บทที่ 4 Chapter 2 ขออนุญาตออกไปใช้ชีวิต
คณะวิศวะฯ มหาวิทยาลัยเอกชน SKP
“แดกเหล้า!” เสียงทุ้มติดทะเล้นตะโกนขึ้นมาเมื่อเดินลงมาจากตึกเรียน วันนี้เป็นวันสอบวิชาสุดท้ายของภาคเรียน เป็นวันสุดท้ายในการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองของพวกเขาทั้งสี่คน
ทิกเกอร์ เจ้าของคำพูดนั้นเดินยิ้มร่ามือล้วงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี แค่คิดถึงน้ำเมาและเสียงดนตรีในการเฉลิมฉลองการสอบเสร็จของเขาและผองเพื่อน อะดีนาลีนในร่างกายก็พลุกพล่านไปหมด
“หึ!” แฝดพี่อย่างไทเกอร์กระตุกยิ้มมุมปากจนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึกลงไป สองคนเดินเคียงข้างกัน หน้าตาที่เหมือนกันราวกับแกะ หากไม่สนิทกับพวกเขาก็แทบจะแยกกันไม่ออก
คงมีแค่สีผมที่ของทิกเกอร์เป็นสีน้ำตาลเข้มแต่ของไทเกอร์เป็นสีดำธรรมชาติ ส่วนต่างที่พอให้ชาวบ้านได้แยกกันอยู่บ้าง นอกเหนือจากนั้นก็แทบไม่ต่างกันเลย
‘ยกเว้นนิสัย’
“กูจะเมาให้หัวราน้ำ มึง…ส่งกูด้วย” ลูกแพร สาวสวยคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นมา เธอหันไปชี้บอกร่างสูงหน้านิ่งที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างฟ้าคราม เพราะนอกจากพี่ชายของเธอแล้ว ก็ต้องเป็นเขานี่แหละที่ต้องเก็บเธอไปส่งบ้าน
“พี่มึง?”
“พี่พอร์ชไม่ว่าง”
“กูว่าง?”
“เออ!”
“…”
“หน้าที่มึงไงคะสุดหล่อ” ลูกแพรกระตุกยิ้มทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่ เพราะถึงยังไงเพื่อนสุดหล่อของเธอก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
“ขนลุก เลิกพูดดิ๊!” ทิกเกอร์ทำหน้าแหยมองหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา พวกเขาสนิทกันตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถูกบ่มเพาะจนแข็งแกร่งทนมือทนเท้า
“เรื่องของมึงไอ้ขี้เหร่” ลูกแพรสวนกลับทันควัน เรื่องลับฝีปากเธอกับทิกเกอร์ถนัดอยู่แล้ว
“เดี๋ยวกูเตะผ่าหมากแม่งเลย”
“อ่อนโยนกับกูบ้าง กูเป็นผู้หญิงนะ”
“เหอะ! มึงน่ะเหรอ?”
“เออ!! เห้ย! ไปไหนน่ะ รอกูด้วย” ลูกแพรหันมองตามร่างสูงของฟ้าคราม เมื่อจู่ๆ เขาก็เดินแยกตัวออกไป ก่อนจะหันกลับมาชี้หน้าทิกเกอร์และวิ่งตามออกไปอีกคน
“เอารถมึงไปนะ” ทิกเกอร์เอ่ยขึ้นขณะที่เดินเคียงคู่กับไทเกอร์ตามเพื่อนทั้งสองไปที่ลานจอดรถ
“เออ” แฝดพี่รับส่งๆ รับรู้ความคิดของแฝดน้องดี ว่าคืนนี้มันคงเป็นอีกคนที่หัวจะราน้ำ
•••••
ร่างบางยืนทำใจอยู่หน้าห้องหนังสือของประมุขใหญ่ของบ้าน อาอิงประหม่าจนยืนนิ่งกำหมัดแน่นเธอไม่ได้กลัวแต่กังวลว่าคำขอของเธออาจจะไม่เป็นผล
ก๊อกๆๆ
“คุณปู่คะ อิงเข้าไปได้มั้ยคะ”
“เข้ามา”
เสียงทุ้มทรงพลังที่เอ่ยตอบรับทำอาอิงต้องหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเรียกพลังความกล้า ก่อนจะหมุนลูกบิดและค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ
ร่างสูงของชายวัยชราที่ยังคงดูแข็งแรงแม้อายุจะเข้าเลขหกแล้วก็เถอะ ประมุขของบ้านเฟยฉีหัวเรือใหญ่ของวรวงศ์พิพัฒน์ แค่ได้เห็นก็รับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขาม
“คุณปู่ยุ่งอยู่มั้ยคะ อิงรบกวนมั้ย?”
