บทที่ 7 ex-husband: พื้นที่ส่วนตัว

“แหวนจะกลับเลยเหรอลูก” แม่แก้วถามขณะที่กำลังทานของหวาน เอาจริงคือฉันยัดของหวานเข้าท้องแทบไม่ไหว

อาหารคาวผ่านไปด้วยความจุก จะไม่กินแม่ของฉันก็จับจ้องสร้างความกดดัน สุดท้ายฉันจึงต้องยัดของโปรดของน้องชายใส่กระเพาะตัวเอง

“ค่ะ” ต้องกลับแหละ อยู่นานกว่านี้คงได้ทะเลาะกับแม่แน่นอน

“รีบกลับทำไม ดินต้องเข้าบริษัท คนละทางกับคอนโดไม่ใช่เหรอ เสียเวลาดินแย่” แม่ของฉันออกความเห็นในเชิงขัดแย้ง

ฉันกลับแท็กซี่ก็ได้ไหม จะลำบากคนอื่นทำไม ฉันโตจนใกล้จะเข้าคำว่าแก่แล้วไหม ทำอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กไปได้

“แหวนกลับแท็กซี่ได้ค่ะ”

“เข้าไปดูบริษัทบ้าง 2 ปีมานี้แกโยนภาระให้ดินดูแลมาตลอดรู้ตัวบ้างไหม” แม่ของฉันเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันหันมองหน้าดิน เพราะว่าฉันไม่รู้เลยว่าดินเข้าไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวฉัน

“มองดินแบบนี้คือแกไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมแหวน นั่นสิเนอะ แม่จะหวังอะไรจากแกได้ ที่ผ่านมาแกก็ปิดหูปิดตาปิดปาก เอาแต่ใจตัวเองทุกอย่าง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง แม่ลืมไปว่าแกมันฝากฝังอะไรไม่ได้เลย ถ้าหวายยังอยู่แม่ก็คงไม่ต้องมาบากหน้าพึ่งพาผู้ชายที่แกวางยาเพื่อให้มาเป็นผัวแก แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่ได้รักแก แม่ก็คิดโง่ ๆ เนอะ ดันลืมไปซะได้ว่า… ผู้ชายคนเดียวแกยังไม่มีปัญญาทำให้เขารักแกได้ จะให้แกไปดูแลบริษัทใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง”

“พอแล้วหยาด เธอพูดแรงไปแล้วนะ นึกถึงความรู้สึกลูกบ้าง แหวนอย่าไปใส่ใจเลยลูก” แม่แก้วห้ามปราม แต่ปรามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม ทุกคำที่แม่ของฉันพูดมันฝังเข้ามาในความรู้สึกของฉันแล้ว

แน่นอนว่าฉันไม่เถียงแม่ เพราะถ้าเกิดว่าฉันเถียง ไม่น้ำเปล่าก็ของหวานอาจจะอาบใบหน้าของฉัน

แม่ตอนนี้คือแม่ที่ไม่เมา แต่สามารถพูดระบายความอัดอั้นได้ แม่ร่างนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างจากร่างเมา

“ผมขอตัวก่อนนะครับ ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมแล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทัน ปะแหวน” ดินลุกจากเก้าอี้และเดินมาคว้ามือของฉันให้ลุกขึ้นยืน

“แหวนลานะคะ แล้วจะแวะมาใหม่” ฉันยกมือไหว้แม่ทั้งสองก่อนจะเดินตามดินออกจากบ้าน

นี่ไงหนึ่งสาเหตุที่ไม่กลับบ้าน บ้านสำหรับฉันมันไม่น่าอยู่มานานมากแล้ว

ไม่ว่าจะตอนที่หวายยังมีชีวิต หรือตอนที่หวายจากไป เมื่อก่อนฉันไม่เหงาเท่านี้ เพราะมีน้องชายฝาแฝดร่วมแชร์ความรู้สึก

ต่างจากตอนนี้ที่ฉันเหงาจนหนาวจับขั้วหัวใจจะแชร์จะเล่าระบายให้ใครฟังก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจะกลายเป็นการเอาครอบครัวมาขาย

“จะไปบริษัทด้วยกันไหม” ดินขับรถออกจากบ้านของเขาแล้ว

“ไม่” จะให้ฉันไปทำไม ฉันไปแล้วจะช่วยอะไรได้ ไปแล้วถ้าเจอพ่อกับผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ ฉันจะต้องวางตัวแบบไหนกันล่ะ ฉันปั้นหน้าไม่เก่งด้วยสิ

ผู้หญิงที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ผู้หญิงที่แม่ของฉันเกลียดชัง มันไม่ยากเลยถ้าฉันอยากรู้ว่าเธอคือใคร และมันไม่ยากเลยที่ฉันจะราวีเธอ

แต่ที่ฉันไม่ทำ เพราะฉันไม่กล้าพอไง ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่กล้าพอที่จะโดนพ่อตบอีกครั้ง

