บทที่ 6 วายร้าย (1)
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา
“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”
ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย
“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”
“...”
“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”
“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”
“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”
“...”
“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”
ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย
“ปะ... ไปล้างแผลก่อนสิ” ฉันพูดกับเขาโดยไม่สบตาด้วย เเล้วร่างสูงก็มองกลับมาแทบจะทันที “เดี๋ยวก็ติดเชื้อหรอก”
“ล้างให้หน่อยดิ” ฉันหันกลับไปมองเขาแทบจะทันทีเมื่อฉลามดุโพล่งขึ้นมา อะ... อะไรนะ “แล้วก็มานั่งใกล้ๆ เราด้วย นั่งห่างแบบนั้นจะทำแผลได้ไง”
“เอ่อ...”
“เร็วดิ เจ็บแผลนะเนี่ย”
ฉันทำสีหน้าจนใจ ก่อนที่จะลุกไปนั่งข้างๆ เขาอย่างเสียไม่ได้ แล้วตัดสินใจเอากล่องปฐมพยาบาลวางกั้นระหว่างที่นั่งของเราไว้ ฉลามดุก้มลงมองมัน แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันด้วยสายตาละห้อย
ฉะ... ฉันจะไม่ใจอ่อนให้เขาหรอกนะ
“ที่นี่มีผ้ารึเปล่า” ฉันถามเขาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง แล้วจู่ๆ ร่างสูงก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนต้องผงะถอยหลัง แล้วเขาก็หัวเราะพร้อมกับกระซิบเสียงหนักด้วยท่าทางเหมือนจงใจจะแกล้ง
“อยู่ในตู้เสื้อผ้าชั้นบนอ่ะ... ในห้องนอนเรา” เขาจ้องตาฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ในขณะที่จะพูดต่อด้วยประโยคที่... “เดี๋ยวไปช่วยหยิบเป็นเพื่อน”
ที่...
“มะ... ไม่เอา จะไปเองค่ะ” ฉันผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แล้วรีบจ้ำอ้าวไปหยิบผ้าสะอาดที่อยู่ในห้องนอนของฉลามดุทันทีโดยมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาดังตามหลังมา ตู้เสื้อผ้าของเขาไม่ใหญ่และเตี้ยมากด้วย ห้องของเขาก็รกมาก และยิ่งไปกว่านั้นพอฉันเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกมา
“... อะ!”
กะ... กองกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาก็หล่นลงมาจนฉันต้องถอยหลังหนีไปตั้งหลักอย่างตกใจ
โอ้ย นี่เค้าไม่คิดที่จะจัดผ้าดีๆ บ้างเลยเหรอ พับแล้วก็ยัดๆ เข้าใส่ตู้แบบนี้เนี่ยมันลำบากคนเก็บนะ
แย่ที่สุดเลย ฮือ ฉันจะร้องไห้แล้วนะรู้มั้ย
ฉันคิดในใจอย่างวุ่นวายใจแล้วค่อยๆ หยิบกะ... กางเกงของเขามาพับเข้าตู้ด้วยใบหน้าที่ร้อนจัดไม่ต่างจากกาต้มน้ำเดือดๆ เลย ในขณะที่สายตาจะเหลือบไปเห็นผ้าสะอาดผืนเล็ก ฉันรีบคว้ามันมาอย่างระแวดระวังเพราะกลัวอะไรๆ ที่ไม่จรรโลงใจมันจะหล่นลงมาอีก แล้วปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย
ฉันเดินออกไป สบตากับร่างสูงที่นั่งมองแผลที่แขนอยู่นิดหน่อย ตอนแรกเขาผิวปากเล่นด้วย แต่พอเขาเห็นฉัน สีหน้าของฉลามดุก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเหมือนกับเจ็บปวดมากจริงๆ
แล้ว... ฉันรู้นะว่าเขาแกล้งน่ะ ก็เขาแสดงได้ไม่เนียนเลย
ฉันมุ่ยหน้าเล็กๆ แล้วเดินไปเปิดกาต้มน้ำ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาชามขนาดกลางโดยไม่คิดที่จะถามฉลามดุอีก แล้วมันก็มีจริงๆ ฉันคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกับหยิบออกมาจากชั้น รอจนน้ำอุ่นกำลังพอดีแล้วเปิดน้ำใส่ชาม เอาผ้ามาซับๆ แล้วบิดพอเปียกหมาดๆ ในขณะที่จะเดินยกชามไปหาเขาที่นั่งมองฉันอยู่อีกด้านหนึ่ง
ตอนเด็กๆ ฉันเคยทำแผลให้พี่ชายบ่อยๆ น่ะ ก็เลยชินไปแล้ว
เชื่อมั้ยคะ ฉันเคยฝันว่าอยากเป็นพยาบาลด้วยนะ แต่มันก็นานมากแล้วล่ะ ฉันไม่ได้หัวดีถึงขนาดจะไปเรียนสายนั้นได้ แถมยังซุ่มซ่ามเก่ง มือสั่นง่ายอีกต่างหาก
ส้มหวานบอกว่าฉันนิสัยเหมือนกระต่าย ขี้กลัว และมักเป็นเหยื่อของนักล่าและนายพรานเสมอ
ซึ่งก็อาจจะจริงก็ได้ เพราะคนตรงหน้าฉันไม่ต่างอะไรกับหมาป่าเลยสักนิด
ฉันคิดในใจเพลินๆ แล้วนั่งลงข้างๆ เขาโดยมีกล่องปฐมพยาบาลขั้นอยู่ตรงกลางเหมือนเดิม ร่างสูงมองตาฉันกลับ ในขณะที่ยื่นแขนให้อย่างรู้งาน “เบาๆ นะ เราเจ็บมากเลยว่ะ”
ฉันมองเขาพร้อมกับถอนหายใจ ทำไมต้องแกล้งเจ็บด้วยนะ
และเพราะไม่อยากพูดอะไร ฉันก็เลยหยิบผ้าออกมาแล้วซับไปที่แผลของเขาเบาๆ เพื่อเช็ดเลือดออกอย่างเงียบๆ สายตาของฉันจงใจจดจ่ออยู่แค่ที่แผลเขา เพราะรู้สึกตัวว่าฉลามดุเอาแต่จ้องหน้าฉันอยู่ตลอดเวลาจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
ฉันซับมันไปเรื่อยๆ โดยตั้งใจว่าจะไม่สนใจเขาอีก จนกระทั่ง...
“ผมปิดหน้าหมดแล้ว” เสียงของฉลามดุดังขึ้นที่ข้างริมหู พร้อมกับมือเรียวที่ปัดหน้าม้าเเละปอยผมให้ฉันออกอย่างแผ่วเบา ฉันเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองก้มหน้ามากเกินไปหน่อย แล้วก็ต้องตกใจที่ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ฉันมาก ตะ... ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “กล้าสบตาเราแล้วเหรอ”
ฉลามดุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับกระตุกยิ้ม ฉันมองริมฝีปากเขาที่ยกสูงขึ้น แล้วอยู่ดีๆ ก็หน้าร้อนขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
“สะ... เสร็จแล้วล่ะ” ฉันผละมือออกจากแขนเขาทันที แล้วหยิบเบตาดีนออกมาพร้อมกับสำลี ชุบมันจนชุ่มนิดๆ แล้วเอามาแตะที่แผลเขาเบาๆ เลือดของเขาจางลงไปมากแล้วเพราะฉันซับมันออก แต่ก็ยังมีรอยอยู่
ฉันเผลอเอื้อมมือไปแตะมันเบาๆ แล้วพึมพำบอกฉลามดุอย่างลืมตัว
“สองวันต่อมาคุณต้องไปซื้อยาทาแก้แผลเป็นนะ เป็นรอยแบบนี้รู้สึกไม่ดีเลย...”
“นิ้งเป็นห่วงเราเหรอ”
ฉันชะงักทันทีเมื่อจู่ๆ เขาก็โพล่งแทรกขึ้นมา ก่อนที่จะรู้สึกตัว ก็เลยเผลอพูดออกไป “... ก็เป็นห่วงนิดหน่อย”
อะ... โอ้ย พูดออกไปแล้ว จะพูดออกไปทำไมนะนิ้ง
“เฮ้ย” ฉลามดุทำสีหน้าตกใจเหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึง ก่อนที่ต่อมาร่างสูงจะฉีกยิ้มกว้าง “จริงดิ”
ฉันเงียบทันที
ฉันไม่น่าพูดเลย อุตส่าห์จะนั่งทำแผลเงียบๆ แต่ดันเผลอพูดเรื่อยเปื่อยไปซะแล้ว
“งั้น... ยาแก้แผลเป็นอะไรนั่นนิ้งก็ซื้อให้เราดิ” และพอเห็นว่าฉันเลือกที่จะเงียบ ฉลามดุก็เลยพูดขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เหมือนเขาจะต่อรองฉันอีก “แล้วมาทำแผลให้เราทุกวันเลย... ได้มั้ย?”
“ทะ... ทำไมไม่ซื้อเองล่ะ” ฉันพูดด้วยสีหน้าเหวอๆ แล้วเขาก็เงียบไป
“ก็...” เขาเว้นคำให้ฉันรอฟัง แล้วจู่ๆ ก็ฉีกยิ้มออกมา “เราแค่อยากหาเรื่องอยู่กับนิ้งไง”
“...!”
“เป็นไปได้ก็อยากไปเก็บของเธอย้ายมาอยู่ด้วยกันเลย แต่ทำไม่ได้ไง ก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ” ฉันอ้าปากค้าง ในขณะที่มือที่ถือเบตาดีนอยู่จะถูกมือหนาคว้าเอาไว้ แล้วร่างสูงก็ประสานมือลงมา “เราอยากอยู่กับเธอทุกวินาทีเลยรู้ตัวปะ”
“...!!”
“เอ้า ทำแผลต่อดิ เรารออยู่ ยังเจ็บอยู่เลย” เขาพูดตัดบทอย่างพอใจเมื่อเห็นฉันทำหน้าเอ๋อสุดๆ หลังจากที่ถูกเขาพูดด้วยประโยคนั้น แล้วก็บีบมือฉันแน่นขึ้นอีกต่างหาก ในขณะที่ฉันน่ะ...
อาการเขินฉันดีเลย์อีกแล้ว แต่ตอนนี้หน้ามันร้อนไปหมดเลย
และสุดท้ายฉันก็ไม่มีทางเลือก เลยต้องนั่งทำแผลให้เขาโดยไม่กล้าสบตาร่างสูงอยู่แบบนั้น ฉันไม่มองหน้าเขาเลยตอนที่พันผ้าก็อซรอบแผลให้เขา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกตัวว่าฉลามดุจ้องหน้าฉันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
“เสร็จแล้วล่ะ” ฉันพูดกับเขาหลังจากกลัดผ้าก็อซอย่างเรียบร้อย แต่แผลเขาค่อนข้างเล็กเลยคิดว่าที่ตัวเองทำมันเกินตัวไปหน่อย แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะมันจะได้ไม่โดนฝุ่นข้างนอกจนอักเสบ
คิดได้แบบนั้นแล้วก็หยิบกล่องปฐมพยาบาลไปวางไว้ที่อื่น ในขณะที่จะเขยิบไปตั้งหลักในอีกสุดของขอบโซฟา
ฉลามดุสำรวจแผลของตัวเอง เขามองระยะห่างระหว่างที่นั่งของเรา แล้วจู่ๆ ร่างสูงก็ทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจขึ้นมา
“แต่เราเจ็บแผลนิดๆ อ่ะ” เขาทำสีหน้าเจ็บปวดในทันที แล้วมองฉันที่นั่งห่างเขามากด้วยสายตาอ้อนวอน “มาดูตรงนี้ให้หน่อย”
ที่ดูก็รู้ว่าแกล้งเจ็บชัดๆ เลย
“ไม่เอาแล้ว” ฉันปฏิเสธ แล้วตั้งท่าจะลุกขึ้น “หนูจะกลับบ้านแล้วนะ”
“รู้ทางกลับเหรอไง?” เขาถามกลับมาทันที แล้วฉันก็เหงื่อตกเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้
จะ... จริงด้วย นี่มันห้องของเขานี่นา
“มะ... ไม่รู้” ฉันก้มลงมองโทรศัพท์ แบตมันหมดน่ะ เพราะงั้นก็เลยโทรให้ส้มหวานมาหาไม่ได้ ตอนที่นั่งมาที่นี่ฉันก็ไม่ได้มองทางเลยเพราะเขาขับเร็วมากจนฉันกลัว และ... นี่มันค่อนข้างจะเป็นทางตันสุดๆ เลย “แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนอ่ะ ไกลจากหอหนูมากรึเปล่า”
ฉันถามเขาอย่างเป็นกังวล ในขณะที่ร่างสูงจะมองหน้าฉันกลับ แล้วเขาก็ทำสีหน้าบางอย่าง... มันดูเหมือนเขากำลังมีความคิดอะไรอยู่ในหัว
“ไกลดิวะ ไกลมากเลย ขับไปกว่าจะถึงหอเธอวันนี้คงดึก มันอันตราย” ฉันอ้าปากค้างเมื่อเขาพูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าตายสนิทเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง “แต่เธอจะนอนค้างที่นี่ก็ได้”
“...!!”
ขะ... เขาพูดว่าอะไรนะ
“เสื้อเราก็มี หิวเดี๋ยวเราจะหาไรให้กิน นอนไม่หลับเดี๋ยวเราจะเล่นกีต้าร์กล่อม”
“...”
“มีครบกว่านี้ก็สิงห์คะนองนาแล้วครับ”
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง
“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”
“...”
“หนูอยากกลับบ้าน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม
“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”
และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“...”
“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”
จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ
“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อนวอนใครสักคนแบบสุดตัว นั่นก็เพราะฉันอยากกลับบ้านมากจริงๆ
“... นิ้ง”
“ฮึก... นิ้งอยากกลับบ้าน พานิ้งกลับบ้านได้มั้ย”
“โธ่เว้ย!”
























