บทที่ 9 Diffuser Love หอมกลิ่นรัก 9

Diffuser Love หอมกลิ่นรัก 9

เรื่องเข้าใจผิดเมื่อช่วงเย็นทำให้ฉันต้องพาน้องชายไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนด้วยความเป็นห่วง โชคดีที่ผลออกมาว่าไม่มีอะไรน่าเป็นกังวล ได้ยาแล้วก็กลับบ้านกัน ส่วนเพื่อนของน้องก็รออยู่ที่บ้านกับแม่บ้านแล้ว ทีแรกเพื่อนน้องจะมาด้วย แต่เพราะไม่อยากให้เด็ก ๆ ขับรถไปมา ฉันเลยขอให้รอที่บ้านแทน

“อยากกินก๋วยเตี๋ยวจังครับ” คนเจ็บอ้อนขอเสียงเบา ขณะที่ฉันกำลังตั้งใจขับรถอยู่

“โทร. ไปสั่งป้าเลย กี่ถุงก็สั่งเดี๋ยวแวะเอาก่อนเข้าบ้าน”

“ครับ” คนเจ็บขานรับ จากนั้นถึงได้โทร. ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกับร้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ก็อยากจะบ่นน้องอยู่หรอกเรื่องความใจร้อนแต่ก็เข้าใจที่น้องวู่วาม มองเผิน ๆ ฉันก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นคือคนร้ายเหมือนกันถึงแม้จะใส่เสื้อสูทกางเกงสแล็กส์ก็เถอะ เดี๋ยวนี้คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจไง มิหนำซ้ำยังมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่อย่างนั้น เป็นใครก็ต้องมองแง่ร้ายไว้ก่อนอยู่แล้วไหม

“จะทำโพรเจกต์กับเพื่อนไหวไหมเนี่ย” ลอบมองน้องชายที่ซี้ดปากเจ็บเบา ๆ

“ไหวครับ แต่เขาหมัดหนักชะมัดเลยอะ”

“ก็ไปต่อยเขาก่อนเองนี่นา แต่ดูแล้วเขาน่าจะออมแรงให้นะ เพราะถ้าตั้งใจต่อยจริง ๆ น้องชายพี่คงได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแล้วมั้ง” ฉันแกล้งแซวน้องชายตามที่คิด เพราะทั้งรูปร่างและพละกำลังของผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะเหนือกว่าน้องชายพอสมควร แต่ที่น้องไม่เจ็บหนักเกินกว่าปากแตก คงเป็นเพราะอีกฝ่ายออมแรงให้อย่างแน่นอน ฉันมั่นใจ

“ผมก็คิดครับ หมัดแรกอะเขาดูออมแรงแปลก ๆ ทั้งที่ผมพุ่งเข้าหา แล้วยังโวยวายว่าเขาเป็นขโมย”

“นั่นสิ แต่ก็ช่างเถอะ ให้เป็นบทเรียนนะรู้ไหม สังเกตให้ดีก่อนอย่าวู่วามเพราะบางทีคนอื่นอาจจะไม่ยอมเหมือนเขา” สอนน้องชายวัยหัวร้อนของตัวเอง ฉันเองก็ชอบแซวน้องว่าเป็นวัยรุ่นหัวร้อนอยู่บ่อย ๆ เวลาแซวแบบนี้น้องเลยไม่ได้โกรธหรืองอนอะไร

“เข้าใจแล้วครับ แล้วคุณเขาติดต่อมาหรือยังอะ”

“ยังเลย แต่คงเป็นพรุ่งนี้มั้ง ไม่ต้องกังวล พี่จะรับผิดชอบเขาเอง”

“ขอบคุณครับพี่ แต่ถ้าเขาไม่ยอมหรือจะให้ผมทำอะไรพี่บอกได้เลยนะ อย่าทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด” น้ำเสียงของคนข้าง ๆ เข้มขึ้นยามเอ่ยเตือนฉันด้วยความเป็นห่วง

“เข้าใจค่ะ เอาละ รออยู่บนรถเดี๋ยวพี่ไปเอาก๋วยเตี๋ยวเอง” เอ่ยจบก็หยุดรถที่ริมถนน พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ติดมือมาเพื่อจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวหกถุงของน้องชาย กินกี่คนล่ะนั่น? ซื้อไปเยอะเกินไหมนะ

ไม่นานเราสองคนพี่น้องก็กลับมาถึงบ้าน ที่ตอนนี้มีรถยนต์ไม่คุ้นตาจอดอยู่สองคันและมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งคัน เมื่อรถจอดกลุ่มคนที่รออยู่ในบ้านก็รีบเดินออกมาหาทันที

“เป็นยังไงบ้างวะ มึงไปมีเรื่องกับใครมา?”

