บทที่ 5 ทำไมเธอต้องน่ารักด้วยวะ (2) จบตอน

ตอนนี้เราอยู่ในร้านเค้ก

ฉันมัวแต่นั่งก้มหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ฉลามดุนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องหน้าฉันเขม็งจนถ้าไม่รู้ว่าเขามาจีบ มันจะดูเหมือนเขาจงใจจะหาเรื่องมากกว่า ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรสักอย่าง ร่างสูงถึงได้ทึ้งหัวตัวเองแล้วมองออกไปทางอื่น

ฉัน... อึดอัดจัง เมื่อไหร่ส้มหวานจะกลับมาที่นี่นะ

“จะสั่งอะไรมั้ย?” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ฉลามดุก็ทำลายความเงียบขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นว่าร่างสูงทำสีหน้ากระอั่กกระอ่วนเหมือนมันไม่ใช่คำถามที่เขาอยากถาม “เราหมายถึง... หิวมั้ย กินแต่เค้กจะอิ่มเหรอ”

“สะ... ส้มจะกินน่ะ” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก แล้วเขาก็พยักหน้ารับรู้

“แล้วนิ้งหิวอะไรรึเปล่า” เขาถามอีก แล้วฉันก็สบตาเขาไม่ได้ เลยมองเลี่ยงไปทางอื่น

“มะ... ไม่หรอก ไม่หิวเลย”

“นิ้งกลัวไรอ่ะ? คุยกับเราทำไมไม่มองหน้าเรา” ฉันสะดุ้งเมื่อเขาแทรกขึ้นมาเมื่อฉันพูดจบประโยคนั้นได้ไม่กี่วินาที พอหันไปมองก็เห็นว่าเขากำลังจ้องหน้าฉันอยู่อย่างลุ้นคำตอบสุดๆ ฉันก็เลยหันหน้าหนีไปอีกรอบ

“ก็...” กลัวเขานั่นแหละ “เปล่านะ”

“หน้าเราน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ” น้ำเสียงของเขาดูตัดพ้อ ฉันก็เลยกลืนน้ำลายลงคอแล้วกระพริบตาปริบๆ “นิ้ง... หันมามองหน้าหน่อยดิ”

“...” ฉันเงียบ

“จะหันหรือไม่หันครับ” คราวนี้เสียงเขาเข้มขึ้นอีกเหมือนเจ้าตัวกำลังขัดใจนิดๆ

“...”

“ไม่หันเหรอ ได้”

หมับ

สิ้นประโยคนั้น แก้มของฉันทั้งสองข้างก็ถูกเขาคว้า ในขณะที่อีกฝ่ายจะใช้กำลังบังคับให้ฉันหันไปมองใบหน้าเขาที่ตอนนี้เลื่อนเข้ามาจนประชิดเพราะฉลามดุลุกขึ้นเอื้อมมือมาคว้าแก้มฉันจากฝั่งตรงข้าม แล้วฉันก็สบตากับเขาเข้าโดยบังเอิญ ในขณะที่หน้าของฉันเริ่มร้อนขึ้นมาตั้งแต่ต้นคอลามมาจนถึงหน้าผาก

แรงของเขาไม่มากเลย มันไม่เจ็บ แต่ว่า...

“คิดถึง รู้บ้างปะว่าน่ารัก” ก็ดูเขาพูดสิ!

“นมปั่นมาแล้วน้า จองที่ไว้แล้วรึยัง เอ้ะ” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงของส้มหวานดังอยู่ข้างหน้า เสียงของเธอขาดหายไปเมื่อเห็นเราทั้งคู่อยู่ในท่านี้ ฉันเหลือบมองเธอที่หันไปมองรอบๆ เพราะมีแต่คนมอง ก่อนที่ส้มหวานจะหัวเราะแหะๆ “แหม คือถ้าทนไม่ไหวขนาดนั้นพี่หลามควรจะไปต่อที่หอนิ้งนะ ไม่ใช่ตรงนี้”

สะ... ส้ม! ต่อที่หออะไรเล่า ฮือ

“เปล่านี่ พี่เห็นนิ้งพูดด้วยแต่ไม่ยอมมองตาพี่ ก็เลยจะให้หันมามอง” ฉันอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเขาซื่อหรืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือเขาพูดตรงไปแล้วนะ “ความจริงก็อยากทำมากกว่านั้น แต่ในนี้ทำไม่ได้หรอก”

พูดแล้วก็เอาไฟแช็คมาเปิดปิดเล่นอย่างไม่ทุกข์ร้อน ส่วนฉันนี่หน้าร้อนเห่อไปหมดเพราะคำพูดที่แสนจะเถรตรงของเขา

“โอเคค่ะพี่” ส้มหวานหัวเราะแกมรู้ทัน เธอวางแก้วนมปั่นให้ฉัน เราสั่งมาเหมือนกัน ในขณะที่ส้มหวานจะหันไปสั่งเค้กกับพนักงานที่เดินเข้ามาถามอีกที

แต่ฉันแทบไม่ได้ฟังเลย มัวแต่แก้อายด้วยการกินนมปั่นแล้วมองไปทางอื่น แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกว่าเขายังมองอยู่ตลอดเวลา จนมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มือฉลามดุชี้มายังแก้วที่อยู่ในมือ

“ชอบกินไอ้นี่เหรอ?” เขาถามสั้นๆ ฉันเลยเงยหน้ามองอย่างตกใจ

“อะ... ใช่ค่ะ”

“อร่อยปะ” เขาขมวดคิ้ว “กินอะไรเป็นเด็กๆ เลย”

“ก็... อร่อยดีนะ” และเพราะไม่รู้จะตอบไปว่ายังไง ฉันก็เลยเผลอทำเสียงสั่นๆ ไปจนได้ ฉันเห็นเขาทำหน้าตึงเครียดขึ้นมา ก่อนที่ร่างสูงจะหันไปมองรอบๆ อย่างหงุดหงิด ฉันมองตามเขา แล้วก็เห็นว่ามีกลุ่มเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่อีกโต๊ะกำลังมองมาทางฉันและส้มหวาน พวกเขากระซิบกระซาบกันแล้วเริ่มโบกมือให้ฉันด้วย

“พี่สาว น่ารักจังเลย” ฉันได้ยินเสียงของพวกเขาแซวลั่นโต๊ะเหมือนคึกคะนอง ความจริงกลุ่มเด็กพวกนี้เดินเข้ามาพร้อมกับส้มหวานน่ะ แต่ฉันไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกเขาแซวขึ้นมานี่ล่ะ “ขอเบอร์ได้มั้ยครับ อยากได้เบอร์พี่สาวผมยาวมากมายอ่ะ!”

ส้มหวานผมสั้นนะ ส่วนฉันผมยาว... นั่นแปลว่าเด็กพวกนั้นกำลังขอเบอร์ฉันเหรอ

“อย่าไปสนใจไอ้เด็กพวกนั้นเลย เมื่อกี้มันก็ขอไลน์ส้มหน้าร้านแต่ส้มไม่ให้ มันก็เลยเดินตามเข้ามา” ส้มหวานพูดกับฉัน เหมือนกับว่าจะพูดกับฉลามดุด้วย ฉันก็เลยพยักหน้าและกินนมปั่นต่อเงียบๆ โดยที่เสียงหยอกล้อของเด็กกลุ่มนั้นยังดังลอดเข้ามาในหูไม่หยุด

ผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันไม่ได้พูดอะไร เขามองไปทางเด็กพวกนั้นแล้วเริ่มหักนิ้วมือเล่นอย่างเงียบเชียบ

จนกระทั่ง...

“เฮ้ย มึงลุกไปขอเบอร์พี่เค้าให้หน่อยดิ๊!” เสียงของเด็กกลุ่มนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่คนพูดจะผลักเด็กที่ท่าทางเรียบร้อยที่สุดให้เดินมาทางนี้ รู้สึกว่าเด็กคนนั้นอาจจะเป็นเบ๊ของพวกเขานะ “ต้องได้มานะ ไม่ได้วันนี้ไม่มีค่าขนมกลับบ้านนะเว้ยไอ้เด็กเนิร์ด ฮ่าๆ”

ฉันหันกลับไปมองทันที ทำไมเด็กพวกนี้ถึง...

แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะน้องท่าทางเรียบร้อยคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะพวกเราอย่างรวดเร็ว เด็กคนนี้มีท่าทีเหมือนกล้าๆ กลัวๆ ในขณะที่จะยื่นโทรศัพท์มาให้ฉันที่นิ่งอึ้งไป

“พี่ครับ คือ... คือเพื่อนผมขอเบอร์พี่” น้องมีท่าทางตื่นกลัว แล้วฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาจากโต๊ะเด็กกลุ่มนั้น ตั้งท่าจะปฏิเสธแต่ก็กลัวน้องจะโดนเด็กพวกนั้นรีดไถค่าขนม ฉันเลยหันหน้าไปมองส้มหวานอย่างตัดสินใจไม่ถูก

“ส้ม...” ฉันตั้งท่าจะพูด แต่อยู่ดีๆ ร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทุบโต๊ะเสียงดัง

ปึง!!

