บทที่ 3 กรุงโซล : 3
“โซล เดี๋ยวสิ” ฉันรีบร้องห้ามจอมฉวยโอกาสบนร่าง
“ไม่ทันแล้วล่ะ แก้มใส เป็นของฉันเถอะนะ” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่หวานหูจากคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนตัวเอง เพราะหลังจากนั้นฉันก็ไม่อาจต้านทานความเอาแต่ใจของผู้ชายคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“อ๊ะ จะ เจ็บ”
เจ็บ... นี่คือความรู้สึกที่ฉันรับรู้ได้ในตอนนี้
มันเหมือนร่างกายฉันจะแตกสลาย ตอนที่คนเอาแต่ใจสอดแทรกสัญลักษณ์ของความเป็นชายผ่านปากถ้ำที่แสนชุ่มฉ่ำเข้ามา
ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นกับตาตอนที่เขาสอดใส่ แต่ก็พอจะรู้ว่าขนาดมันต้องใหญ่มากแน่ๆ ไม่งั้นฉันคงไม่เจ็บเหมือนร่างกายจะขาดออกจากกันแบบนี้หรอก
“อีกนิดนะ ทนอีกนิด” โซลจูบที่หน้าผากเพื่อปลอบโยน
ฉันสัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งที่กึ่งแข็งกึ่งนิ่มนั่นกำลังจะหลุดออกไป
แต่มันก็แค่เกือบ... เพราะหลังจากนั้นโซลก็ดันมันเข้ามาครั้งเดียวจนฉันเจ็บและจุกไปทั้งท้องน้อย
“โซล กะ... แก้ม เจ็บ อ๊ะ อา” ฉันทั้งพูดทั้งส่งเสียงครวญครางที่น่าอายออกมาพร้อมๆ กัน ตามจังหวะกระแทกกระทั้นของร่างหนาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องบน ผู้กำลังคุมบังเหียนของม้าตัวบางอย่างฉันให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ
“อื้อ ร้อน” ฉันไม่อาจรับรู้ได้ว่าตอนนี้สิ่งที่เสียงทุ้มเอ่ยคืออะไร
สติฉันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วในนาทีนี้ ร่างกายเริ่มร้อนฉ่ามากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อกาฬเริ่มจะไหลซึมออกมาทุกรูขุมขนจนชุ่มฉ่ำร่างกายไปหมด ฉันอยากจะปรือตามองร่างสูงตรงหน้าตอนนี้มากเหลือเกิน อยากรู้ว่าเขาจะใช้สายตาแบบไหนจ้องมองฉัน อยากรับรู้สิ่งที่เขาสื่อออกมาด้วยตาตัวเอง
แต่... เพราะคำว่าอายคำเดียว มันเลยทำให้ฉันเลือกที่จะหลับตาต่อไป แล้วใช้ร่างกายมองแทน ร่างกายเปรียบเสมือนดวงตาของฉันไปแล้วในตอนนี้
“ม... ไม่ไหวแล้ว แก้ม ทนอีกนิดนะ”
เสียงหอบกระเส่าของโซลดังขึ้นข้างใบหูเล็กของฉัน ลมหายใจหอบรวยรินเป่ารดที่ซอกคอขาว ยิ่งปลุกเร้าให้เลือดในกายฉันสูบฉีดมากกว่าเดิม
“อ๊ะ อ่า พ... พอแล้ว ไม่ อ๊ะ อย่า... หยุด”
ปากฉันพยายามร้องห้ามร่างหนาที่กำลังเพิ่มแรงกระแทกหนักหน่วงกว่าคราแรก จนได้ยินเสียงเตียงดังเอี๊ยดอ๊าดสนั่นห้อง
“อา~ เบาไม่ได้แล้ว ทนอีกนิดนะ ฉันจะ.. อืม~” เหมือนเสียงโซลจะขาดหายเป็นช่วงๆ ตอนที่พูดกับฉัน แต่แรงขยับของเขากลับกระชั้นถี่ยิ่งกว่าเดิม
“ซะ โซล มะ ไม่ไหวแล้ว จะ เจ็บ... มาก” รู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำใสๆ กลิ้งลงที่หางตาทั้งซ้ายและขวา นั่นอาจจะเป็นการช่วยระบายความอัดอั้นที่มวลอยู่ในอก
ไม่สิ... มันมวลอยู่ในท้องน้อยและส่วนอ่อนไหวนั่นมากกว่า
“กรุงโซล เรียกสิ นี่คือชื่อเต็มฉัน” ชื่อเต็มเขางั้นเหรอ?
