บทที่ 10 สบตา
ความน่าเบื่อนี้ฉันอยากจะเผามันทิ้งจริง ๆ ไม่เข้าใจเลย... ทำไมพ่อต้องบังคับให้ฉันทำอะไรแบบนี้ด้วย ทานข้าวงั้นเหรอ? ดูตัวงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ ท่านคิดจะจับคู่ให้ทั้งที่ฉันเพิ่งเป็นหม้ายงานแต่งไปเมื่อครึ่งปีก่อนเนี่ยนะ อยากจะบ้าตายจริง ๆ
“คุณหนูครับ คุณหนูกำลังจะไปไหนครับ คุณท่านสั่งไว้ว่า...”
“ถ้าจะทำตามคำสั่งของคุณพ่อ นายก็กลับไปซะ” ฉันปรายตามองผู้ชายร่างสูงที่กำลังเดินก้มหน้าตามหลังมา เขาคือบอดี้การ์ดประจำตัวฉันเอง เป็นคนของคุณพ่อที่ไม่รู้ว่าสั่งให้มาดูแลฉันหรือมาคอยคุมฉันกันแน่ ฉันเสยผมไปด้านหลังก่อนจะก้าวเท้าขึ้นมานั่งบนรถแล้วออกคำสั่ง “ไป X PUB”
“แต่ว่า…”
“นี่คือคำสั่ง!” ฉันกระชากเสียงนิด ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดใจ แค่เรื่องเมื่อครู่ก็น่าหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว ทำไมคนพวกนี้ต้องมาทำให้ฉันอารมณ์เสียเพิ่มด้วยนะ!
“คะ… ครับคุณหนู”
.
.
.
X PUB
“นี่พ่อแกยังไม่เลิกจับแกไปดูตัวอีกเหรออัยย์”
นามิ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉันถามขึ้นขณะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ตอนนี้พวกเราสองคนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสีภายในผับประจำที่มักจะมาเที่ยวผ่อนคลายบ่อย ๆ ปกติฉันจะมาที่นี่พร้อมกับใครคนหนึ่งเสมอ คนที่คอยดูแลฉันมาตลอดเวลา 2 ปี เขาที่เคยดีและดูแลฉันอย่างดีมาตลอด หากทว่าในเวลานี้เขาคนนั้นกลับไม่มีลมหายใจที่จะยืนเคียงข้างฉันอีกต่อไปแล้ว
“ทำหน้าแบบนี้คิดถึงหมอนั่นอีกแล้วสินะ”
ฉันถอนหายใจกลบเกลื่อนพลางกระดกเหล้าเข้าปาก ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรนึกถึงเขาคนนั้นอีกแล้ว เขามันไม่มีค่าอะไรให้ฉันนึกถึงด้วยซ้ำ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น มันก็อดไม่ได้อยู่ดี
“นี่... เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วหันมาสนใจหนุ่มหล่อที่กำลังแอบมองแกอยู่ดีกว่าอัยย์” อยู่ ๆ นามิก็พูดขึ้น แถมยังส่งสายตาไปด้านหลังฉันอีกต่างหาก และนั่นก็ทำให้ฉันละสายตามองด้วยความอยากรู้
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังวาดลวดลายไปกับเสียงเพลง ฉันได้สบตากับนัยน์ตารัตติกาลคู่หนึ่ง แววตาของเขาดุดัน ลึกลับน่าค้นหา มันน่าแปลกมากที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก ฉันรู้สึกเหมือนเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรมันก็นึกไม่ออก เขาคนนั้นจับจ้องตรงมาทางฉันเนิ่นนานด้วยสายตาดำมืดจนจับความรู้สึกไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฉันมองหน้าเขาไม่ค่อยชัดเพราะเขาสวมฮู้ดสีดำคลุมหัวเอาไว้ เราสบตากันเพียงชั่วครู่ ก่อนเขาคนนั้นจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“แกรู้จักเขาหรือเปล่า?”
“ไม่...” แน่ใจ
ฉันต่อประโยคหลังในใจ ฉันไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเขาคนนั้นมาก แต่ว่า… ถ้าเราเคยพบกันจริง ๆ มันจะเป็นไปได้เหรอที่ฉันจะจำเขาไม่ได้?
“ฉันว่าเขาดูน่ากลัวนะ เป็นไปได้แกอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่าอัยย์ แววตาที่เขามองแกมันดูอันตรายยังไงก็ไม่รู้”
นั่นสินะ... แววตาอันตรายนั่น… ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนั้นกันนะ
ครืด… ครืด…
แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ภายในกระเป๋าถือทำฉันสะดุ้งเล็กน้อย ฉันควานหามันขึ้นมากดเปิดดู ชื่อบนหน้าปัดคือคนที่เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของฉัน และแน่นอนว่าสายนี้ฉันจำเป็นต้องรับ
“เดี๋ยวฉันมานะ”
“โอเค รีบไปรีบมานะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
หลังจากเดินแยกออกจากโต๊ะ ฉันก็รีบเลี้ยวมาทางหลังผับทันที เวลานี้นักท่องเที่ยวภายในผับเยอะมาก กว่าจะเดินพ้นออกมาได้ค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร ถ้าเป็นเวลาปกติฉันคงมีบอดี้การ์ดคอยเปิดทางให้เวลาเดิน แต่เพราะวันนี้ฉันสั่งให้คนพวกนั้นรออยู่ที่รถ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ตามเพราะห่วงความปลอดภัยของฉัน แต่ในเมื่อมันเป็นคำสั่งเขาก็ต้องยอมทำล่ะนะ
ฉันเดินออกมายืนอยู่บริเวณลานกว้างหลังผับ บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบแตกต่างจากภายในอย่างสิ้นเชิง มีเพียงเสียงดนตรีเบา ๆ ดังแทรกออกมาเล็กน้อย ลมหนาวที่พัดมากระทบร่างกายไม่ได้ทำให้จิตใจฉันเย็นลงเลยสักนิด แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงจากหน้าจอสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิด ฉันจ้องมันเพียงชั่วครู่ก่อนจะกดรับสาย
“ค่ะพ่อ”
[นี่แกแอบหนีไปเที่ยวสถานที่ต่ำ ๆ แบบนั้นอีกแล้วใช่ไหม ยัยอัยย์?!] น้ำเสียงทรงอำนาจและน่าเกรงขามดังขึ้นจากปลายสาย ฉันลอบถอนหายใจให้กับความหูตาไวของพ่อบังเกิดเกล้า
และใช่... ผู้ชายน้ำเสียงดุดันคนนี้... เขาคือพ่อของฉันเอง
“อัยย์ก็แค่แวะมานั่งดื่มนิดหน่อยเองค่ะพ่อ เดี๋ยวอัยย์ก็กลับแล้ว”
[เดี๋ยวงั้นเหรอ? แกต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้!] คำสั่งที่ฉันคุ้นเคยมาตลอดยี่สิบห้าปีดังขึ้น [ฉันเคยบอกแกแล้วไงว่าอย่าไปในสถานที่แบบนั้น แกคิดจะทำให้ฉันเสียชื่อเสียงไปถึงไหน ถ้ามีพวกนักข่าวถ่ายรูปแกแล้วเอาไปลงข่าวว่าลูกสาวนักการเมืองเอาแต่มั่วสุมตามผับบาร์แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?]
นี่แหละคือพ่อฉัน และที่ท่านดุท่านด่า ไม่ใช่ว่าท่านเป็นห่วงฉันหรอกนะ แต่ท่านห่วงชื่อเสียงของตัวเองต่างหาก พ่อน่ะ… รักตำแหน่งตัวเองเสียมากกว่าลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างฉันซะอีก
“ค่ะ อัยย์จะรีบกลับเดี๋ยวนี้...”
ติ้ด
ฉันกดวางสายพลางพิงหลังกับผนังกำแพงด้วยความรู้สึกเหนื่อยหัวใจ พ่อของฉันเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจและชื่อเสียงมาก ท่านมักจะเป็นแบบนี้ทุกทีแหละ ชอบใช้อำนาจของนักการเมืองมาบงการชีวิตคนในครอบครัว ทั้งฉันและแม่ต้องคอยทำตามคำสั่งของพ่ออยู่เสมอ และแม่ก็ทำได้ดีมาตลอดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของท่าน…
ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดสลัวเมื่อจู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องของแม่ขึ้นมา มันนานมากแล้วที่ฉันเสียคนที่ฉันที่รักที่สุดในชีวิตไป แปดปีแล้วสินะ… แปดปีแล้วที่แม่จากฉันไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...
แม่คะ… อัยย์คิดถึงแม่จังเลย…