“มานั่งนี่สิ”
“…ค่ะ” ร่างบางตอบรับเสียงประหม่า แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้ารักและหวงตัวเองขนาดไหน เธอก็ไม่เคยออดอ้อนหาผลประโยชน์เข้าตัวเลยสักครั้ง
“มีเรื่องจะคุยกับปู่ใช่มั้ย?”
“นิดหน่อยค่ะ”
“อยากได้อะไร กระเป๋า รองเท้า หรือว่ารถสักคัน?”
“ทำไมคิดว่าอิงอยากได้สิ่งของเหมือนกับคุณย่าเลยล่ะคะ?”
“หึๆ ปู่แค่อยากเปย์หลาน”
“สิ่งที่อิงอยากได้ไม่ใช่สิ่งของหรอกค่ะ”
“แล้วอยากได้อะไร?”
“คุณปู่คะ…” อาอิงหายใจเข้าลึกๆ มองสบตาชายชราตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆ ของตัวเอง ก่อนจะรวบรวมความกล้าเปล่งความต้องการของตัวเองออกมา “อิงขอไปอยู่นอกบ้านได้มั้ยคะ?”
“…”
“…”
“…”
“อิงหมายถึง ตอนเข้ามหาลัยค่ะ” เธอรีบอธิบายเมื่อต่างคนต่างเงียบและเอาแต่จ้องตากัน
“อยากย้ายไปอยู่คนเดียว?”
“ประมาณนั้นค่ะ”
“แต่บ้านเรามีคนขับรถนะ”
“ระยะทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับอิงอยู่แล้วค่ะ”
“แต่ปัญหาอยู่ในบ้านใช่มั้ย?”
“…”
แม้ว่าหลานสาวจะไม่เคยพูดหรือบอก แต่ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านไม่เคยรอดพ้นจากสายตาหัวเรือใหญ่คนนี้ได้เลย
แต่ก็เข้าใจดีเพราะเด็กสองคนเกิดจากผู้หญิงคนละคนกัน การอบรมสั่งสอนที่ต่างกันทำให้นิสัยต่างกันสุดขั้ว
แต่คำว่าหลานท่านก็ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ การปะทะกันของเด็กทั้งสองยังคงอยู่ในการควบคุม
“ได้มั้ยคะ?”
“ได้สิ”
“จริงเหรอคะ?” อาอิงตาโตหัวใจเต้นแรง ทั้งตื่นเต้นและดีใจ ไม่อยากจะคิดว่าความฝันของเธอจะเป็นจริงแล้ว
“แต่ปู่มีข้อแม้”
“คะ?” ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มค่อยๆ หุบลงช้าๆ เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า “ข้อแม้อะไรคะ?”
“หมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทของปู่”
“…!!!” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมของอาอิง เธอนิ่งสะตั้นไปหลายวินาที หาเสียงตัวเองไม่เจอ สติสะตังหลุดลอยออกจากร่างตามกลับแทบไม่ทัน
“ปู่มีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรคะ?”
“เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวหลานเอง”
“ใช่เหรอคะ?”
“ใช่สิ”
“อิงขอคำอธิบายเพิ่มได้มั้ยคะ?” เพราะนั่นคือชีวิตของเธอเลย จะให้เธอตกลงเพียงเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียวคงไม่ได้
“นอกจากผลประโยชน์ที่หลานจะได้รับแล้ว แม่ของหลานก็จะได้รับไปด้วย”
“…”
“ถึงแม้ว่าอาหลินจะเป็นเมียหลวงที่ตบแต่งเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่อย่าลืมว่าแม่ของหลานไม่มีลูกชายสืบทอดวงศ์ตระกูลให้อาตี้ หลานเข้าใจที่ปู่พูดมั้ย?”
“…ค่ะ”
“อาไทถึงแม้จะเป็นลูกนอกสมรส แต่เขาขยันและรักดีมาตลอด ไม่มีเหตุผลที่ปู่จะไม่รักหรือนึกรังเกียจเขาเลย”
“อิงรู้ค่ะ เฮียอาไทเป็นคนดี เป็นพี่ชายของอิงเหมือนกัน”
“รู้ถึงข้อเสียเปรียบของอาหลินแล้วหรือยัง?”
“…รู้ค่ะ” ทะเบียนสมรสไม่ได้การันตีถึงความสุขสบายหรือมั่นคงในอนาคต แม่ของเธอสู้ธัญญ่าเมียอีกคนของพ่อเธอไม่ได้แน่นอน
วันที่อาไทขึ้นเป็นใหญ่ วันนั้นแม่เธอคงลำบากที่สุด
“ไม่ต้องกังวล ปู่ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้หลานอยู่แล้ว”
“อิงขอคิดก่อนได้มั้ยคะ?”
“ไปดูตัวก่อนมั้ย ตกลงไม่ตกลงเราค่อยกลับมาคุยกันอีกที”
“…” อาอิงสบตาผู้เป็นปู่ เธอเข้าใจในทันทีว่าเรื่องทั้งหมดท่านเตรียมการไว้หมดแล้ว
ลำพังตัวเธอคงไม่เท่าไหร่หรอก สมบงสมบัติไม่ได้มีค่าเท่ากับการมีชีวิตในแบบที่เธออยากจะเป็น แต่มันคงไม่ใช่กับแม่ของเธอ แค่สามีมีเมียน้อย ต้องแบ่งความรักที่ท่านควรได้รับคนเดียวไปให้กับอีกคน แค่นี้ก็ทรมานและทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว
ที่ผ่านมาทำตัวร่าเริงสดใส ไม่รู้ว่าข้างในเจ็บปวดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้หรอกที่ต้องใช้สามีร่วมกับคนอื่น
“ก็ได้ค่ะ อิงจะไปดูตัว”
“เด็กดีจริงๆ”
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ถ้าไม่ถูกใจหรือปู่หาคนแปลกๆ มาให้ อิงไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“สายตาปู่ยังดีอยู่ อย่ามาดูถูกกันเชียว”
“ให้มันจริงนะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ว่าแต่ต้องไปเมื่อไหร่เหรอคะ?”
“ตอนแรกปู่จะให้เราไปเร็วๆ นี้เลย แต่ตอบแทนที่เป็นเด็กดี ปู่ให้เวลาหลานอีกหน่อยก็แล้วกัน”
“ดีเลยค่ะ”
“แต่ระหว่างนี้ห้ามมีแฟนโดยเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจค่ะ เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวอิงอยู่แล้ว”
“ดีมาก ปู่ซื้อคอนโดให้เป็นของขวัญ”
“O.O!”
“อยากได้ห้องแบบไหน ขนาดเท่าไหร่บอกมา”
“จะ…จริงเหรอคะ?”
“แน่นอนสิ เอ๊ะ! ปู่ไปเลือกให้เองดีกว่า”
“คุณปู่คะ อิงมีเรื่องจะขอร้องอีกอย่างค่ะ”
“ว่ามาเลยๆ”
“เรื่องนี้เก็บเป็นความลับระหว่างเรานะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ปู่รับปาก”































