บทที่ 9 คนขี้แกล้ง

รถสีเขียวคันเล็กวิ่งไปบนถนนสายหลักอย่างไม่เร่งรีบ ร่างสูงแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กที่นอนหลับตาพริ้มตลอดการเดินทาง

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอในมุมนี้อย่างใกล้ชิด ปกติถ้าไม่ได้มองจากระยะไกลก็เห็นกันผ่านรูปถ่ายเท่านั้น

ยอมรับว่าตอนเธอหลับโคตรน่ารักน่าทะนุถนอม แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงแอบมองเธอเงียบ ๆ ในที่ของตัวเอง ยังไม่มีสิทธิ์ทำอะไรไปมากกว่านั้น

แม้หลายครั้งนึกอยากบอกบางสิ่งให้เธอรู้ แต่ด้วยนิสัยของเธอเท่าที่รู้มา การให้เธอรู้เองน่าจะดีที่สุด

“พี่แทน” ปากเล็กพึมพำเสียงเบา แต่กลับได้ยินมันชัดเจน เขาชะงักไปเล็กน้อย มือใหญ่เผลอกำพวงมาลัยแน่นตอนได้ยินคำนั้น

ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น หัวใจเธอก็มีแต่ผู้ชายคนนั้น ทั้งที่มันไม่สมควรได้รับมันแม้แต่เศษเสี้ยวด้วยซ้ำ!

ยูนิกซ์ตัดสินใจตบไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยเข้าจอดเทียบข้างทาง เขาค่อย ๆ จับหัวคนตัวเล็กที่เอนลงมาซบไหล่ตอนละเมอให้กลับไปพิงเบาะเหมือนเดิม ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและปิดให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้

เขากลับมาอีกครั้งพร้อมยาแก้แพ้ทั้งชนิดกินและชนิดทาหลายยี่ห้อ เพราะไม่รู้ลึกถึงขนาดว่าเธอใช้ยายี่ห้อไหนบ่อยที่สุด เท่าที่รู้มา เธอระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีมาตลอด ไม่เข้าใจว่าวันนี้เกิดนึกคึกอะไรขึ้นมา ถึงไม่รักชีวิตตัวเองแบบนั้น

ยิ่งคิดยิ่งโมโหที่เธอยอมทำอะไรโง่ ๆ เพื่อรักษาความรู้สึกของครอบครัวนั้น

เขากลับมาทำหน้าที่คนขับอีกครั้ง พยายามขับรถให้นิ่มที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาพักผ่อนของคนตัวเล็ก เขาใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีบนท้องถนนทั้งที่เส้นทางไม่ได้ไกลมากมาย หากเขามาคนเดียวคงถึงตั้งแต่ยี่สิบนาทีก่อนแล้ว

มินิคูเปอร์คันหรูหักเลี้ยวเข้าสู่เขต D คอนโดฯ เขาขับตรงไปยังช่องจอดรถสำหรับลูกบ้าน VIP ที่มีจำนวนจำกัดอย่างคุ้นชิน

ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของยัยตัวเล็กสุดแสบ น้องสาวของเพื่อนสนิท เขารู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องรอฟังจากปากเจ้าตัว

เขานั่งเก็บภาพคนขี้เซาอยู่หลายนาที ก่อนจะตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ

“สงสัยจะหลับลึก น้ำลายยืดเชียว”

“ว่าไงนะ” คนเพิ่งตื่นถามเสียงอู้อี้ เธอได้ยินเขาพูด แต่ได้ยินไม่ชัดว่าพูดอะไร

“น้ำลายยืด” คนขี้แกล้งยกนิ้วขึ้นชี้มุมปากตัวเอง ทำให้อีกฝ่ายเบิกตากว้างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รับดีดตัวลุกนั่งตัวตรง

“จะ จริงเหรอ” ถามเสียงหลง ยกมือขึ้นเช็ดมุมปากจุดเดียวกับที่เขาชี้บอกอย่างลืมตัว แต่ทำไมถึงสัมผัสไม่ได้ถึงความเปียกเลยล่ะ?

“นายแกล้งฉันเหรอ!” เกิดมาเพื่อยั่วโมโหกันหรืออย่างไร ทำไมเขาถึงทำให้เธอหัวเสียได้ตลอดเวลา ตั้งแต่แรกเจอถึงตอนนี้ยังไม่หยุดกวนประสาทกันสักที!

“หึ ไม่คิดมาก่อน ว่าพริกแกงผู้หญิงที่หักอกนักธุรกิจหนุ่มกลางร้านอาหารดังจนฮือฮาไปทั่ว จะหลอกง่ายขนาดนี้ ตลกดี”

“นาย!” ไม่แปลกใจที่เขาจะรู้จักเธอจากข่าวนั้น

ข่าวนักศึกษาสาวมหา’ลัยชื่อดังหักอกนักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมถือว่าดังมากในช่วงเวลานั้น แต่ไม่คิดว่าจะมีคนจำมาถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าความจำดีหรืออะไรหรอกนะ แต่สำหรับเธอมันไม่ได้สำคัญเลย

“เอาไป” ดวงตากลมหลุบมองถุงที่ถูกโยนมาบนตักอย่างไม่เข้าใจ เขาจะมาไม้ไหนอีก เขาเป็นไบโพลาร์ไหมไม่รู้ แต่ตอนนี้เธอปรับอารมณ์ตามไม่ทันแล้ว

“กินยาซะ ทาซ้ำไปด้วย เดี๋ยวตายขึ้นมาฉันจะเดือดร้อน”

“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง” อาการแพ้แค่นี้ไม่ทำให้ตายหรอก ตอนนี้ไม่มีอะไรทำให้เธออยากหยุดหายใจได้มากกว่าเขาอีกแล้ว

“พูดมาก”

“เพราะนายนั่นแหละฉันถึงพูดมาก”

“หึ”

“อย่ามาทำเสียงแบบนั้น ฉันไม่ชอบ”

“แล้วแต่”

“ฉันอยากจะบ้าตาย!”

“ตอนนี้ไม่ใช่ว่าบ้าอยู่แล้วเหรอ”

“...” หน้าสวยสะบัดหนีพยายามควบคุมสติ เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขา พูดไปก็เจ็บตัวเปล่า ๆ ไม่รู้ว่าผู้ชายอย่างตานี่ไปสรรหาคำเหน็บแนมมาจากไหนนักหนา

“ลงสิ”

“...” เงียบ

“ไม่ลง?”

“...” ก็ยังเงียบ

ยูนิกซ์ลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งเด็กดื้อ ชายหนุ่มโน้มตัวลงสอดวงแขนใต้ขาเรียวทั้งสองเตรียมช้อนร่างบางขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ออกแรง คนที่เอาแต่เงียบมาตลอดกลับต่อต้านกันเสียก่อน

“นายจะทำบ้าอะไร” มือเล็กพยายามผลักไสหน้าหล่อให้ออกห่างจากหน้าของตัวเอง

“เห็นไม่ยอมลง นึกว่าเป็นง่อยเลยจะช่วยอุ้ม”

“ไม่ต้อง! ไปให้พ้นเลยฉันเดินเองได้” พูดจบเธอรีบคว้าสัมภาระ ขยับตัวแทรกกายเบียดชายหนุ่มออกมา โดยไม่ลืมฉวยกุญแจรถจากมือคนข้าง ๆ ติดมาด้วย

พริกแกงเดินจากมาโดยไม่พูดอะไร แม้แต่คำที่ควรพูดอย่างขอบคุณ เธอก็ไม่เอ่ยบอกให้เขาได้ใจ

เขาเข้ามาวุ่นวายเอง เธอไม่ได้ขอ ฉะนั้นหากจะไม่ขอบคุณก็คงไม่ผิดอะไร

ร่างบางเดินมาหยุดยืนหน้าลิฟต์ รอไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก เธอเดินเข้าไปด้านในโดยมีอีกคนเดินตามมาติด ๆ

“ตามฉันมาทำไม” ถามโดยไม่หันไปมอง ก้มหน้าก้มหน้าตอบแชตแฟนหนุ่ม

“ไม่ได้ตาม” เขาตอบเสียงเรียบ แต่เธอกลับทำหน้าไม่วางใจ “ฉันไม่ได้ตามเธอ ฉันจะกลับห้องตัวเอง” เขาย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่เงียบ

ทว่าคำตอบนั้น กลับทำให้เธอเหลือบตามองเขาเล็กน้อย ก่อนดึงสายตากลับมามองตรงเหมือนเดิม

“ชั้นไหน”

“34” เธอหันไปมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรออกไป

ทั้งลิฟต์เข้าสู่ความเงียบ พริกแกงยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ส่วนอีกคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา เรียกได้ว่าต่างคนต่างอยู่ แต่ต้องทนใช้อากาศหายใจร่วมกันไปก่อน

Phikkaeng Part

ติ๊ง~

ประตูลิฟต์เปิดออกกว้างที่ชั้นเกือบบนสุด คอนโดฯ นี้มีทั้งหมด 35 ชั้น ตั้งแต่ชั้น 1 จนถึงชั้น 33 เป็นห้องขนาดทั่วไป ชั้น 34 ที่ฉันอยู่เป็นชั้น VIP ขนาดห้องจะใหญ่กว่าชั้นก่อนหน้าสองถึงสามเท่า และมีจำนวนแค่สิบห้องเท่านั้น

ส่วนชั้นบนสุดได้ยินมาว่าเป็นเพนต์เฮาส์สุดหรู ของนักธุรกิจที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนาน ๆ จะกลับมาที ฉันไม่เคยเห็นหน้าหรอกนะ เคยแต่ได้ยินคนพูดถึงกัน

เดี๋ยวนะ ตายูนิกซ์บอกว่าอยู่ชั้นเดียวกับฉัน? แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยล่ะ ทั้งที่ชั้นนี้มีอยู่แค่ไม่กี่ห้อง

อ่า ให้ตายสิ ยิ่งรู้จักยิ่งน่าสงสัย แต่ถ้าเลือกได้ ฉันขอไม่รู้จักจะดีกว่า นี่ขนาดรู้จักกันแค่วันเดียวนะ ยังทำเอาความดันแทบขึ้นทะลุออกตาเลย

อยากจะบ้า!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป