู่อี้จึงเปลี่ยนเป็นล้วงเข้าไปในห่อผ้า ก่อนจะนำขวดยาขนาดเล็กออกมาส่งมอบแก่ชายชราแทน สายตาดุดันของผู้คุ้มกันทั้งหมดต่างพากันชำเลืองมองร่างที่ยืนค้อมหัวอยู่มิไกล

“เอ่อ…ขอบคุณขอรับคุณหนู แต่ข้าเกรงว่าหากนางมีไข้สูง ข้าจะไม่สะดวกดูแลนางน่ะขอรับ”

“เอ่อ…คือว่า ใช่ข้าจะแล้งน้ำใจนะเจ้าคะท่านลุง แต่ว่า…”

“ท่านเยว่คังมิอนุญาตให้นายหญิงออกจากตรงนี้ เข้าใจชัดไหมท่านลุงต้วน ข้าว่าท่านลุงควรรีบเอายาไปให้หลานสาวจะดีกว่า หากชักช้าไป ข้าเกรงว่านางอาจอาการหนักกว่านี้”

ความหวังของต้วนลี่เสมือนกองไฟที่ถูกน้ำสาดจนมอดดับ การลวงเอาตัวหรู่อี้มิใช่เรื่องที่ง่ายเลย แม้หญิงสาวจะดูใสซื่อ ทว่ากลับเชื่อฟังคำสั่งของคนเช่นเยว่คังจนเกินไป

“อ้อ…ท่านลุงข้ามีอีกเรื่องที่จะแนะนำ ท่านควรอบรมหลานสาวของท่านบ้างก็จะดีนะ การที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วยเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควร ดึกดื่นเที่ยงคืน เที่ยวแหวกว่ายเล่นน้ำอยู่กลางลำธาร ย่อมเกิดการเจ็บป่วยเป็นธรรมดา หากวันหน้า นางยังทำอีกก็อย่าหาว่าพวกข้ามิเกรงใจ ว่าแต่ท่านเป็นลุงของนางจริงรึ ไยมิรู้จักห้ามปรามนางบ้าง”

ทุกถ้อยคำของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของชายชราสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เขาเสมือนถูกตบหน้าหลอกถามความจริงอย่างไรมิรู้ ชายหนุ่มพวกนี้นอกจากจะฝีมือร้ายกาจ ทว่าฝีปากก็ช่างบาดลึกได้มิแพ้กันเลยทีเดียว ต่อให้เก่งปานใด คืนนี้ เขาก็จำต้องไว้อาลัยให้ชนรุ่นหลังกลุ่มนี้อยู่ดี เพราะถ้อยคำเช่นนี้จะได้หลุดออกจากปากของชายหนุ่มเหล่านี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วนั่นเอง

“ข้าต้องขออภัยแทนอี้เหมยด้วยขอรับ ที่ทำตัวมิเหมาะสมเช่นนี้ อ้อ! ประเดี๋ยวข้าเติมฟืนให้นะขอรับ”

มิพูดเปล่า ต้วนลี่ขยับกายย่อลงข้างกองไฟ ก่อนจะคว้าท่อนฟืนที่วางรวมกันอยู่มิไกลสุมเข้าไปในกองไฟหลายท่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่

หรู่อี้มาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างร่างงองุ้มของต้วนลี่

“ท่านลุง ประเดี๋ยวข้าจะตามท่านไปดูอาการป่วยของพี่อี้เหมยก็แล้วกัน อย่างไรเสีย นางก็เป็นคนร่วมทาง ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับท่านเยว่คังเอง”

ต้วนลี่เองก็รู้สึกแปลกใจมิน้อย อยู่ ๆ ทำไมหญิงสาวจึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ทั้ง ๆ ในคราแรก นางดูจะเกรงกลัวต่อคำสั่งของผู้นำคณะนี้ยิ่งนัก ต้วนลี่ลอบยิ้มอยู่ภายในใจ มิว่าด้วยเหตุผลใดต่างก็ส่งผลดีต่อสิ่งที่เขาต้องการอยู่นั่นเอง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป