บทที่ 3 พี่น้อง
“…ขิม… สายขิม”
“…”
“เจ้!”
แรงเขย่าจากฝ่ามือเรียกสติล่องลอยของฉันให้กลับมาที่เธอสำเร็จ ใบหน้าสวยของน้องสาวเด่นชัดตรงหน้า คิ้วเรียวขมวดนิด ๆ สายตามีความยุ่งยากใจ
“เป็นไรอ่ะ เค้าเรียกเจ้นานแล้วนะ”
“อือ มีไรล่ะ”
“เมื่อกี้ม้าโทรมาถามว่าจะกลับกี่โมง เค้าตอบสี่ทุ่ม ถ้าม้าโทรถามเจ้ก็ตอบให้ตรงกันนะ”
“แล้วเตี่ยยอมเหรอ” ฉันเลิกคิ้วถามน้องสาวร่วมสายเลือด เสียงดนตรีรอบตัวดังมากจนต้องยื่นหน้าเข้าใกล้กันเพื่อสื่อสาร
“ยอมก็แปลกสิเจ้! เตี่ยเคยยอมอะไรพวกเราด้วยเหรอ?”
“งั้นก็รีบกลับสิสายซอ”
สายซอชักสีหน้าใส่ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฉันเบือนหนีไปทางอื่น เราสองคนพี่น้องนั่งอยู่ในผับนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน สายซอโทรเรียกให้ฉันมาหาที่นี่ ตอนนั้นฉันกำลังทำงานพิเศษอยู่ เพราะความห่วงน้องจึงทิ้งงานมา แต่ผลก็คืออย่างที่เห็น…
“ยัยซอ แกยี่สิบแล้วนะ เลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว”
“พอเถอะเจ้ เค้าเบื่อฟัง อีกอย่างนะ เจ้จะรีบกลับไปทำไมบ้านแบบนั้น บ้านที่ไม่ได้ต้องการเราสักนิด” ความน้อยใจฉายชัดบนใบหน้าสวย เธอยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ฉันมองแล้วถอนใจเบา ๆ
“เอาเถอะ เจ้จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแกอยากจะกลับแล้วกัน โอเคไหม?” แก้วเหล้าสีอำพันในมือถูกยกดื่มจนหมด ความช่ำชองในรสชาติขมปร่าทำให้สีหน้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
“เค้ารักเจ้ก็ตรงนี้แหละเจ้สายขิมคนสวยของซอ!”
สายขิม คือชื่อของฉัน ฉันมีพี่น้องสามคน ตัวฉันเป็นลูกสาวคนโต สายซอคือลูกสาวคนกลาง และยังมีสายซึงน้องชายคนเล็กอีกคน ครอบครัวฉันมีเชื้อสายไทย-จีน แต่เพราะแม่ชอบดนตรีไทยมากจึงตั้งชื่อลูกตามเครื่องดนตรีไทย พูดถึงครอบครัวคนจีน แน่ล่ะ ไม่ว่าครอบครัวไหนก็มักจะรักลูกชายมากกว่าลูกสาว บ้านฉันก็เช่นกัน เตี่ยกับม้ารักน้องชายฉันเหนือสิ่งอื่นใด ตามใจสายซึงทุกอย่าง ขณะที่ฉันกับสายซอซึ่งเป็นลูกสาวกลับถูกบีบบังคับ ถูกตีกรอบสารพัด
เมื่อก่อนฉันเคยเป็นเด็กดี เป็นลูกสาวที่ดีของเตี่ยกับม้า ทั้งเรียนดี ประพฤติดี ส่วนหนึ่งเพราะคาดหวังความรักความเอาใจใส่จากพวกท่าน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนเดิม นั่นคือไม่ว่าฉันจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเตี่ยกับม้าอยู่ดี
หลังจากเกิดเรื่องที่ทำให้ชีวิตของฉันต้องพังเมื่อสองปีก่อน ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผลการเรียนตกลง เกรดร่วงจนม้ากลุ้มใจ ฉันเริ่มกลับบ้านดึก เริ่มคบเพื่อนไม่ดี เรียกได้ว่าช่วงปีหนึ่งนั้นฉันผ่านชีวิตที่เหลวไหลมาพอสมควรเลยล่ะ
กระทั่งขึ้นปีสอง สายซอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน แถมยังเป็นคณะเดียวกันอีกด้วย ตั้งแต่นั้นน้องก็เริ่มทำตัวติดฉันมากขึ้น ด้วยเพราะเราเรียนคนละโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราสองพี่น้องไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน
สายซอเรียนโรงเรียนสตรีซึ่งเป็นโรงเรียนประจำมาโดยตลอด นาน ๆ ทีจะกลับบ้านครั้ง แต่เราสองคนพี่น้องก็รักกันดี พอมีโอกาสได้มาเรียนด้วยกัน เธอจึงติดฉันเป็นพิเศษ เพราะอย่างนั้นฉันจึงเลิกทำตัวเหลวไหลเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้อง และฉันก็ทำได้ดีมาตลอดหนึ่งปีเต็ม แต่กลับเป็นสายซอเสียเองที่ชอบมาเที่ยวในที่แบบนี้ แล้วก็เรียกให้ฉันตามมาดูแลทุกครั้งเลย
“แล้วนี่เจ้เป็นไงมั่ง ปีสามงานเยอะเหรอ”
บทสนทนาระหว่างพี่น้องผ่อนคลายลงหลังจากต่างคนต่างเงียบสักพัก สายตาหลายคู่จับจ้องพวกเราจนรู้สึกได้ ความจริงตั้งแต่เข้ามานั่งก็ถูกมองมาตลอด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาทัก ด้วยเพราะสีหน้านิ่ง ๆ กับสายตาเย็นชาของเราสองคนนั้นคล้ายกันมาก แผ่รังสีไม่น่าเข้าใกล้เหมือนกัน สมกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเสียจริง
“ก็ไม่เท่าไหร่ คงไม่เยอะเท่าปีสองหรอก”
“อืม… งั้นเหรอ” เสียงครางรับเอื่อย ๆ จากสายซอบ่งบอกให้รู้ว่าเธอเริ่มเมาแล้ว ยัยนี่เป็นคนคออ่อนแต่ไหนแต่ไรแต่ก็ยังจะฝืนดื่มเข้าไปอยู่ได้ มองคนไม่เจียมตัวด้วยปลายสายตา แย่งแก้วเหล้าออกจากมือน้องสาว
“พอแล้ว กลับเหอะ”
“เจ้นี่ทำตัวเหมือนม้าเข้าไปทุกวันแล้วนะ ไม่สิ… จู้จี้ยิ่งกว่าม้าซะอีก ฮ่า ๆ” สายซอฟุบหน้าลงบนแขนแล้วจ้องหน้าฉัน ดวงตาหวานหรี่ลง ริมฝีปากขยับยิ้มบาง “แต่เค้าก็ชอบเจ้ที่เป็นแบบนี้มากกว่าเมื่อก่อนนะ เจ้ตอนนี้ถึงจะเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้อ่อนต่อโลก ไม่อ่อนแอใสซื่อ แถมพอเลิกใส่แว่นเชย ๆ นั่นแล้วก็ดันสวยมากอีกด้วย ดูสิ สวยกว่าเค้าอีกนะ”
“เมาแล้วเพ้อเจ้อตลอด” ฉันดุน้องทางสายตา สายซอหัวเราะคิกคัก ดวงหน้าหวานพริ้มเพราเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างร้ายกาจ หากฉันไม่นั่งอยู่ด้วย ป่านนี้คงมีหนุ่มไม่รู้กี่คนกรูกันเข้ามาวุ่นวายกับเธอแน่ ๆ
“เค้าพูดจริงนะเจ้ เค้าชอบเจ้ตอนนี้จริง ๆ เมื่อก่อนเจ้เอาแต่เรียน พอวันหยุดเค้ากลับบ้าน เจ้ก็ไปเรียนพิเศษ เราแทบไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำ เค้าเหงามากเลยนะรู้ไหม” พอเริ่มเมา ยัยนี่ก็จะเริ่มพูดมาก ฉันไม่ได้ห้ามสายซอพูด แต่ห้ามมือยัยตัวแสบไม่ให้แตะแก้วแทน “ตอนเจ้ไม่อยู่บ้าน เค้าแทบไม่อยากกลับไปเลยรู้ป่ะ! บ้านที่เย็นชืด บ้านที่ไร้ความอบอุ่นแบบนั้น…”
