บทที่ 8 โลกมันกลม...จริงๆ
วันรุ่งขึ้นสเตฟานสั่งลูกน้องให้มาดูที่อพาร์ตเม้นต์ เจมส์และเบนกลับมารายงานเจ้านายพร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็กยื่นให้ ชายหนุ่มก้มลงอ่าน
‘ขอพระเจ้าส่งคุณไปหลุมที่ลึกที่สุด...อาเมน’
สเตฟานจ้องมองข้อความในมืออย่างแทบไม่เชื่อสายตา เกิดมาเป็นตัวตนยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขามาก่อน...ย้ำ...ไม่เคยมี... มีแต่คลานเข้ามาสยบแทบเท้าเพียงแค่เขากระดิกนิ้วเรียก และที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่เคยมีใครบังอาจสาปส่งเขาอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัวเช่นนี้ หึ...เจ้าหล่อนกล้ามาก!
เบนกับเจมส์ลอบมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลายลงคอดัง เอื๊อก! พวกเขาเห็นข้อความนั้นแล้ว ยังไม่เคยมีใครหาญกล้าบังอาจส่งจดหมายรักสั้นๆ ได้ใจความชัดเจนเช่นนี้ให้กับสเตฟาน แม็คเคนซี่ มาก่อน บอดีการ์ดไม่อยากจะเดาเลยว่าต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวคนนั้นบ้าง
สองบอดีการ์ดหนุ่มมองดูเจ้านายค่อยพับกระดาษแผ่นนั้นอย่างบรรจงและทะนุถนอมราวกับมันเป็นสมบัติอันล้ำค่าก็ไม่ปาน
เขาหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วลูบแผ่วเบาดั่งกำลังจะจดจำข้อความนั้นให้ลึกสุดใจ
ใบหน้าหล่อร้ายของสเตฟานราบเรียบ มีเพียงดวงตาคมเข้มเท่านั้นที่ฉายแววดุดันและเต็มไปด้วยรอยหมายมาด ลูกน้องรู้ดีว่าเป็นความสงบที่ซ่อนพายุลูกมหึมาเอาไว้ พร้อมที่จะจู่โจมโหมกระหน่ำพัดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
“พวกมึงหาผู้หญิงไทยชื่อไวโอเล็ตมาให้กูให้ได้!”
คำสั่งสั้นๆ ที่ไม่ต้องอธิบายเจมส์กับเบนก็รู้ความหมายดีว่า... ทุกคนที่เป็นผู้หญิงไทยชื่อนี้ จนกว่าเจ้านายจะเจอคนที่เขาตามหา...ซึ่งบอดีการ์ดทั้งสองคนก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้านายของเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนไหน ในเมื่อไม่เคยจำหน้าตาได้เลย ทั้งสองหันไปสบสายตาส่งภาษากันเงียบๆ ว่า...งานงอกแล้วมึง พร้อมกับโค้งคำนับแล้วตอบเสียงหนักแน่นว่า...
“แน่นอนครับเจ้านาย”
หากในใจยังสงสัยว่า...แล้วกรูจะไปหาตรงไหนวะ?!
“คิดถึงแม่วิที่สุด”
เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนจะโผเข้าไปกอดเอวอวบของมารดา คุณวิไลวรรณมักพูดภาษาอังกฤษกับวีรตาตั้งแต่ย้ายมาอยู่อเมริกาเพราะต้องการให้ลูกเก่งภาษา ทำให้วีรตาเคยชินกับการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับมารดา ยกเว้นเวลาที่ไม่ต้องการให้ใครรู้จึงจะพูดภาษาไทยกัน
“ยายไวน์...ทำไมไม่บอกว่าจะมาวันนี้ลูก ไหนว่าอีกสองสามวัน” วิไลวรรณกอดลูกสาวสุดที่รักก่อนจะดึงไหล่บางออกห่างแล้วจ้องมองใบหน้านวลใสด้วยสายตาแปลกใจปนยินดีที่ได้เห็นหน้าลูก
“พอดีไวน์มีปัญหาเรื่องที่อยู่นิดหน่อยค่ะแม่ ต้องหาที่อยู่ใหม่ก่อนเปิดเทอม”
“อ้าวทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับหนูพีช ทะเลาะกันเหรอ” มารดาถามด้วยความสงสัย วีรตาถอนหายใจและนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อหาคำอธิบาย
“เอ่อ...เอาแบบสั้นๆ ก็คือ พี่พีชเขาย้ายออกไปแล้วค่ะ พอดีเจ้าของอพาร์ตเม้นต์เขาเรียกคืน” มารดาของหล่อนไม่ทราบเรื่องพิชนี วีรตาจึงเล่าเพียงสั้นๆ เท่านี้ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเล่ารายละเอียด เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วงเปล่าๆ
“งั้นเหรอ...ไวน์เอาของไปเก็บก่อนเถอะ หิวมั้ยลูก คืนนี้ยังไม่ต้องไปช่วยแม่ อยู่พักก่อน” วิไลวรรณเอ่ยบอกลูกสาวเพราะรู้ว่าวีรตาเป็นประเภทอึดและขยันหากกลับมาบ้านแล้วจะต้องไปช่วยงานที่ร้าน ทำทุกอย่างที่ช่วยได้ตั้งแต่งานเสิร์ฟจนถึงงานล้างจานทำความสะอาด
จอห์นได้เช่าตึกหนึ่งคูหาให้ในโซนร้านอาหารในแหล่งท่องเที่ยวของเมือง กิจการไปได้สวยทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
วิไลวรรณเป็นผู้ควบคุมทั้งหมดโดยจ้างผู้จัดการคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยรองจากเธอ ส่วนจอห์น สามีนั้นก็ควบคุมบริหารผับหรูของเขา
มาในระยะหลังๆ นี้เองที่เขาเริ่มติดการพนันอย่างหนัก เงินทองรายได้จากผับวิไลวรรณไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว และยื่นคำขาดไม่ให้เขายุ่งกับกิจการของเธอ ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยอมฟังและไม่ก้าวก่าย ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่ยอมอยู่กับเขาอย่างแน่นอน
ช่วงนี้เขาหน้าดำคร่ำเครียดและหงุดหงิดไม่ค่อยกลับบ้าน หากวิไลวรรณก็ปลงเสียแล้ว เธอมีลูกสาวคือวีรตาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว มีความตั้งใจที่จะทำทุกอย่างให้ลูกสาวคนเดียวมีความสุขที่สุด และภาคภูมิใจที่เห็นลูกน้อยเติบโตขึ้นทุกปีเป็นบุคคลมีคุณภาพและคุณธรรมเต็มหัวใจแถมเก่งทุกด้านเท่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะเก่งได้ บ้านหลังใหญ่ห้าห้องนอนของจอห์นอยู่ห่างจากเมืองเพียงสิบไมล์
วิไลวรรณขับรถเองจึงสะดวกในการไปร้าน
“คุณลุงล่ะคะ” วีรตาเรียกจอห์นว่าคุณลุง เพราะตอนวิไลวรรณแต่งงานกับจอห์นวีรตาอายุสิบปีแล้ว บิดาแท้ที่อยู่เมืองไทยเด็กสาวก็ยังติดต่อและคุยกันบ้างทางโทรศัพท์
“พักอยู่ที่ห้องชุดบนผับน่ะลูก เขาหงุดหงิดคงปัญหาเดิมๆ แม่ไม่อยากยุ่งกับเขามาก ไวน์เองก็เหมือนกันถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งกับเขา” วิไลวรรณกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่คุยกัน วีรตาพยักหน้ารับรู้ หญิงสาวพอจะเข้าใจด้วยวัยและวุฒิภาวะที่โตในเมืองใหญ่ มารดาเกรงว่าหล่อนจะเป็นอันตรายนั่นเอง