“กะ... กรุงโซล” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะหลังจากนั้น บทเพลงรักที่โหมกระพืออยู่มันก็ทำให้สมองฉันขาวโพลนสติลอยหายไปจนหมดสิ้น
รุ่งเช้า...
อื้อ แสบตาจัง ใครเปิดไฟไว้เนี่ย พอรู้สึกตัวได้ฉันก็โวยวายในใจทันที ฉันเป็นพวกถ้านอนไม่เต็มอิ่มจะขี้งอแง ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว อย่างเช่นตอนนี้
แต่เอ๊ะ! เมื่อคืนฉันไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ ฉันอยู่กับโซลและเราก็... พอนึกได้ก็รีบสะดุ้งตัวตื่น หันซ้ายแลขวาก็ไม่เจอแม้แต่เงาของโซล สมองน้อยๆ ก็พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทำให้ใบหน้าเห่อร้อน รีบยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อตั้งสติ
“ไปไหนของเขานะ หรือว่าเข้าห้องน้ำ” ฉันบ่นพึมพำอยู่บนเตียง กำลังจะก้าวลุกลงเพื่อตรงไปยังห้องน้ำ
“โอ๊ย!! เจ็บจัง” ไม่รู้ว่าเพราะลุกเร็วไป หรือว่าร่างกายมันบอบช้ำกันแน่ ตอนนี้ร่างกายฉันมันรู้สึกหน่วงๆ ตรงช่วงท้อง แถมยังครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด สงสัยจะเป็นเพราะฝีมือผู้ชายหื่นกามเมื่อคืนนี้แน่เลย
“บ้าจริง คิดอะไรเนี่ย หยุดเลยยัยบ้า” ฉันสบถด่าตัวเองเบาๆ
นั่งหายใจลึกๆ เพื่อเรียกกำลังทั้งหมดกลับมาเติมเต็ม สองมือน้อยเอื้อมไปหยิบผ้าคลุมอาบน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม สองเท้าน้อยๆ พยายามก้าวเดินมุ่งตรงไปที่ๆ คิดว่าจะมีคนที่ตัวเองมองหาอยู่ในนั้น
แต่ทันทีที่สองเท้าเล็กเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ เอื้อมมือน้อยๆ ลองบิดลูกบิดประตูดูแต่กลับพบว่าในห้องน้ำนี้มัน... ว่างเปล่า
“ไม่อยู่? ไปไหนของเขานะ”
ในเมื่อในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนส่วนตัวไม่มีร่างหนาของเจ้าของรอยม่วงช้ำที่อยู่บนร่างฉันอยู่ ฉันเลยเลือกเดินออกไปนอกห้องนอน มุ่งไปที่ห้องครัวเป็นลำดับต่อมา ไม่ว่าจะพื้นที่ตรงไหนที่อยู่ในห้องฉัน ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าของคนเอาแต่ใจที่อยู่กับฉันเมื่อคืนเลย
“นี่เขากลับไปแล้วงั้นเหรอ?” พูดไปพลางกัดริมฝีปากบางตัวเองไป
ความคิดหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในหัวใจดวงน้อยๆ ให้หวั่นไหว
“ไม่มีอะไรหรอก เขาอาจจะมีธุระด่วนอะไรก็ได้”
ฉันยังคงพยายามให้เหตุผลในตัวผู้ชายที่ตนรักในทางที่ดี ไม่อยากจะคิดลบอะไรในตัวคนรักให้ปวดสมอง
“ไปอาบน้ำให้สดชื่นดีกว่ายัยแก้ม เชื่อใจคนรักของแกสักครั้งสิ”
สองมือน้อยๆ ยกขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติและกำลังใจ หันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ทิ้งความหดหู่ ความหวาดระแวงออกไปให้หมด ทิ้งมันไปกับสายน้ำ และจงยืนหยัดเชื่อมั่นในตัวคนรักตัวเอง
หลังจากที่ฉันจัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หันไปมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ผนังห้องนั่งเล่นบ่งบอกว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว
“ป่านนี้โซลจะทำอะไรอยู่นะ?”
คิดได้แบบนั้นฉันเลยเลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาคนรักตัวเอง
