บทที่ 4 พลิกผัน
โรงพยาบาล Y
‘โชคดีนะครับที่พาคนไข้มาส่งโรงพยาบาลทัน ไม่อย่างนั้นเด็กในครรภ์อาจจะเสียชีวิตได้’
‘ว่ายังไงนะครับ… เด็กในครรภ์?’
‘ครับ นี่คุณไม่ทราบหรือครับว่าคนไข้กำลังตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์แล้ว ช่วงนี้ต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้มีภาวะความเครียดสูงอีกนะครับ ไม่เช่นนั้นเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเองและเด็กในครรภ์อีกครั้ง’
คำพูดของหมอยังคงดังวนไปวนมาซ้ำ ๆ ภายในหัวสมอง แววตาของผมสั่นไหวขณะจับจ้องใบหน้าสวยที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผมพาเธอมาส่งโรงพยาบาลทันเวลา… นั่นคือความโชคดีในความโชคร้ายครั้งนี้
ผมพยายามเก็บกดอารมณ์เสียใจของตัวเองเอาไว้ให้ลึกที่สุดทั้งที่ภายในใจมันร้อนระอุแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับน้องสาวเพียงคนเดียวของผม
และใช่… ชอนซาคือสายเลือดคนสุดท้ายที่ผมมีอยู่บนโลกใบนี้…
.
ย้อนกลับไปเมื่อสิบห้าปีก่อน
ตอนนั้นผมมีอายุเพียงสิบขวบ ส่วนชอนซาอายุน้อยกว่าผมสามปี เราสองคนเคยมีครอบครัวที่อบอุ่นและเคยใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขกับพ่อและแม่ที่ประเทศเกาหลี
จนกระทั่งคืนหนึ่งผมสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ดังกึกก้องไปทั่วบ้าน หลังจากเสียงโทรศัพท์นั่นเงียบไปสักพัก ร่างท้วมของป้าแม่บ้านวิ่งเข้ามาหาผมในห้องนอนด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมกับบอกข่าวร้ายกับผมว่า…
พ่อแม่ของผมประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางกลับจากสนามบิน ท่านทั้งสองเสียชีวิตแล้ว…
ณ เวลานั้นเหมือนโลกทั้งใบของผมมันพังทลายต่อหน้าต่อตา ผมรีบวิ่งไปหาน้องสาวที่ห้องนอนของเธอแล้วสวมกอดเธอไว้จนทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมามองด้วยสายตามึนงง แต่ถึงจะอย่างนั้นมือเล็ก ๆ ของชอนซาก็คอยลูบหลังปลอบโยนผมเบา ๆ อย่างไร้เดียงสา
นั่นทำให้ผมได้รู้ว่า… ชอนซาคือความอบอุ่นเดียวที่ผมมีอยู่ เธอเป็นทั้งลมหายใจและชีวิตของผม
หลังจากจบพิธีศพของพ่อและแม่ ญาติพี่น้องของพ่อแม่ต่างปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงที่จะรับเลี้ยงดูพวกเราสองคน ตอนนั้นผมจำคำพูดของทุกคนได้ขึ้นใจ ไม่มีใครต้องการเราสองเลย ทุกคนต้องการแค่มรดกของเราเท่านั้น มีเพียงป้าแม่บ้านที่ขอรับดูแลพวกเราเอง ส่วนเรื่องทรัพย์สินของพ่อและแม่ที่ไม่ได้มากมายอะไรก็มีทนายคอยดูแลให้
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาในการทำใจเรื่องการจากไปของพ่อและแม่อยู่นาน จนกระทั่งชีวิตของพวกเรามาถึงจุดเปลี่ยนที่พลิกผันชีวิตเราสองคนพี่น้องไปตลอดกาล…
นั่นคือการที่ผมกับชอนซาถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งลักพาตัวขึ้นรถตู้ขณะเราสองคนกำลังยืนรอรถโรงเรียนเพื่อจะกลับบ้าน ด้วยความที่ผมยังเด็กมาก และชอนซาก็ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา ทำให้ผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรน้องได้เลย
เราสองคนถูกมัดมือมัดเท้าและปิดตาปิดปากเอาไว้ตลอดการเดินทาง มันเนิ่นนานราวกับตกนรก ทั้งหนาวเย็นและเหม็นอับ ผมเผลอหลับเพราะความอ่อนเพลียก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ถูกจับเข้ามาอยู่ในตู้มืด ๆ เรียบร้อยแล้ว รอบตัวผมเต็มไปด้วยเสียงร้องของเด็ก ๆ และชอนซายังคงอยู่ข้าง ๆ ผมเหมือนเดิม
พวกเราถูกขังอยู่ในตู้นั้นนานจนแทบจะหมดแรง ทั้งอดข้าวอดน้ำจนคิดว่าตัวเองอาจจะต้องตาย ผมเรียกชื่อชอนซาอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง น้องสาวผมอ่อนเพลียมาก เธอหลับไปหลายรอบจนผมกลัวว่าเธอจะตาย กลัวเหลือเกินว่าเธอจะทิ้งผมไปอีกคน
จากนั้นไม่นานประตูตู้ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างแรกในรอบหลายวัน ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินเข้ามากระชากพวกเราออกจากตู้ทีละคน เหมือนว่าพวกเราจะถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีตราสัญลักษณ์เป็นรูปงูเลื้อยพันรอบมีดที่มีด้ามเป็นไม้กางเขน ผมคิดว่ามันคงจะเป็นสัญลักษณ์ขององค์กรค้ามนุษย์นรกนี่แน่ ๆ
ผมไล่สายตามองเด็กแต่ละคนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน ทุกคนพยายามแข็งใจทำตามที่คนพวกนั้นสั่งเพราะไม่อยากถูกซ้อมหรือถูกฆ่าตาย ผมเดินตามมาเรื่อย ๆ พยายามมองหาช่องทางในการหนีสลับกับมองชอนซาเป็นระยะ ๆ เนื่องจากมีเด็กจำนวนมากที่ถูกจับมา บางคนหมดสติ บางคนร้องไห้งอแง ทำให้ชายฉกรรจ์พวกนั้นวุ่นวายพอสมควร เราถูกผลักให้เดินรวมกลุ่มกันเรื่อย ๆ
และเมื่อสบโอกาสผมรีบดึงชอนซาให้คลานหนีไปตามข้างรถคันหนึ่งซึ่งคล้าย ๆ กับรถส่งของ เราสองคนเข้ามาหลบในรถคันนั้นก่อนที่มันจะขับพาพวกเราออกจากนรกนั่น
หลังจากที่หนีออกมาจากขุมนรกได้แล้ว ทำให้ผมได้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศเกาหลีบ้านเกิดของผม ผู้คนที่นี่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับผม ผมไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย ผมเคยพาน้องไปหาตำรวจแต่กลับถูกไล่ส่งออกมาราวกับว่าพวกเราเป็นเด็กเร่ร่อนจรจัด จากนั้นผมก็เลิกที่จะขอความช่วยเหลือจากใครอีกเลย
ผมพาชอนซามาอาศัยนอนอยู่ใต้สะพานแห่งหนึ่ง ผมออกเร่ร่อนขอเศษเงินและเศษอาหารตามข้างทางเพราะทนเห็นน้องหิวไม่ไหว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้น้องสาวไม่อดอยาก
เราสองคนพี่น้องใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบนั้นมาร่วมเดือน