“ไอ้พวกเด็กเวร” ฉลามดุสบถในลำคอเสียงเหี้ยมในวินาทีต่อมา ฉันมองเขาอย่างตกใจ แล้วก็เห็นว่าเขาผุดลุกขึ้นทันทีและเดินออกไป

“พี่หลามจะทำอะไรน่ะ” ส้มหวานป้องปากถามฉันอย่างตกใจ ส่วนฉันก็ส่ายหน้า ในขณะที่ร่างสูงที่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนจะเดินดุ่มๆ ไปทางโต๊ะของเด็กพวกนั้นที่กำลังหัวเราะสนุกสนาน แล้วเขาก็...

“พวกมึงเป็นอะไรกันมากมั้ย?” กระชากคอเสื้อของเด็กท่าทางที่ดูจะเป็นเหมือนหัวโจกของโต๊ะขึ้นมาจนแทบจะชิดกับใบหน้าของเขา “คึกกันมากปะ กรอกน้ำให้แม่เสร็จยัง ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ขนยังไม่ตั้งคิดจะม่อสาวเหรอ”

“เฮ้ย พี่เป็นใครอ่ะ” เสียงเด็กพวกนั้นดูแตกตื่นเหมือนคาดไม่ถึงว่าจะมีคนหาเรื่องจะๆ แบบนี้ ในขณะที่ฉลามดุจะเหวี่ยงเด็กที่เขากระชากคอเสื้อออกแต่ยังคงจับเสื้อเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนที่จะท้าวแขนอีกข้างลงกับโต๊ะแรงๆ “พี่จะทำไรวะ!”

“พวกมึงไม่ต้องรู้หรอก” เขาพูดเสียงเย็นเยียบและมีใบหน้าน่ากลัวในแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน “แต่สิ่งที่พวกมึงต้องรู้ก็คือกูกำลังจีบคนที่มึงอยากได้เบอร์อยู่ ส่วนอีกคนก็เพื่อนเค้า แล้วพวกมึงคิดว่ากูจะทำอะไรกับพวกมึงดีล่ะ มากวนใจว่าที่แฟนกูแบบนี้เนี่ย”

วะ... ว่าที่แฟน

ฉันคิดทวนตามคำพูดของเขาในใจ แล้วหน้าร้อนเมื่อน้องที่เดินมาขอเบอร์กับส้มหวานมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งคู่

ฉันเปล่านะ เขาพูดเองอ่ะ

“มึงปล่อยกูนะเว้ย!!” เสียงของหัวโจกดังขึ้นมาอย่างก้าวร้าว ตอนแรกฉันเห็นว่าฉลามดุดูใจเย็นอยู่นะ แต่พอเด็กคนนั้นขึ้นมึงกูใส่ เส้นเลือดที่คอของเขาก็ขึ้นจนเห็นได้ชัดเลย “ห่าโอ มึงนั่งเงียบทำไม เข้าไปจับแม่งดิ”

ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่ยอมลงง่ายๆ ด้วย เขาหันไปสั่งเพื่อนอีกคน แต่ก็ดีที่เพื่อนที่ชื่อโอที่ว่านั่งกลัวฉลามดุจนตัวสั่นไปหมดแล้ว

“มึงเรียกกูว่าไงนะ แม่งเหรอ?” ฉลามดุถลึงตาใส่ ในขณะที่จะง้างหมัด

“พี่ ถ้าต่อยเด็กติดคุกนะเว้ย!” เสียงของเด็กคนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้นมาอย่างห้ามปราม พร้อมๆ กับคนในร้านที่เริ่มให้ความสนใจ บางคนแตกตื่นไปเรียกเจ้าของร้าน แต่เจ้าตัวก็ไม่กล้าทำอะไร หมัดของฉลามดุถูกค้างไว้ท่านั้น แต่เขากลับตวาดลั่น

“มึงคิดว่ากูกลัวเหรอ! มากกว่านี้กูก็เคยทำมาแล้ว เสียค่าปรับกับเข้าคุกไม่กี่เดือนกูไม่แคร์หรอก!!” แต่พอเขาตั้งท่าจะต่อยเท่านั้นล่ะ

หมับ

“พะ... พอได้แล้ว” ฉันก็รีบวิ่งไปคว้าต้นแขนของร่างสูงที่ง้างหมัดเอาไว้ทันที ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ กลัวก็กลัว แต่ฉันแค่อยากให้เขาหยุดเท่านั้นเอง คนในร้านเขาสีหน้าไม่ค่อยดีกันแล้วนะ “อย่าไปต่อยเด็กเลย คนในร้านมองเรากันหมดแล้วนะคะ”

ฉลามดุไม่ได้พูดอะไร เขาหันมามองฉันด้วยสีหน้าตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ยอมเอามือลงตามที่ฉันพูดอย่างง่ายดาย ก่อนที่เขาจะถามฉันเสียงอ่อนลง “... แล้วจะให้เราทำไง”

“เอ่อ...” แล้วคราวนี้ฉันก็ไปไม่เป็น คิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งน้องที่ดูเหมือนจะชื่อโอผุดลุกขึ้นมา แล้วล้มตัวลงไปกอดข้อขาของฉลามดุเอาไว้

“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”

“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”

“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน

“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”

“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”

“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”

เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วย... นี่เขาเขินเหรอ?

“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”

“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่อเสียงพวกพี่มาบ่อย” เสียงของเด็กที่ชื่อโอดังขึ้นอีกอย่างตื่นเต้น ท่าทางของเด็กคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย พวกเขาดูเป็นมิตรมากกว่าเมื่อกี้ตั้งเยอะเลย “ดีใจที่ได้เจอพี่ตัวเป็นๆ สักที”

“เออ พวกมึงก็ตั้งใจเรียนหน่อย” ฉลามดุพูดเสียงอ่อนลงเมื่อได้ยินแบบนั้น แล้วปล่อยคอเสื้อเด็กที่เป็นหัวโจกออก ดูเขาจะเกร็งๆ นิดนึงด้วย “แล้วก็อย่ามาทำตัวแบบนี้อีกนะ มันไม่ได้ดูเท่”

“...”

“อย่าทำให้พ่อแม่พวกมึงเสียใจเหมือนที่กูเคยเป็นเลย” ฉันมองเขาอย่างแอบชื่นชม ถึงเขาจะดูเป็นหัวโจกเสียเองก็เถอะ แต่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะคิดอะไรเป็นผู้ใหญ่อยู่เหมือนกันนะ

เด็กพวกนั้นพยักหน้าแล้วยกมือไหว้ขอโทษขอโพยกันใหญ่ จนกระทั่งเด็กหัวโจกคนนั้นหันมามองหน้าฉัน แล้วเขาก็เริ่มโพล่งขึ้นมาด้วยสายตาล้อเลียน

“พี่ แล้วพี่สาวสวยๆ เหมือนดาราคนนั้นพี่ก็จีบอยู่จริงใช่ปะ?” ฉันสะดุ้งเฮือก มองฉลามดุที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉัน ก่อนที่คนตัวโตจะเป็นฝ่ายหันหน้าหนีก่อน ฉันสังเกตเห็นว่าหูของเขาแดงนิดหน่อย

“อ่า ใช่” เสียงของเขาดังขึ้น “คนนี้กูจริงจังมาก อย่าขอเบอร์เค้าอีกนะ หวง”

ฮือ จะเถรตรงไปมั้ยเนี่ย นี่ต่อหน้าเด็กๆเลยนะ!

[พาร์ท : ฉลามดุ]

พอผมพูดออกไปตรงๆ แบบนั้นเด็กมันก็แซวกันใหญ่

“อั้นแน่ะๆๆ ว่าแล้ว ตอนแรกก็เห็นพี่อยู่แต่ไม่ได้สังเกต นั่งคุมเลยนะคร้าบ”

“พี่สาวเขินใหญ่แล้วมึง”

“ผมเชียร์เลยคู่นี่ ลงเอยยังไงอัพเดทให้ผมฟังบ้างนะพี่!”

เอาจริงๆ ผมเป็นคนหน้าหนาหน้าทน แต่พอมาเจอเด็กแซวแบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

“หุบปากได้แล้ว แล้วนั่งอยู่เงียบๆ กันไป” ผมทำเสียงเข้มขรึม ทำให้เสียงแซวเหล่านั้นเงียบลงทันที ผมหันไปมองนิ้งที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “เมื่อกี้เจ็บมั้ย เราได้กระชากแขนหรือทำอะไรแรงๆ ปะ?”

ให้ตายดิ ดูเท่โคตรๆ เลย

“เปล่าจ้ะ เปล่าเลย” ผมหรี่ตาลงอย่างสงสัยเมื่อนิ้งตอบเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ไม่ยอมสบตาผมอีกแล้ว “ส้มนั่งรอตรงนั้นนานแล้ว กลับที่กันเถอะนะ”

ผมมองหน้าเธอนิ่ง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกแสบๆ ตรงแขนเลยยกขึ้นมาดู พอเห็นสิ่งต้นเหตุที่ทำให้แสบเลยนิ่ง แล้วเลือกที่จะคว้าข้อมือคนตัวเล็กเดินออกไปนอกร้านโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร

“อะ... อะไรคะ! จะไปไหน” ผมได้ยินเสียงของคะนิ้งชัดเจนที่สุดในหู ต่อมาก็ได้ยินเสียงเด็กเปรตพวกนั้น ตามด้วยเสียงเพื่อนของคะนิ้งที่ชื่อส้มหวานไล่หลังมา แต่ผมกลับไม่สนใจ และเลือกที่จะดึงทึ้งคะนิ้งให้เดินข้ามถนนมาเงียบๆ จนถึงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

“ขึ้นไปก่อน” ผมเหวี่ยงเธอเบาๆ แล้วกวาดขาขึ้นรถ ในขณะที่คะนิ้งมองผมกลับมาอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะ”

“เรามีเรื่องสำคัญจะคุย” ผมโกหก จริงๆ คืออยากพาเธอออกไปจากที่ตรงนี้เพราะเหตุผลงี่เง่าบางอย่าง “ขึ้นมานั่งโดยไม่ถามอะไรได้ป่าว”

“พะ... พูดตรงนี้ไม่ได้เหรอ?”

“ขึ้น” ผมพูดเสียงเรียบเมื่อไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ รู้สึกคิดผิดที่พูดห้วนไปแบบนั้น เพราะต่อมาคะนิ้งก็มีสีหน้าตื่นกลัวในขณะที่เธอจะยกตัวขึ้นนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

บ้าเอ้ย จะพังก็เพราะอารมณ์กูเนี่ยแหละ

พอเธอขึ้นนั่ง ผมก็เอี้ยวตัวไปคว้าแขนเธอมาแล้วบังคับให้กอดเอวผมไว้ เพราะผมคิดว่าผมคงจะขับรถเร็วจนตัวเล็กๆ ของเธอจะปลิวไปตามลมได้เลยถ้าไม่เกาะไว้ให้ดี ผมได้ยินคะนิ้งอุทานเบาๆ เหมือนจะตกใจ แต่มือสั่นๆ นั่นก็กอดเอวผมไว้แน่นอย่างไร้การขัดขืน

เชี่ย อยู่ดีๆ กูก็ฟินขึ้นมา

“จับไว้แน่นๆ นะ” ผมกำชับเสียงนิ่งอย่างพยายามเก็บอาการ แล้วออกรถออกไปด้วยความเร็วสูง ผมลืมใส่หมวกกันน็อคให้นิ้ง แต่ไม่ซีเรียสมากเพราะผมคิดว่าคงไม่จำเป็น คอนโดที่ผมอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง ไอ้เดี่ยวก็กลับไปแล้ว

เฮ้ย ทำไมยิ่งพูดมันก็ยิ่งเหมือนว่ากูกำลังจะพานิ้งไปปลุกปล้ำเลยวะ?

ผมเปล่าคิดแบบนั้นนะ ผมแค่...

เครื่องยนต์ถูกเร่งแรงขึ้นอีกเมื่อผมสับสนในตัวเอง ผมรู้สึกว่าใบหน้าของคะนิ้งเซมาชนกับแผ่นหลังเบาๆ เพราะแรงกระแทก แล้วเธอก็ไม่ยอมเอามันออก สงสัยเพราะกลัวมาก เธอกอดผมแน่นจนอึดอัด ในขณะที่เบียดตัวเข้ามาจนชิดด้วย

ผมสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่มนิ่มตรงแผ่นหลัง คือกูไม่ได้หื่นไม่ได้ลามกอะไรนะ แต่นิ้งน่ารักไง แล้วผมก็ชอบนิ้งมาก แล้วก็เผอิญว่าผมมันก็เป็นผู้ชาย...

คนอื่นมันก็ผู้ชายนะเว้ย

ผมคิดในใจแล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ ตั้งแต่ที่ไอ้เด็กเวรพวกนั้นมาขอเบอร์เธอแล้ว แค่นั้นมันก็ทำผมรู้สึกไม่ดีสุดๆ

ถึงการใช้กำลังกับเด็กมันจะไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ผมก็เกือบจะทำมันลงไปแล้วไง

“ละ... ลดความเร็วลงอีกหน่อยได้มั้ย” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงสั่นๆ ของคนตัวเล็กดังขึ้นข้างหูขัดความคิดของผม เธอกระซิบในขณะที่มุดตัวเข้ากับไหล่กว้างเพราะผมไม่ฟัง แถมยังเร่งเครื่องเสียงดังกลบเธออีกต่างหาก “ลดมันลงหน่อยได้มั้ย”

เสียงก็น่ารัก ตัวก็น่ารัก หน้าตาก็น่ารัก น่ารักไปหมดเลยว่ะ

“ก็ได้” แล้วสุดท้ายผมก็ต้องยอมเชื่อฟังอย่างเสียไม่ได้ ผมลดความเร็วลงนิดหน่อยตามที่เธอขอ แต่พอเธอเริ่มคลายอ้อมแขนออกผมก็เร่งขึ้นมาอีกเหมือนกับคนเป็นไบโพล่าร์ คะนิ้งครางในลำคอเบาๆ และผลสุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกจนต้องกอดผมไว้แน่นอยู่อย่างนั้น

ให้ตายเหอะ เวลาทำให้เธอกลัวสุดๆ มันก็แอบมีดีเหมือนกัน

ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงคอนโดที่ผมอยู่ มันเป็นคอนโดคูหาติดกับร้านข้าวแกงข้างๆ สภาพดูเก่าหน่อย มีอยู่สี่ชั้น และผมพักอาศัยอยู่ที่ชั้นสอง เหตุผลเพราะมันขึ้นลงสะดวกดี

ผมมันไม่ได้เป็นคนมีฐานะนักหรอกว่ะ ก็ออกจากบ้านมาทำงานตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เลยยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมาตลอด

ผมลากแขนเธอขึ้นห้องทันทีโดยไม่พูดอะไร พอถึงหน้าประตูก็ไขกุญแจเข้าไปแล้วกดล็อกทันทีโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา คะนิ้งยืนหน้าตื่นอยู่ข้างๆ ผม เห็นแล้วเหมือนเธอเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่หนีไปไหนไม่พ้นยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

“นิ้ง” ไม่รู้ทำไม ผมเรียกชื่อเธอ แล้วคะนิ้งก็สะดุ้งเฮือกเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว

“พะ... พาหนูมาที่นี่ทำไมคะ ส้มตกใจหมดแล้วนะ แล้วนั่นคุณจะทำอะไรเหรอ” เธอละล่ำละลั่กถามผมเหมือนดีเลย์ มีเหตุผลที่จะถามตั้งแต่ต้นอยู่แล้วเพราะผมวู่วามแต่เหมือนเธอจะตื่นจนลืม ผมก็เลยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะดันแผ่นหลังเธอให้ชิดกับบานประตู “ฉะ... ฉลามดุ”

เธอเรียกชื่อเต็มผมด้วยสีหน้าตกใจ แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีที่เธอเรียกผมแบบนั้น แล้วก็อยากให้เรียกอีกบ่อยๆ

ผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เธออีกนิด แล้วร่างเล็กก็ยิ่งตัวเกร็งเข้าไปใหญ่

“นิ้ง... คือ” ผมกระซิบค้างไว้ แล้วเธอก็เหลือบตาขึ้นมองผมทั้งๆ ที่ใบหน้าเราอยู่ใกล้กันมาก แต่ผมไม่คิดที่จะล่วงละเมิดอะไรเธอไปมากกว่าการยื่นหน้าไปกวนใจเธอเล่นๆ หรอก สบายใจได้

“...”

“เราเจ็บแผลว่ะ... เด็กพวกนั้นพกคัตเตอร์มาแล้วมันบาดแขนเราอ่ะ”

[จบพาร์ท : ฉลามดุ]

บทก่อนหน้า
บทถัดไป