บทที่ 1 กรุงโซล : 1
‘สัญญากับโซลสักอย่างสิ ถ้าเราคบกันถึงวันวาเลนไทน์นี้ โซลขออะไร แก้มต้องให้โซลนะ’ อยู่ๆ โซลก็พูดประโยคนี้ออกมา พร้อมกับจับมือและใช้สายตาที่อบอุ่นจ้องมองตาฉัน
ตึกตัก ตึกตัก
อะไรกันแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว หัวใจฉันเต้นแรงได้ขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าหลุดออกมาจากอกได้ ป่านนี้คงมาเต้นระบำต่อหน้าเขาให้ฉันได้อายกว่านี้แล้วแน่ๆ เลย
‘อะไรเล่า อยู่ๆ ก็มาขอกันแบบนี้ บอกไม่ได้เหรอ ว่าจะขออะไรอะ’
‘เดี๋ยวถึงวันนั้นแก้มจะรู้เอง ถ้าแก้มรักโซลจริง เหมือนที่โซลรักแก้ม แก้มจะต้องตอบตกลงแน่นอน’
รัก อีกแล้ว รู้มั้ยคำนี้ออกจากปากเขาทีไรใจฉันอ่อนระทวยทุกที
เล่นบอกรักพร้อมกับสายตาวิ้งๆ แบบนี้ใครจะทนไหวกันเล่า
‘อื้มแก้มอยากรู้ใจจะขาดแล้ว อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ จัง’
และแล้ววันแห่งคำสัญญาก็มาถึง วันวาเลนไทน์ไงล่ะ
‘อะ อื้ม ซ... โซล’
‘ทนหน่อยนะแก้ม อีกนิดเดียว โซลรักแก้มนะ’
และหลังจากวันนั้น ฉันก็ได้ตาสว่างสักที
รักงั้นเหรอ หึ! คำว่ารักของนายมันเป็นแบบไหนกันแน่โซล นายมีเหตุผลอะไร ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ 'สารเลว' คำนี้ ยังน้อยไปไหมกับสิ่งที่นายทำกับฉัน จบแล้วล่ะ ความรักจอมปลอมที่นายมอบมันให้
ต่อไปนี้ฉันนี่แหละจะเป็นคนจองล้างจองผลาญนายเอง ‘ซาตานโซล’
.
.
‘วันวาเลนไทน์’ คือวันแห่งความรัก ที่หนุ่มสาวมักจะมีดอกไม้ ช็อคโก-แลตให้กัน เขาว่ากันว่านั่นคือการแสดงออกของความรักและถือเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง
ฉันชื่อ ‘แก้มใส’ ตอนนี้อายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยกันสองคน ‘นาเดียร์’ สาวมั่น สวย เริด เชิด ปากจัด ดีกรีลูกสาวเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ตหรูรายใหญ่ในประเทศ
และ ‘นุชา’ นี่คือชื่อจริงของเธอ แต่อย่าไปเรียกต่อหน้าหล่อนเด็ดขาดนะ ต้องเรียกเธอว่า ‘นุชชี่’ เพราะหล่อนเป็นกระเทย เป็นลูกเจ้าของไร่ผลไม้นับร้อยไร่ ดีกรีความร้ายไม่ต้องพูดถึง กระเทยนางนี้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ส่วนตัวฉัน เปิดร้านดอกไม้เล็กๆ เป็นของตัวเอง ใช้เงินเก็บหอมรอมริบตั้งแต่เรียน แล้วก็ได้ทุนเล็กๆ น้อยๆ จากพ่อมานิดหน่อยจึงได้มีร้าน KM – Flowers เป็นของตัวเองในวันนี้
ตั้งแต่พวกเราสามคนคบกันมา ฉันมักโดนเพื่อนสนิททั้งสองล้อมาตลอดว่า เฉิ่ม เชย ป้าสุดๆ เพราะการแต่งตัวที่กระโปรงยาวถึงตาตุ่ม เสื้อแขนยาวลูกไม้ และชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ
ทำให้ทั้งนาเดียร์และนุชชี่ต่างก็พูดแซวฉันมาตลอด ว่าจะหาแฟนได้สักคนหรือเปล่าเพราะไลฟ์สไตล์ที่เป็นมนุษย์ป้าแบบนี้
แต่ในที่สุด ฉันก็ลบคำสบประมาทของเพื่อนรักตัวดีทั้งสองนั่นได้ เพราะเมื่อสามเดือนก่อนฉันก็มีแฟนคนแรก และเป็นคนแรกในกลุ่มด้วยซ้ำที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
อ้อ... ยกเว้นตุ๊ดนุชชี่นะ รายนั้นนางควงเกลื่อนตั้งแต่เรียนมหา’ลัยแล้ว
ตือดึ๊ง ตือดึ๊ง
ฉันที่กำลังนั่งเหม่อลอยนึกถึงเรื่องในวันวาน เสียงไลน์ก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่ฉันแทบต้องรีบเปิดอ่าน
Seoul Love : วันนี้แต่งตัวสวยๆ นะครับ เดี๋ยวฉันเข้าไปหาที่ห้อง
ตึกตัก ตึกตัก
ทันทีที่ได้อ่านข้อความที่ส่งมา หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นระรัวเหมือนกับจะหลุดออกมาจากอก ทั้งๆ ที่มันก็เป็นข้อความธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็นเพราะมันคือวันแห่งสัญญาที่คนส่งมาเคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนล่ะมั้ง เลยทำให้ฉันใจสั่นแบบนี้
Kamsai Love : อื้ม... แล้วจะเข้ามากี่โมง ให้ทำกับข้าวไว้ไหม?
Seoul Love : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวซื้อเข้าไปเอง แล้วเจอกันนะ
หลังจากที่ ‘โซล’ แฟนคนแรกและคนปัจจุบันของฉันส่งข้อความสุดท้ายมาเสร็จ ฉันก็นั่งยิ้มเหม่อลอยเหมือนคนบ้า ในใจตอนนี้ลุ้นแทบจะทุกวินาที
อยากรู้ใจจะขาดว่าที่เขามาหาวันนี้เพื่อมาทวงคำสัญญาเมื่อสามเดือนก่อนนั้นหรือเปล่า
ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง
เอ๊ะ!! มาแล้วเหรอ เร็วจัง...
ฉันเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เมื่อ 10 นาทีก่อนหน้า ก็ได้ยินเสียงคนกดกริ่งที่หน้าห้อง ในใจก็พลางนึกไปด้วย ‘ทำไมเขามาเร็วจัง’ ทั้งๆ ที่คอนโดเขากับฉันอยู่ตั้งไกลกันขนาดต้องขับรถเป็นชั่วโมงแท้ๆ
คิดไปก็ปวดหัว สู้เดินไปเปิดประตูให้โซลแล้วถามเขาจะเป็นการดีกว่า คิดได้ดังนั้น จึงรีบเดินจ้ำอ้าวไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
“มาเร็วจั...” อะไรกัน!? ฉันพูดทักทายยังไม่ทันจบประโยค โซลก็รีบผลักประตูเดินเข้าห้องอย่างเร่งรีบ ไม่มีการปรายตามองแม้แต่เสี้ยวหน้าของฉันเลยด้วยซ้ำ
อีกแล้ว... ถ้าฉันมองไม่ผิด แววตาเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว
แววตาเย็นชา แข็งกระด้าง...
ฉันไม่ได้เจอแววตาแบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่วันนี้มันกลับมาแววตาที่ไม่เหมือนโซลคนก่อน ความอบอุ่นจากแววตาคู่นั้นมันหายไป
“มีไรให้กินมั้ย” นั่นคือประโยคแรกที่เขาทักฉัน หลังจากเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น
อ้าว! ทำไมเขาถามแบบนั้นล่ะ ก็ในเมื่อเขาบอกเองว่าจะซื้อมา
