บทที่ 9 ช้อนแผน9

เมื่อหัวหน้าไม่คิดถอยห่างมากกว่านี้ พวกเขาก็ต้องหาทางป้องกันตนเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน แม้จะตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่ทว่า พวกเขาก็มิคิดที่จะเอ่ยถามให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจของผู้เป็นนาย

คนร้ายทั้งหมดไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อบัดนี้ หัวใจของทุกคนกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว

‘เหมันต์พร่างพรายช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว’

สายฝนที่กลายเป็นน้ำแข็งบาดร่างของศัตรูที่ยืนนิ่งมิอาจขยับได้อีก แม้แต่ลมหายใจยังกลายเป็นไอเย็น ความรู้สึกของทุกคนเหมือนกำลังอยู่ในห้วงสุดท้ายที่จะมีโอกาสมองสิ่งตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง

“พวกเจ้ายังมิรู้จักข้าดีพอ บทเรียนในชาตินี้ พวกเจ้าจงจดจำมันไปใช้ในภพหน้า ว่าอย่าเชื่อมั่นในตนเองจนเกินไปนัก”

โม่คังลุกขึ้นแล้วเอ่ยทิ้งท้ายกับคนทั้งหมด ซึ่งเขารู้ดีว่าพวกมันคงได้ยินอยู่บ้าง แม้ว่านับจากนี้จะหมดโอกาสได้รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

“อึก!”

โม่คังกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับคนที่คอยท่าอยู่ด้วยความเป็นห่วงพุ่งเข้าหาพร้อมปากที่พร่ำบ่นด้วยความห่วงใยในตัวของเขา

“ไยต้องฝืนตนเองถึงเพียงนี้เล่า”

แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าผู้เป็นนายทำไปเพราะสิ่งใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิย้ำเตือนในฐานะสหาย มิใช่นายบ่าว

หรู่จงประคองร่างสูงของโม่คังมิให้ล้มลงยังพื้นดินที่ยังคงมีน้ำแข็งเกาะพราวทั่วบริเวณ

‘ใจของบุรุษผู้นี้นั้นช่างมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งนัก’ นั่นคือความคิดของผู้ติดตามทุกคนในขณะนี้

“หึ ๆ เจ้ารู้ดีกว่าผู้ใด สหายข้า”

“คิดว่าหากท่านเป็นอันใดไป แล้วนางจะอภัยให้ข้ารึ” หรู่จงทั้งทอดถอนใจ ทั้งใช้น้ำเสียงตำหนิผู้เป็นนาย

“ไปกันเถอะ…”

สิ่งที่ออกจากปากของโม่คังมิใช่คำตอบ ทว่าคือการเลี่ยงที่จะต่อความโดยเอ่ยในสิ่งมิตรงกับใจออกมาแทน เขารู้ตัวดีว่าทำอะไรลงไป รู้ถึงความเสี่ยงมากกว่าผู้ใด หากในจังหวะการปลดปล่อยพลังนั้น ศัตรูลงมือได้ก่อนตัวเขา ความตายย่อมเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

‘ข้าพร้อมเสี่ยงกับความตาย แต่ข้าไม่ยอมเสี่ยงที่จะเสียนางไป’

หรู่จงพยักหน้าให้ผู้ติดตามลงมือจัดการทุกอย่างที่เหลือ เขามิใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือของผู้เป็นนาย แต่ทุกอย่างต้องไม่มีคำว่าผิดพลาดเกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง

เหล่าผู้ติดตามชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้ง ก่อนวาดไปยังลำคอของชายชุดดำทั้งหมดที่ยืนนิ่งไร้ซึ่งการรับรู้

ทุกเหตุการณ์ตกอยู่ภายใต้ดวงตาคู่งามที่ยืนตะลึงค้างด้วยความหวาดหวั่น ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้านางเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ในคราแรกนั้นจำต้องเปลี่ยนแผนเสียแล้ว

ร่างงามรีบมุ่งกลับไปยังทิศทางเดิมอย่างรวดเร็ว นางต้องไปให้ถึงก่อนกลุ่มของเยว่คัง มิเช่นนั้น ทุกอย่างอาจพังลงก็เป็นได้

ทางด้านที่พักของคณะเดินทาง

ต้วนลี่ถึงกับใบหน้าถอดสี เมื่อคู่ต่อสู้ของเขามิใช่จะล้มได้โดยง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ ร่างกายที่ต้องคอยเดินลมปราณพร้อมทั้งรับมือคู่ต่อสู้ไปด้วยนั้น มันช่างหนักหน่วงและกินกำลังของเขาไปมากทีเดียว หากมิทำเช่นนี้ เขาอาจพ่ายให้แก่คู่ต่อสู้ที่อ่อนวัยกว่าเป็นแน่

สายฝนที่ยังซัดกระหน่ำ มันทำให้ร่างกายของเขาจำต้องปลด

ปล่อยความร้อนออกมาให้มากกว่าปกติเพื่อต้านทานความหนาวเย็นที่เปรียบเสมือนเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงไปทุกอณูของร่างกายก็มิปาน

เจี่ยเต๋าเองก็รู้สึกนับถือในความแข็งแกร่งของต้วนลี่มิน้อย ด้วยวัยของเขานั้นอ่อนกว่ามาก ทว่ายังไม่อาจล้มคนตรงหน้าได้เลย แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนกำลังต้านทานเอาไว้ แต่หากว่ามองในอีกมุมก็จะเห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองนั้นก็ยังด้อยประสบการณ์อยู่มากทีเดียว

ทั้งคู่ใช้กำลังในการห้ำหั่นกันอย่างสุดกำลัง สายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำประสานเข้ากับเสียงอาวุธที่ปะทะกันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร

ฉึก!

ต้วนลี่ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นจากทางด้านหลัง

“เจ้าสละลมหายใจเพื่อข้าได้รึไม่”

เป็นเสียงหวานของคนที่เขาจำได้ขึ้นใจ นายหญิงผู้ที่เขาปกป้องมาตั้งแต่เยาว์ บัดนี้ นางเอ่ยปากขอลมหายใจของเขา ช่างเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต

“กรี๊ดดด! ขะ…ข้า พี่เจี่ยเต๋า ช่วยอี้เหมยด้วย”

เจี่ยเต๋าเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังคู่ต่อสู้ที่เห็นเป็นเพียงเงาร่างอันเลือนราง ซึ่งบัดนี้ได้ทรุดลงยังพื้นดิน พร้อมเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ควรจะอยู่ภายในรถม้า แต่กลับกลายเป็นว่านางมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

“แม่นางอี้เหมย เกิดสิ่งใดขึ้น ไยจึงลงมาอยู่ตรงนี้ได้เล่า”

“พี่เจี่ยเต๋า ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ต้วนลี่มิใช่ลุงของข้า เขาบังคับให้ข้าบอกทุกคนเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะฆ่าข้าเสีย ข้า…”

คำพูดรัวเร็วของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มไม่คิดเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งยังไม่ได้สนใจหญิงสาวเช่นกัน เจี่ยเต๋าทำเพียงก้าวจากไปยังทิศทางของการต่อสู้อีกด้าน พร้อมเสียงกระพรวนในมือดังขึ้นเป็นจังหวะเพื่อมิให้เกิดการลงมือผิดของฝ่ายตน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป