บทที่ 4 ทำไมเธอต้องน่ารักด้วยวะ (1)
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
ก่อนที่จะต้องรีบผุดลุกขึ้นมาเพราะลืมไปว่าโทรสายกับฉลามดุค้างไว้ พอกดเปิดโทรศัพท์ดูฉันก็ต้องเบิกตากว้าง
สายยังไม่ถูกกดวางเลยอ่ะ! นี่ฉันโทรคุยกับเขาทั้งคืนเลยเหรอ
แต่ฉันจำได้ว่าฉันหลับไปก่อนนะ แล้ว... แล้วเขาก็ไม่ยอมกดวางงั้นเหรอ
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็รีบเอาโทรศัพท์แนบหูว่าเขาจะยังตื่นอยู่มั้ย มองไปที่นาฬิกาเล็กๆ บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็เห็นว่านี่มันแปดโมงกว่าๆ แล้ว ส้มหวานยังไม่ตื่นเลย ขี้เซาจริงๆ
“ฮะ... ฮัลโหล” ฉันตัดสินใจโพล่งขึ้นมาในสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเขากรน เอ่อ...
[... อือ] เขาละเมอด้วยอ่ะ [อยากเจอ...]
“...!”
[เมื่อไรจะได้เจอ] ฉันหน้าร้อนไปหมด เขาพูดเหมือนเขาตื่นอยู่เลย แต่ฉันว่าเขาละเมอนะ เสียงฉลามดุดูอู้อี้มากเลยอ่ะ [... เช้ายังเนี่ย]
ฉันเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังโครม ในขณะที่เสียงละเมอของคนในสายจะกลายเป็นเสียงตวาดลั่น
[ห่าเดี่ยว! มึงถีบกูอีกแล้วนะ ละเมอทีไรถีบกูตลอด กูไม่ใช่กระสอบทรายนะไอ้เหี้...!!]
ติ๊ด
ฉันรีบกดวางสายทันทีเมื่อรู้ว่าเขาตื่นแล้วแถมสบถเสียงดังด้วย ไม่อยากให้เขารู้ตัวว่าฉันแอบฟังอยู่ แล้วรีบวางโทรศัพท์ไปยังที่เดิม
แต่... โอ้ย
ฉันเอาหน้าซุกไปกับหมอนแล้วส่ายหน้าไปมาอยู่คนเดียว
ทำไมเขาถึงไม่วางนะ แล้วฉันได้ส่งเสียงกรนหรือน้ำลายยืดให้เขาได้ยินมั้ยเนี่ย น่าอายจริงๆ เลย แล้วดันไปหลับใส่สายเขาอีก
หวังว่าเขาคงจะไม่มาดักรอฉันที่หน้ามหาวิทยาลัยนะ ไม่งั้นฉันคงไม่กล้าสบตาเขาอีกเลยแน่ๆ
ฉันเอาหน้าซุกอยู่กับหมอนจนพอใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นไปคว้าชุดนักศึกษา วันนี้ฉันมีเรียนตอนเที่ยงตรง ส้มหวานก็เหมือนกัน ฉันก็เลยเดินไปเขย่าตัวร่างเล็กที่นอนอุดอู้อยู่บนเตียง แต่ก็เห็นว่าเธอนอนทำตาแป๋วอยู่ในผ้าห่ม
พอเธอเห็นหน้าฉันเธอก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาทันที
“นิ้งจ๋า รู้นะว่าเมื่อคืนโทรคุยกับใครอ่ะ” ฉันหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที ในขณะที่เธอจะหัวเราะคิกคัก “ความจริงส้มตื่นนานแล้วล่ะ แต่อยากรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“ส้ม!”
“เขาไม่ยอมวางสายเลยอ่ะ หมอนี่ท่าทางจะหลงนิ้งหัวปักหัวปำเลยนะเนี่ย”
“พะ... พูดอะไรเนี่ย ไปอาบน้ำเลย ส้มอาบน้ำนานกว่านิ้งนะ” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วเดินไปดันๆ หลังให้เธอลุกขึ้น แต่ดูที่ส้มพูดออกมาสิ
“โอเคๆ เดี๋ยวส้มหวานจะรีบไปอาบน้ำแล้วพาน้องนิ้งไปมหาลัยนะ เผื่อพี่หลามจะดักรออยู่”
“ส้ม!”
น้องนิ้ง... เอ้ย คะนิ้งจะไม่ทนแล้วนะ ฮือ
[พาร์ท : ฉลามดุ]
อ้าว นิ้งตัดสายเหรอวะ
ตัดสายตอนแปดโมงสิบห้า ทำไมนิ้งตื่นเช้า?
ถ้าจะถามว่าผมตื่นมาทำไมเวลานี้ แล้วรู้ได้ไงว่าเธอตัดสาย ก็เพราะเมื่อเช้าไอ้เหี้ยเดี่ยวมันถีบผมตกเตียงไง ไอ้นี่เวลาละเมอๆ ทีไรผมเจ็บตัวตลอด ประเด็นคือช่วงนี้มันชอบมาอาศัยนอนห้องผมอีก ทีนี้ผมเลยตาสว่างเลย ทั้งๆ ที่วันนี้ผมไม่มีเรียน
แต่ก็ดี เพราะผมตื่นเวลาเดียวกับผู้หญิงที่ชอบ เรื่องเล็กๆ แต่ฟินยิ่งกว่าฟินอีกกู
ไหนๆ นิ้งก็ตื่นล่ะ ผมทักไลน์ไปดีมั้ยวะ
หรือไปดักรอที่มหาลัยเลยดี?
แต่มันจะดูคุกคามไปปะ ดูเธอก็ยังกลัวๆ ผมตอนเจอกันตัวต่อตัวด้วย ผมอยากให้เธอมองผมกลับมาด้วยความน่ารักมากกว่ามองผมด้วยสายตาหวาดๆ นะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องจริงจัง สงสัยว่าผมจะชอบเธอจนโงหัวไม่ขึ้นก็คราวนี้ล่ะ
“ให้ตาย” ผมนั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโซฟาเก่าๆ ในห้องตัวเอง ชั่งใจนิดหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจโทรหารุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่ง
ไม่นานนักไอ้เฮียก็รับสาย
เฮียที่ผมเคารพรักคนนี้ชื่อเฮียเจ๋ง ชื่อก็โหลๆ ทั่วๆ ไป แต่เฮียเป็นคนที่ใจมาใจกลับ ผมสนิทกันมานาน ผ่านไรกันมาเยอะ แน่นอนว่ากุมความลับกันไว้เยอะเลยยังเลิกคบกันไม่ได้ ด้วยนิสัยคล้ายๆ กันแล้วก็ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แถมยังตัดสินใจอะไรรวดเร็วเหมือนกัน เรียกว่าเคารพยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ
[โทรมาทำห่าไรเวลานี้วะไอ้หลาม เช้าเหี้ยๆ]
“เรื่องสำคัญว่ะเฮีย”
[เออ ทำเสียงหงอยมาเชียวนะมึง ว่ามา]
“เอาจริงนะเฮีย” ผมทำน้ำเสียงจริงจัง ถ้าเป็นเรื่องนิ้งผมไม่เคยเล่นอะไรทั้งนั้น “เฮียว่าผู้หญิงแม่งชอบผู้ชายแบบไหนวะ ที่เข้ามาจีบอ่ะ”
[ถามงี้มึงไปจีบใครมาอีกล่ะ] ผมถอนหายใจหนัก เฮียแม่งพูดเหมือนผมไปจีบผู้หญิงมามากมาย ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ผมมีแฟนแค่ไม่กี่คนเอง แล้วก็ไม่เคยจีบใครจริงจังเท่าคะนิ้งด้วย
“เด็กมหาลัย XX ใกล้วิทยาลัยเรา ที่เฮียชมว่ามีแต่คนแจ่มๆ บ่อยๆ ไง”
[นั่นไง กูบอกแล้วว่าที่นี่มีดี] ผมได้ยินเสียงเฮียหัวเราะ จำได้อยู่ว่าเฮียมันเคยแนะนำเด็กมหาลัยนี้สมัยผมยัง ปวช. ปีสอง ผมไม่เคยสนเพราะช่วงนั้นหลงสาวเทคนิกเครือเดียวกันจนโงหัวไม่ขึ้น จนวันนี้ได้ประสบพบเจอ
ยังไงน้องนิ้งของผมก็แม่งที่สุดแล้วอ่ะ ไม่อยากมองใครแล้ว
“เออเฮีย บอกกูหน่อย” ผมเร่ง อยากรู้จะตายแล้ว จะได้มีวิธีอื่นมาจีบเธอเผื่อใจร้อนแบบนี้ไม่ได้ผลไง “ผมแม่งอยากได้เค้าเป็นแฟนชิบหาย จะทนไม่ไหวแล้วเนี่ย”
[เออ กูเข้าใจ แต่อย่ารีบ ผู้หญิงไม่ชอบให้ผู้ชายเร่ง] เฮียผมปรามขึ้นมา แล้วผมก็นิ่งไป [เอาจริงๆ กูว่าผู้หญิงแพ้พวกสุภาพบุรุษว่ะ แบบพูดเพราะๆ อบอุ่นกับเขาไรงี้]
พูดเพราะๆ แล้วก็อบอุ่นด้วยเหรอวะ?
แม่งเอ้ย ไม่ใช่ตัวกูเลย
“ไม่มีแบบอื่นเหรอวะเฮีย” ผมตีหน้าเซ็ง “แล้วถ้าผู้หญิงแม่งชอบแต่แนวนั้น ทำไมเมียเฮียถึงมาคบกับเฮียวะ”
[ไอ้เวร กูก็มีดีไง]
“มึงแม่งไม่มีประโยชน์กับกูเลย”
[ว่าไงนะ มึง...!]
ติ๊ด
ผมกดตัดสาย ก่อนที่จะนั่งลูบคางครุ่นคิดอย่างหนัก
“พูดเพราะๆ เหรอวะ” ผมพึมพำ แล้วเดินอาดๆ ไปยืนหน้ากระจกเกือบเท่าตัวที่อยู่หน้าห้องครัว แล้วฉีกยิ้มเหมือนมันเป็นคะนิ้ง “ดีครับนิ้ง”
ผมรู้สึกอยากจะอ้วกว่ะ
แต่เพื่อนิ้ง
“วันนี้ก็สวยอีกแล้วนะครับ อยากฟัด... เฮ้ย ไม่ได้ดิ” ผมขยี้หัวตัวเอง แล้วเปลี่ยนคำใหม่ “อยากพาไปดูหนังจัง”
ดูหนังเหรอ? เชยชิบหายเลยว่ะ นั่นมันเก่าแล้ว
“อยากพาเธอไปดูมวยคู่เอกวันพรุ่งนี้อ่ะ สนุกนะ นิ้งต้องลองดูสักแมทซ์”
อันนี้ก็กิจกรรมแมนๆ คุยกันไปอีก ผู้หญิงที่ไหนเขาดูมวยบ้างวะ!
เออ แต่ก็ไม่แน่ แต่สำหรับนิ้ง ใสๆ อย่างนั้นคงไม่มีโมเม้นต์นี้แน่ๆ
“ดูมายลิตเติ้ลโพนี่ห้องเรามั้ย ห้องเรามีเน็ตฟลิกซ์ ดูได้”
ก็เหี้ยล่ะ
“ทำไมไม่ได้เรื่องสักอย่างเลยวะ” ผมเกาท้ายทอยตัวเองอย่างหัวเสีย แล้วเดินไปดูนาฬิกา ตอนนี้สิบโมงกว่าๆ ล่ะ ผมไม่รู้ว่าวันนี้นิ้งมีเรียนตอนไหน ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยว่ะ ไม่ได้ถาม แล้วเธอก็ไม่คิดที่จะบอกด้วย แล้วอย่างงี้จะได้เจอกันมั้ยวะเนี่ยวันนี้
ผมทำหน้าตาเบื่อโลกแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ไอ้เดี่ยวยังนอนคว่ำหน้ากรนสนั่นโลกอยู่ นอนหรือตายก็ไม่รู้แม่ง แต่ผมรีบอาบน้ำแล้วรีบออกดีกว่า จะได้มีเวลากินข้าวแล้วไปดักรอว่าที่แฟนในอนาคต จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ช่างเหอะ ผมก็แค่อยากไปรอเธอ ถึงเธอไม่มีเรียนเวลานั้นผมค่อยไปรอใต้หอเธอก็ได้ (ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหอหญิงใกล้มหาลัย ที่มีป้ายรถสองแถวอยู่ติดถนน)
เผื่อตัวผู้แถวๆ นั้นจะได้รู้ด้วยไง ว่าคะนิ้งอ่ะ ผมจองแล้ว
[จบพาร์ท : ฉลามดุ]
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะ
ไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย
“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”
ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิด
ฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น
“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”
“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”
“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”
“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...
“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ก็ฉลามดุนั่นแหละ ดูเหมือนเขามัวแต่มองไปทางอื่นเลยยังไม่เห็นฉัน ฉันเลยกระตุกแขนส้มหวานให้เดินเลี่ยงไปทางอื่น
คือฉันยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขาอ่ะ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วมัน...
“เอ้า! จะไปไหนเล่า มาทักทายคนคุยเธอก่อนสินิ้ง” แต่ดูเหมือนว่าส้มหวานจะไม่เข้าใจ เพราะต่อมาเธอก็ลากแขนฉันไปยังที่ที่ฉลามดุนั่งกดโทรศัพท์อยู่ เขามัวแต่จ้องมันแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมาเหมือนใจลอย จนกระทั่งเสียงของส้มหวานดังขึ้นมา “พี่คะ!”
ฉลามดุถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองทางเราอย่างสงสัย และทันทีที่เขาเห็นฉัน ร่างสูงก็รีบทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นแล้วใช้เท้าขยี้มันเหมือนไม่คิดว่าฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ ก่อนที่จะลงมาจากรถแล้วเดินดุ่มๆ มาหาฉันอย่างรวดเร็ว
“รอตั้งสองชั่วโมง!” ทันทีที่ถึงตัวเขาก็บ่นเสียงดัง ส่วนฉันก็ก้าวถอยหลังอย่างตกใจ “แต่พอเห็นนิ้งแล้วเกือบลืมไปเลยว่าเมื่อกี้รอนาน”
“หูย” เสียงแซวของส้มหวานดังอยู่ข้างๆ ส่วนฉันก็เอาแต่ก้มหน้างุด “นี่ใช่พี่ฉลามดุที่มาจีบนิ้งมั้ยเนี่ย?”
“อ่า ใช่” ฉลามดุหันไปมองส้มหวานเหมือนเขาเพิ่งสังเกตเห็น ร่างสูงเกาท้ายทอย ดูเหมือนเขาเขินๆ ที่จะคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ฉัน “จะไปไหนกันปะ เดี๋ยวขับรถไปส่ง”
“ก็ร้านนมปั่นข้างหน้านี่อ่ะค่ะ เดี๋ยวก็ไปร้านเค้กข้างๆ ต่อ” ฉันหันไปตีแขนส้มทันที จะไปบอกเขาทำไม! “โอ้ย เจ็บนะนิ้ง เขินเหรอ ไม่คุยกับพี่หลามบ้างอ่ะ”
“มะ...!” ฉันตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาฉลามดุที่มองมาฉันก็พูดไม่ออก “... ไม่ได้เขินนะ”
แล้วฉันจะทำเสียงเบาไปทำไมเนี่ย
“เออ งั้นเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน ใกล้ๆ เองนี่” ฉันเบิกตากว้างเมื่อฉลามดุฉีกยิ้มอย่างเอ็นดู เขามองมือฉัน เหมือนอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ร่างสูงก็หันหน้าหนีไปมองทางส้มหวานซะก่อน “อีกอย่างพี่อายุมากกว่าไม่กี่ปีเอง เรียกฉลามก็ได้”
“โอเค แต่ส้มขอเรียกพี่หลามละกัน” ส้มหวานตกปากรับคำ เธอตีสนิทกับฉลามดุอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จะดันฉันสุดแรงจนเซไปชนกับไหล่กว้างๆ ของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ “งั้นก็ไปกันเถอะ เอ้านิ้ง ไปยืนใกล้พี่หลามสิ เดี๋ยวรถชนนะ!”
“อะ... อะไรนะ” ฉันทำตัวไม่ถูก งุนงงไปหมด แล้วยิ่งหันมาเจอฉลามดุที่มองหน้าฉันที่แนบอยู่กับต้นแขนเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ ฉันก็รีบเด้งตัวออกอย่างรวดเร็ว
“พี่หลามฝากดูนิ้งด้วยนะ นิ้งชอบเหม่อๆ ตอนเดินข้ามถนน จะโดนรถเฉี่ยวหลายรอบล่ะ” ฉันอ้าปากค้าง ถึงมันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ แต่ทำไมส้มหวานไม่เดินไปกับฉันอ่ะ! “จูงมือกันข้ามถนนดีๆ นะจ๊ะ ไปรอที่ร้านเค้กตรงนู้นเลยนะ เดี๋ยวส้มไปซื้อนมปั่นให้”
พูดยืดยาวใส่จบเธอก็หมุนตัวแล้วเดินข้ามถนนไปอย่างรวดเร็วทันทีโดยไม่รอฉันเลย ฉันมองหลังไวๆ ของส้มหวานที่ห่างออกไปอย่างตกใจ หน้าร้อนจัดในขณะที่หันกลับมามองฉลามดุที่ยืนทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างๆ
เขาก้มลงมามองหน้าฉันเพราะตัวของเขาสูงมาก น่าจะร้อยแปดสิบกว่าๆ ได้เลย ก่อนที่ร่างสูงจะกระแอมไอ
“งั้นเราขอจับมือเธอหน่อยดิ” ฉันมองหน้าเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ฝ่ามือจะถูกเขาจับไว้โดยไม่รอคำอนุญาต ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่เมื่อเขาบีบมือฉันแน่นขึ้นแล้วออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน ฉันมองรอยสักที่แขนของเขา มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ค่อยชอบเลย ถึงจะมีพี่ชายทำงานเป็นช่างสักก็ตาม
แต่ก็ดูเหมือนว่า... ฉันจะเผลอใจเต้นให้เขาไปนิดหน่อย
นิดหน่อยจริงๆ นะ
