ฉันไม่อยากพบเจอความเจ็บปวดอีก ฉันจึงพยายามปิดตายทุกอย่าง พร้อมวิ่งหนีปัญหา

“ไปร้านไหมอะ เดี๋ยวประชุมเสร็จจะมารับไปส่งห้อง” ร้านที่ว่าหมายถึงร้านเหล้าของดินไง ดินเปิดร้านเหล้าตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และฉันไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นเลยตั้งแต่แต่งงานกับดิน กระทั่งเราเลิกรากัน

เพราะดินเคยบอกฉันว่า ‘ที่นั่นที่ส่วนตัว ขอร้องเว้นไว้ให้หายใจบ้าง’

ฉันก็เลยไม่เคยไปเหยียบอีก

“ไม่”

“แหวน”

“จอดข้างทางนี่แหละ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปเอง” ฉันรู้ว่าเขากำลังรีบที่จะต้องเข้าประชุมให้ทัน ถ้าเกิดเข้าไม่ทันก็เป็นปัญหาอีก ไม่พันแม่มาต่อว่าฉัน โยงว่าต้นเหตุมาจากฉันเหมือนเดิม

“26 แล้วแหวน” ดินกำลังหาว่าฉันทำตัวเด็ก

ฉันคิดว่าฉันเริ่มจับทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของดินได้แล้ว

“ขอร้องอย่ามาสงสาร ที่หย่าให้คือคืนอิสรภาพให้แล้ว ไม่ต้องทำตามที่ใครขอเลย ทำตามใจตัวเองเถอะ บริษัทถ้ามันจะพังก็ปล่อยให้มันพังไป มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องรับผิดชอบเลย เลิกแบกรับเถอะปัญหาของครอบครัวนี่ นายก็รู้ว่ามันแก้ไม่ได้ อะไรที่มันแตก มันหาย มันกลับมาประกอบให้เหมือนเดิมไม่ได้ ไปใช้ชีวิตของนายให้มีแต่ความสุขเถอะนะ”

ใช่ ที่ดินเป็นแบบนี้เพราะเขาสงสารครอบครัวฉัน ที่เขาแบกรับเพราะเขาสงสารแม่ฉัน และเขาติดค้างคำฝากฝังของหวายที่เคยขอให้ดูแลฉัน

“…” ดินหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อ

“หวายตายไปแล้ว ไอ้คำที่หวายพูดก็ลืม ๆ ไปเถอะ นี่ดูแลตัวเองได้ หาเงินใช้เองได้ นายอย่าฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบเลย ชีวิตมันสั้น สรรหาความสุขให้ตัวเองเถอะ”

“…”

“เลิกทำงานที่บริษัท แล้วก็พาผู้หญิงของนายมาไหว้แม่แก้ว แม่แก้วบ่นอยู่ว่าอยากได้หลาน นายควรทำให้…”

“หยุดพูด นั่นเรื่องของดิน” ดินส่งเสียงแทรกเข้ามา

“…” อะ ฉันเงียบ ฉันก็ผิดจริงที่ไปยุ่งเรื่องของเขา

เรื่องส่วนตัว ฉันไม่ควรก้าวก่าย

“จอดข้างทางให้ด้วยนะ” ฉันไม่ได้ประชด หรือไม่พอใจเขานะ ก็แค่คิดว่าเราไม่ควรร่วมทางเดียวกัน เพราะฉันไม่เข้าบริษัทแน่ ๆ

“จะไปไหน” ดินถามระหว่างติดไฟแดง

“อาจจะไปหาน้ำใจ ยังไม่อยากกลับห้อง” ฉันก็ตอบไปงั้น ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ไม่กลับห้องแน่ ๆ ยังไม่อยากตอบคำถามเพื่อน

ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ

“ก็บอกให้ไปอยู่ที่ร้านก่อน”

“ที่นั่นเป็นที่ส่วนตัวไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ได้อยากไปเหยียบพื้นที่ส่วนตัวของใคร เดี๋ยวจะไปรบกวนอากาศหายใจ”

การแทนตัวเองว่า ‘นี่’ และ ‘นาย’ ก็เพราะว่าไม่รู้ระหว่างเราสองคนมันต้องแทนคำไหนที่จะเว้นระยะห่างมากพอไง

“เอาโทรศัพท์มานี่” ดินแบมือมาที่ฉัน

“เอาไปทำอะไร” ใครจะให้กัน

“แอดไลน์ไง ประชุมเสร็จเดี๋ยวดินทักหา”

“ไม่ต้องอะ” จะทักมาทำไม เราสองคนไม่มีความจำเป็นต้องคุยกันเลย

“ถ้าไม่เอามาก็ไปบริษัทด้วยกัน”

ฉันจ้องหน้าดินก่อนจะล้วงกระเป๋าแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา เขาไม่ใช่คนชอบพูดเล่นแบบนาฟ ทุกอย่างที่พูดเขาล้วนลงมือทำจริง ๆ

การไปบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการในเวลานี้ เพราะงั้นทำตามที่ดินพูดไปก่อนดีกว่า

ถ้าถามว่าทำไมรถจอดติดไฟแดงแล้วไม่ลง ก็เพราะระบบรถมันล็อกจากฝั่งของดินไง ฉันจึงลงไม่ได้

“เดี๋ยวดินจะจอดให้แหวนข้างหน้าตรงนั้น จะไปไหนก็ไลน์มาบอกไว้ ประชุมเสร็จจะไปรับ”

“…” แค่ลงจากรถเขาได้ทุกอย่างก็จบแล้วไหม

“เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

“อืม” เข้าใจอยู่แล้ว แต่จะทำตามไหมนั่นอีกเรื่อง

“แล้วถ้าไม่ทำตามที่ดินบอก การเข้าไปช่วยงานที่บริษัทจะถูกเร่งเข้ามาเร็วกว่าเดิม แหวนคงรู้จักพ่อกับแม่ของแหวนดี” ดินกำลังเอาเรื่องงานมาขู่ฉัน เรื่องงานที่ฉันไม่คิดจะเข้าไปสานต่อ

“รู้แล้ว เดี๋ยวจะทักไปบอก” ฉันรีบรับปาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันจะไม่สน แต่นี่ดินเข้าไปทำงานในบริษัทของพ่อแม่ฉัน ตำแหน่งอะไรฉันยังไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่าเขาสามารถพูดให้ฉันเข้าทำงานที่นั่นได้เร็วกว่าเดิมแน่นอน ดูก็รู้ว่าแม่ของฉันพึ่งพาเขา อะไรก็ตามที่เขาต้องการ แม่ของฉันยินดีทำตามที่เขาเสนอ

“อย่าลืมทักมา” ดินขับรถมาจอดข้างทางให้ฉัน

“อืม” ฉันขานรับประตูถึงได้ถูกปลดล็อก

ฉันรีบลงจากรถก่อนที่ดินจะเปลี่ยนใจแล้วพาฉันเข้าบริษัทไปด้วย

ดีที่แท็กซี่จอดพอดี ฉันจึงไม่รีรอเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแท็กซี่ ซึ่งดินยังไม่ทันได้ออกรถด้วยซ้ำ

“ไปคอนโด×××” ฉันเอ่ยชื่อคอนโดของเพื่อนคนหนึ่งก่อนจะกดโทรหาเพื่อนคนนั้น

(อืม) ปลายสายกดรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“รับงานไว้หรือเปล่า”

(ไม่ได้รับ)

“งั้นอีก 20 นาทีลงมารับหน้าคอนโดด้วยนะ”

(กลับมาไม่กี่วันก็เอาเลยเหรอวะ) ปลายสายโอดครวญ

“จ่ายตังค์ก็ได้เถอะ ทำพูดเยอะ ก็คิดเงินเหมือนลูกค้าคนอื่นสิ”

(แต่ไม่ได้ทำแบบลูกค้าไง)

“พูดเหมือนอยากทำ”

(ก็อยากลองอยู่)

“ถ้ากล้าก็ตามใจ”

(หึ)

“อืม ๆ อย่าลืมลงมารับนะ”

(ครับแม่ เดี๋ยวจะลงไปรอตอนนี้เลยครับ)

“ดีเลย ส้มตำไก่ย่างป้าข้างคอนโดยังขายอยู่ไหมอะ”

(จะแดกว่างั้น)

“อืม ขายไหมอะ”

(ขาย แต่ต้องต่อคิวคนเยอะ)

“ลงมาต่อคิวให้เพื่อนหน่อยนะจ๊ะ”

(ทำไมไม่กินข้าวมาจากบ้าน)

“กินมาแล้ว จุกมากด้วย แต่กินแบบไม่มีความสุขเลย ก็เลยอยากกินใหม่”

(อืม ๆ เดี๋ยวไปต่อคิวซื้อให้ เอาเหมือนเดิมชะ)

“ใช่แล้วจ้ะ ขอบคุณนะจ๊ะ”

(หึ)

เพื่อนของฉันกดวางสายทันที คงกลัวว่าฉันจะอยากกินอะไรอย่างอื่นอีก

เมื่อก่อนเวลาไม่สบายใจมาก ๆ ฉันก็มักมาขลุกตัวอยู่กับเพื่อนคนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมสินะ ฉันถึงได้คิดถึงเขาเป็นคนแรก

ฉันมีเพื่อนสนิทก็จริง ปรึกษากันทุกเรื่องก็จริง แต่มันจะเหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นความสัมพันธ์เอาไว้ว่าบางเรื่องที่สำคัญมาก ๆ จะเล่าให้ฟังไม่ได้ ซึ่งต่างจากเพื่อนคนนี้ที่ฉันเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด

เขาเป็นเพื่อนที่เหมือนจะไม่สนิท แต่ความจริงเขาเป็นคนที่เข้าใจฉันที่สุด

ฉันเคยไว้ใจเขามากกว่าเพื่อนสนิทของฉัน และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไว้ใจเขามากที่สุด

เพราะฉันเชื่อว่าเขาคือคนที่จะไม่หักหลังฉัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป