บทที่ 7 วายร้าย (2) จบตอน
“หิวอะไรมั้ย?”
“มะ... ไม่” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก หลังจากที่ฉันร้องไห้แล้วฉลามดุก็สบถออกมาเสียงดังลั่นห้อง เขาก็ลากฉันเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ ก่อนที่จะลากฉันมานั่งข้างนอกแล้วส่งผ้าให้ฉันเช็ดหน้าตัวเอง จนตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจว่าเขาเห็นฉันเป็นเด็กหรือเขายังเจ็บแขนอยู่จริงๆ มั้ย
“แล้วจะร้องไห้ทำไม” เขาถอนหายใจหนัก เหมือนโล่งใจที่เห็นฉันหยุดร้องไห้ได้ “เราตกใจหมด”
“...”
“นึกว่าเธอเป็นอะไร” ฉันมองเขาผ่านผ้าเช็ดหน้า ดูฉลามดุมีสีหน้าจริงจังจนน่ากลัวเลย จนเขาเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยฉันถึงได้หลบสายตาไปทางอื่น “เออ เมื่อกี้เธอยังไม่ได้กินไรเลยนี่ เพราะมีเรื่องกับไอ้เด็กพวกนั้น”
ฉันเงียบ หันกลับไปมองเขาที่ยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“แล้วนี่ก็เพิ่งบ่ายสอง เดี๋ยวเราพาไปหาไรกิน” พูดจบร่างสูงก็ผุดลุกขึ้น มองฉันที่มองหน้าเขากลับอย่างงุนงงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันก่อนที่จะโยนทิ้งไปทางอื่นอย่างไม่แยแส ในขณะที่จะคว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน “บ่ายสองแล้วไม่ได้กินอะไรได้ไง”
“แต่... อะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร ต้นแขนก็ถูกเขากระชากแล้วดึงทึ้งให้เดินไปด้วยกัน ฉลามดุล็อกห้องอย่างรวดเร็ว แล้วลากแขนฉันลงไปที่ชั้นล่างโดยไม่พูดอะไรอีก จนมาถึงชั้นจอดรถแล้วเขาก็เดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
ฉันมองเขาที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยด้วยสีหน้าตื่นกลัว พอเขาขับมาทางนี้ฉันก็ผงะถอยหลังไปนิดหน่อย จนฉลามดุที่หยุดรถมองฉันนิ่งๆ ก็เริ่มทำอะไรบางอย่าง
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ” ร่างสูงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาให้ฉันที่หางตาเบาๆ ฉันชะงักไป สงสัยเพราะฉันเช็ดออกไม่หมด ก่อนที่เขาจะสวมหมวกกันน็อคให้โดยไม่ทันตั้งตัว “ขอโทษนะที่เอาแต่ใจจนเธอร้องไห้ ขึ้นรถดิ”
“ฉะ หนูไม่ได้...” ฉันตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็เงียบเสียงลงแล้วเดินมุ่ยหน้าไปนั่งข้างหลังอย่างว่าง่าย
ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเขาสักหน่อย
“โอเค เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน เธอจะได้ไม่ร้องไห้อีก” เขาออกตัวรถออกไป แต่คราวนี้ไม่เร็วเหมือนตอนที่ขับมาที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไม... เหมือนเขากำลังเอาใจฉันอยู่เลย “อยากกินอะไรบอกนะ เดี๋ยวเลี้ยง”
“มะ... ไม่เป็นไร”
“เออน่า เดี๋ยวเลี้ยงเอง” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วเลี้ยวรถไปอีกทาง ฉันมองแผ่นหลังของเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไง
แต่ก็นะ... ชักเริ่มหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
[พาร์ท : ฉลามดุ]
ผมจอดรถข้างทางเมื่อเห็นร้านอาหาร
มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ผมเห็นว่ามันง่ายๆ ดีเลยจอดรถ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนตัวเล็กข้างหลังลงมาจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคออกอย่างทุลักทุเล เหมือนจะกลัวผมแกะออกให้เหมือนเมื่อวาน
เธอส่งหมวกกันน็อคให้ผมด้วยสีหน้าไร้เดียงสา น่ารักชิบหายเลยว่ะ
“หิวเหรอ? รีบลงเนอะ” ผมหยอกเย้า แล้วเธอก็ทำหน้ามุ่ย
“หะ... หิวแล้ว” เธอพูดสั้นๆ แล้วหมุนตัวไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ท่าทางเหมือนงอนๆ ผมอยู่นิดหน่อย แล้วผมก็ดีใจที่เธอไม่เรื่องมากอย่างที่คิด
“เส้นเล็กน้ำตกนะคะ” ขนาดหันไปสั่งคนทำยังน่ารักเลยว่ะ คิดดูละกัน
“เอาเหมือนกันสองที่นะป้า” ผมเองก็สั่งเหมือนกัน ก็อยากกินอะไรเหมือนๆ คนที่ชอบบ้าง มันออกจะน่ารักดีว่ามั้ย
แต่พอคะนิ้งหันมามองผมด้วยสีหน้าเหวอนิดๆ เหมือนจะถามทางสายตาว่าผมจงใจสั่งเหมือนเธอทำไม ผมก็เลยยักไหล่แล้วลากเธอให้ไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้า
“รีบสั่งเลยว่ะ ไม่รอกันเลย” พอนั่งลงผมก็แซวเธออีก คะนิ้งหน้าแดงขึ้นมาทันที เห็นเธอเลือกไปนั่งฝั่งตรงข้ามผมด้วย สงสัยคงยังกลัวอยู่ หรือไม่ถ้าเป็นแบบที่ผมคิดไปเองก็คือเธออยากมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น “สงสัยจะหิวมาก เราเชื่อแล้ว”
“...!”
“หิวจนขนาดต้องร้องไห้เลย น่ารักดี” คะนิ้งหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก ผมกลั้นยิ้มจนเจ็บปากไปหมดแล้วให้ตายเหอะ ผู้หญิงอะไรวะแม่ง ขนาดเขินยังน่ารัก ร้องไห้ก็ยังน่ารัก ทำหน้าบึ้งก็ยังน่ารัก จะทำให้ชอบให้หลงไปถึงไหนวะ “จะเอาของเราไปก่อนมั้ย เดี๋ยวเราสั่งเพิ่มอีกก็ได้”
“พะ... พอแล้ว” เสียงเธอเบามาก ผมก็เลยเอียงหน้าเข้าไปหาอย่างพยายามเงี่ยหูฟัง “ตอนนั้นไม่ได้ร้องไห้เพราะหิวสักหน่อย”
“...”
“ก็... ก็คุณบอกให้นอนค้างที่ห้องคุณอ่ะ หนูเป็นผู้หญิงก็เลยกลัว” เธอพูดเสียงเบามาก แต่ผมได้ยินชัดทุกคำ แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เออว่ะ สงสัยผมจะรีบร้อนเกินไปจริงๆ แหละมั้ง
“เราขอโทษละกัน เราแค่แกล้งเธอเล่นๆ” ผมโกหก ความจริงตอนนั้นผมคิดจริงจังเลยด้วยซ้ำ ใครจะไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงที่ชอบบ้างวะ “ไม่คิดว่าจะทำเธอร้องไห้ เราผิดเองที่เร่งเธอเกิน”
“...”
“เราจะไม่ทำให้เธอร้องไห้แล้ว หายโกรธเราได้ยัง?” คะนิ้งก้มหน้างุด เธอไม่กล้าสบตาผมเพราะผมมองหน้าเธอแบบโคตรเว้าวอนสุดๆ เท่าที่ผู้ชายอย่างผมจะทำได้ คิดว่าพูดแค่ปากมันคงไม่พอ ผมจะต้องแสดงให้เธอเห็นด้วยว่าผมทำได้ไม่ใช่แค่พูด
“...”
“งั้นถ้าเธออยากได้อะไรบอกเราเลยดิ” สุดท้ายวิญญาณป๋าก็เข้าสิง ผมพูดพร้อมกับยืดอก ในขณะที่คะนิ้งเงยหน้าขึ้นมามองผมทันที “จะขออะไรเราให้ทุกอย่างเลย แทนคำขอโทษละกัน”
เธอทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก”
“อะไรนะ”
“หนูไม่อยากได้อะไรหรอก” เธอสบตาผม “แค่คุณเลี้ยงครั้งนี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว ไม่ได้อยากได้อะไรไปมากกว่านี้”
ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น มองเธอที่มองชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองที่วางลงตรงหน้าด้วยสีหน้าซื่อๆ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองจะทำให้คนฟังใจเต้นขนาดไหน ก่อนที่คนตัวเล็กจะกินแบบไม่ปรุงเลย เธอคงไม่ชอบกินเผ็ด แต่ทำไมก็ไม่รู้ว่ะ
ผมมีความสุขโคตรๆ เลย จะน่ารักไปถึงไหนวะนิ้ง จะทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย
“ได้แล้วครับ” ผมชะงักเมื่อเด็กเสิร์ฟที่เป็นผู้ชายวางชามก๋วยเตี๋ยวลงตรงหน้า มัวแต่มองหน้าผู้หญิงตรงหน้าเพลินจนลืมมองมันไปเลย เห็นเมื่อกี้ไอ้เด็กเวรนี่มันมองหน้านิ้งอยู่ด้วย มองนานมาก เหมือนเธอสวยจนสะกดสายตาคนรอบข้าง
และคงไม่ได้มีแค่มัน
ผมเงยหน้ามองมันที่หันกลับไป ถอนหายใจหนักอย่างรำคาญแล้วเริ่มตักเครื่องปรุงใส่อย่างไม่อยากคิดอะไรมาก ผมตักพริกป่นมาช้อนใหญ่ๆ และคะนิ้งก็มองมันพร้อมกับทำหน้าเหวอ
ผมเป็นคนชอบกินเผ็ดแบบจัดๆ ไง สะใจดี
“มองไร?” ผมเลิกคิ้วถาม แล้วเธอก็สั่นหน้า
“เปล่านะ” เธอยอมกินเงียบๆ ในขณะที่ดวงตานั้นก็จ้องมองผมที่ตักเครื่องปรุงใส่ในปริมาณมากอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งผมคนมันเข้าด้วยกันแล้วยกกิน เธอก็ยังคงจ้องผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่แบบนั้น
ผมมองเธอกลับ แล้วคะนิ้งก็รีบหลุบตาลงมองชามของตัวเองเหมือนถูกจับได้
“ลองกินมั้ย” ผมกระตุกยิ้มแล้วตัดสินใจถามเธอ แล้วคะนิ้งก็มองหน้าผม
“เอ่อ... ได้เหรอ” ผมตักมันใส่ช้อนเล็กแล้วยื่นไปจ่อที่ปากของเธอโดยไม่พูดอะไร คะนิ้งมองมัน แล้วก็ช้อนสายตาขึ้นมองผม “เผ็ดมั้ยอ่ะ”
“นิดหน่อย” ผมคิดงั้นจริงๆ แต่ไม่รู้จะเผ็ดสำหรับเธอรึเปล่า “ลองกินดู เดี๋ยวป้อน”
เธองับช้อนในมือผมแบบไม่ต้องคิด ผมนิ่งไป ก่อนที่คะนิ้งจะสำลักออกมาทันที
“ผะ... เผ็ด” เธอพึมพำแล้วมองหาน้ำด้วยสีหน้าแดงจัด ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะเผ็ดขนาดนั้น จนต้องหันไปสั่งน้ำให้เธอเอง
“น้อง! เอาน้ำให้หน่อย” เด็กเสิร์ฟคนเดิมทำสีหน้าลนลานในขณะที่หยิบขวดน้ำเย็นมาให้อย่างรวดเร็ว มันตั้งท่าจะป้อนคะนิ้งด้วยทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ขอ ผมก็เลยกระชากขวดน้ำออกมาแล้วเปิดฝาป้อนคะนิ้งเอง
ร่างเล็กมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว แต่ตาผมกลับจ้องเขม็งไปที่เด็กเสิร์ฟเวรนี่อย่างหงุดหงิดด้วยสายตาประมาณว่า ‘คนนี้ของกู อย่ามาแตะ’ มันก็เลยทำหน้าเหวอแล้วเดินหลบฉากไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงิน
จนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลย
คะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว
“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”
ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดี
ถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย
“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”
เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้งแบบไม่วางตา ก็เธอสวยแถมยังน่ารัก ความหงุดหงิดของผมก็เลยยิ่งเพิ่มขึ้นไปแบบทวีคูณ
“เดี๋ยว” และพอคิดได้แบบนั้นผมก็คว้าแขนเธอให้คะนิ้งหันมาเผชิญหน้าด้วย เธอเบิกตากว้าง ในขณะที่ผมจะกุมมือเธอไว้แน่น “เราเข้าไปรอด้วยได้มั้ยวะ?”
“หะ... หา”
“เราไม่อยากให้เธอนั่งคนเดียว ผู้ชายไม่น่าไว้ใจเยอะแยะ” ผมตัดสินใจที่จะพูดออกมาด้วยเจตนาตรงๆ ในขณะที่เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้คะนิ้งที่แทบผงะหนี “พูดง่ายๆ คือเราหวงเธอ”
“...!”
“เราไม่อยากให้ใครจีบเธอทั้งนั้นอ่ะ แค่มองก็ไม่ชอบ”
“...”
“ให้เราไปเฝ้าเธอได้มั้ยวะ เดี๋ยวเย็นนี้เราไปส่งที่หอ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร”
“...”
“สาบานเลยก็ได้”
ผมก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอแค่นั้นว่ะ เอาจริงๆ
[จบพาร์ท : ฉลามดุ]
สุดท้ายฉันก็เลยต้องจำใจให้ฉลามดุมานั่งรอส้มหวานด้วยกัน
ถึงแม้ว่าฉันจะแอบกลัวๆ อยู่บ้าง แต่ฉันเป็นคนไว้ใจคนง่าย ดูแล้วฉลามดุก็แค่ใจร้อนแต่เขาก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ฉันก็เลยพอจะคลายความกลัวลงได้บ้างนิดหน่อย
แต่... แต่ฉันก็ยังไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ
“นิ้งนี่เนื้อหอมว่ะ” ฉันสะดุ้งเมื่อนั่งอยู่ด้วยกันดีๆ ฉลามดุก็โพล่งขึ้นมา นานแล้วที่เขาจอดรถแล้วเดินลากฉันเข้ามานั่งด้วยกันที่ม้าหินอ่อนหน้ามหาลัย มีแต่คนมองมาทางนี้ทั้งนั้น เขาก็เลยพูดมันขึ้นมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดแบบนี้
“นะ... เนื้อหอม?” ว่าแต่... เขาพูดอะไรอ่ะ เนื้อหอมเหรอ ฉันเนื้อหอมตรงไหน? “ไม่เห็นเนื้อหอมเลย”
“นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ” เขาหันมาทำสีหน้าไม่พอใจใส่ฉัน แล้วอยู่ๆ ก็ชี้ไปรอบๆ จนคนที่มองเราอยู่ต้องชะงัก “ก็เห็นอยู่ว่าพวกผู้ชายมองแต่เธอ”
“...”
“เราหงุดหงิดจะตายอยู่แล้วเนี่ย” เขาเลื่อนมือข้างนั้นมากอดอก ฉันก็เลยอึดอัดจนไม่รู้จะพูดอะไร ก็เขาอาจจะแค่มองมาทางนี้เฉยๆ ก็ได้นี่นา ก็ฉลามดุน่ะสะดุดตาคนจะตาย ดูเขาเถื่อนๆ แบบนี้แต่เขาก็หน้าตาดีนะ “เธอช่วยน่ารักน้อยลงหน่อยได้ปะ”
“...”
“ช่วยทำตัวให้น่ารักน้อยลงหน่อย คนมอง ไม่ชอบ”
ละ... แล้วจะให้ฉันทำยังไง นี่เขาพูดอะไรเนี่ย
“... ไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย”
“ก็เธอน่ารักไง ไม่รู้เหรอ... คนอื่นเขาก็มองเธอไง มองแบบที่เรามองอ่ะ เราไม่ชอบ โคตรไม่ชอบ” ฉันทำสีหน้าตกใจเมื่อเขาพูดยืดยาวใส่ แล้วสีหน้าของฉลามดุก็ดูจะฉุนจัดเอามากๆ “บอกแล้วไงว่าเราหวง ไม่ได้เป็นอะไรก็หวง เข้าใจยัง”
อะ โอ้ย
“ขะ... เข้าใจก็ได้” ฉันแทบจะเบะหน้าอยู่ตรงนั้นเพราะพูดอะไรไม่ออก เขาพูดตรงเกินไปแล้วนะ ฉันทำตัวไม่ถูกอีกแล้วเพราะคำพูดของเขาเนี่ย “เค้าอาจจะมองเฉยๆ ก็ได้นะ ก็คุณ...”
“อะไร”
“ก็คุณ... ก็ไม่ได้แย่ ผู้หญิงก็มองคุณเหมือนกัน... นะ” ท้ายประโยคเสียงฉันเบาลงเพราะจู่ๆ ฉลามดุก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขน แล้วดึงให้เข้ามาใกล้ๆ จนใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ปลายจมูกของฉันมาก แล้วร่างสูงก็เริ่มกระซิบ
“หึงเหรอ” ฉันเบิกตากว้างสุดๆ ในขณะที่จะมองไปทางอื่นอย่างเลิ่กลั่ก คนอื่นเค้ามองมาที่เรากันหมดแล้วนะ
“มะ... ไม่ได้หึง”
“แล้วพูดทำไมว่าผู้หญิงมองเยอะ” ฉันทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อเขาถามออกมาตรงๆ อย่างไม่คิดจะปล่อยคำถามทิ้งง่ายๆ ฉันอ้าปากจะตอบ แต่ต่อมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทางที่นั่งของเราทั้งคู่จนฉันต้องเม้มปากเข้าหากันอย่างตกใจ
เธอเป็นผู้หญิงที่ดูสวยน่ารักมากคนหนึ่ง ฉันจำได้ลางๆ ว่าเธอเป็นดาวคณะนิเทศน์ แต่เธอไม่ได้สนิทกับฉันนี่ เราแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ
“ดีจ้ะ” เธอมองฉลามดุสลับกับฉันแล้วคลี่ยิ้ม
“เอ่อ... ค่ะ” ฉันทำหน้าตื่นเมื่อเธอหันมาทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่ร่างบางจะหันไปอีกฝั่ง เหมือนเธอไม่ได้จงใจจะทักฉันตั้งแต่แรกแล้ว
“ชื่อไรเหรอ” แล้วพูดกับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน วินาทีนั้นเขาคลายมือออก ส่วนฉันก็ดันตัวเองออกไปแล้วนั่งหันหน้าไปอีกทาง ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน แต่ที่รู้ๆ ก็คือฉลามดุไม่ยอมตอบผู้หญิงคนนั้นกลับไปเลยจนเธอต้องถามย้ำ “นี่ นายอ่ะชื่อไร”
“ฉลามดุ” ฉันได้ยินเสียงเขาตอบสั้นๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกแย่ขึ้นมา
ความจริงเขาจีบฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยอมตอบง่ายๆ เลยล่ะ หรือว่าที่เขาจีบฉันอยู่ฉลามดุจะไม่ได้จริงจังกันนะ
แต่ไม่รู้จะคิดเห็นแก่ได้แบบนั้นไปทำไม ยังไงสถานะเราก็เป็นแค่คนรู้จัก อีกอย่างฉันก็กลัวเขามาก ถ้าเขาจะไปคบกับใครคุยกับใคร มันก็ดีไม่ใช่เหรอ
“มีไลน์มั้ย เบอร์ก็ได้ เราชอบลุคนายอ่ะ” ฉันถึงกับเหวอเมื่อเธอพูดออกมาได้ตรงมาก ไม่คิดว่าจะพูดตรงขนาดนี้ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าดาวคณะจะชอบผู้ชายประมาณนี้ จนต้องหันกลับไปมองเธอที่ตอนนี้ก็หันมาจ้องหน้าฉันอยู่เหมือนกัน
ฉันหันไปมองคนตัวสูงข้างตัว แล้วก็เห็นว่าเขากำลังเลิกคิ้ว
“ชอบเหรอ?” เขาทวน “ชอบตรงไหน หน้า? หรือที่สัก?”
“ทุกอย่าง” เธอหันมาตอบเขาในทันที ส่วนฉันก็ตั้งท่าจะลุกหนีออกไปเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะค่อนข้างเป็นส่วนเกินในบทสนทนานี้ไปแล้ว
หมับ
แต่ว่า
ฉลามดุกลับคว้าเอวของฉันไว้แล้วดึงให้นั่งลงข้างๆ เขาไหล่ชิดไหล่อย่างทันท่วงที ในขณะที่จะกอดเอวฉันเอาไว้แนบอกท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา หรือแม้แต่ผู้หญิงที่ยืนขอเบอร์เขาอยู่ตรงหน้าด้วย
แล้วร่างสูงก็ทำให้ฉันแทบลืมหายใจด้วยประโยคนี้
“แต่เรามีแฟนแล้ว แฟนเราขี้หึงมากด้วย โทษทีนะ”
