“ไอ้เหี้ยอย่างห้าว! มึงไปต่อยเขาทำไมเนี่ยเพื่อน”

“ตายยัง”

“พวกเหี้ยนี่” น้องชายสบถอย่างขบขัน เมื่อได้ยินเพื่อน ๆ ถามแบบนั้น เท่าที่สังเกตครั้งแรกที่เดินมาทุกคนเหมือนจะกังวลมากเลยนะ แต่พอเห็นคาร์โลว์ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากถึงได้เอ่ยประโยคที่คล้ายกับจะแซวแต่ก็ห่วงใยเหล่านั้นออกมา ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

“เออนี่พี่สาวกูนะ พี่กัลป์ พี่ครับพี่เพื่อนผมเอง ไอ้คิว ไอ้จิม ไอ้เจมส์ แล้วก็ไอ้ออสก้าครับ”

“สวัสดีครับพี่กัลป์” เด็กหนุ่มทั้งสี่คนยกมือไหว้ฉันอย่างพร้อมเพรียง ตกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าหนุ่ม ๆ ที่หน้าตาดีขนาดนี้จะนอบน้อมกับคนที่เพิ่งพบเจอแบบนี้น่ะ ถึงแม้จะรู้จักเพื่อนน้องชายมาบ้างแต่ยังไม่เคยเจอแบบจริง ๆ จัง ๆ นี่นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้เจออย่างเป็นทางการแบบนี้

“สวัสดีค่ะ ตกใจแย่เลยใช่ไหม?” ทักทายเด็ก ๆ กลับไป มือก็รวบถุงก๋วยเตี๋ยวที่ท้ายรถมาถือไว้ คาร์โลว์เดินเข้ามาใกล้ยื่นมือมารับถุงเหล่านั้นไปถือไว้เอง

“ตกใจมากครับ ปกติมันกวนตีนก็จริง แต่ไม่เคยเห็นมีเรื่องสักที” น้องคนหนึ่งเอ่ยตอบฉัน แล้วตอนที่บอกว่าคาร์โลว์กวนนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนเจ้าตัวได้อย่างดีเลย

“พวกมึงนี่ จะขายกูให้พี่กูฟังหรือไง เดิน ๆ หิวข้าวฉิบหาย” น้องชายตัวสูงส่งถุงก๋วยเตี๋ยวให้เพื่อน ๆ ตัวเอง ทั้งยังไล่ให้เข้าบ้าน ฉันได้แต่มองตามน้องชายกับเพื่อน ๆ ด้วยความเอ็นดูจากนั้นถึงได้ล็อกรถแล้วเดินตามเข้าไป

“เห็นพี่มึงใกล้ ๆ แล้วสวยฉิบหายเลยว่ะ กูเขิน”

“ไอ้จิมนั่นพี่กู ห้ามยุ่งนะโว้ย!”

“เออ กูรู้ แต่พี่กัลป์สวยอะ มึงว่าไหมไอ้ออสก้า”

“อืม สวยมาก”

“เฮ้ย ๆ พอเลย ๆ อย่ายุ่งกับพี่กูครับ ไปแกะก๋วยเตี๋ยวกินเถอะ พี่กูจะได้กินด้วย”

เจ้าบ้านอย่างคาร์โลว์เตือนเพื่อน ๆ ขณะที่ฉันเดินไปวางกระเป๋าที่ตู้วางของซึ่งสูงถึงเอวก่อนทางขึ้นบันไดบ้าน จากนั้นก็เดินเข้าไปล้างมือเตรียมตัวกินข้าวเย็นเสียที

บทก่อนหน้า
บทถัดไป