บทที่ 12 หมั้นหมาย

ร้อน....

อึดอัด....

ขยับไม่ได้.....

ผมปรือตาขึ้นช้าๆ เมื่อความรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างถูกตรึงไว้อยู่กับที่ แสงสว่างที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใส ทะลุผ้าม่านสีขาวเข้ามา ทำให้ต้องหรี่ตามอง ก่อนที่จะพยายามหันหน้าหลบอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อตัวของผมถูกกักเอาไว้ภายใต้วงแขนของใครบางคน ทำให้ผมยกมันขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันหน้าไปมอง

ชายรูปร่างสูงใหญ่ รูปกายกำยำสมกับความเป็นบุรุษเพศ นอนซ้อนอยู่ที่ด้านหลัง วงแขนกอดก่ายผมเอาไว้ จนรัดแน่น ผิวเนื้อที่สัมผัสแนบชิดทำให้เกิดความรู้สึกร้อนผะผ่าว เส้นผมสีส้มอิฐนั้นแลดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ที่โคนเส้นผมถูกแซมด้วยสีดำสนิทขึ้นมาอีกเล็กน้อย แสดงถึงความแตกต่างของสีที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาคมเข้มกำลังปิดสนิท หลับตาพริ้มอย่างสบายใจ จมูกโด่งเป็นสันรับเข้ากับใบหน้าที่เรียวยาว ริมฝีปากหนา ที่พอรวมเข้ากับใบหน้ากลับดูดีจนน่าตกใจ

มือของผมไล้ไปบนอากาศตามโครงหน้า โดยที่ไม่ได้โดนผิวเนื้อของคนที่กำลังหลับอยู่แม้แต่น้อย ไม่กล้าที่จะสัมผัส หวาดกลัวความรู้สึก กลัวว่ามันจะปะทุออกมา แสดงอาการให้มันได้เห็น คิดพลางถอนมือออกช้าๆ แกะมือคนที่กำลังก่ายกอดออกจากตัว ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าสำหรับสองที่ ผมพึ่งจะรู้ก็ตอนที่ทำอาหารนี่เอง ว่าไอ้ซันมันซื้อข้าวของมาเตรียมไว้ให้จนเต็มตู้ พอเสร็จแล้วจึงเดินเข้าห้องไปอาบน้ำ พอจัดการตัวเองเรียบร้อยก็กลับมาสะกิดปลุกคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้น ไล่ให้มันไปอาบน้ำเช่นกัน

ระหว่างที่นั่งรอให้มันออกมา มือก็หยิบโทรศัพท์มานั่งเล่นไปด้วย มันส่งข้อความมาหาผมเยอะจริงๆ ครับ แถมยังโทรมาอีกหลายสาย จากตอนแรกที่ทักมาชวนว่าจะออกไปร้านพี่ต้องคืนวันเสาร์ด้วยกันไหม ก็แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา มันส่งมาตั้งแต่บ่ายของวันเสาร์ แต่ผมไม่ตอบอะไรมันกลับไปเลยจนกระทั่งวันอาทิตย์ช่วงเที่ยง ไม่แปลกที่มันจะเป็นห่วง แถมผมยังไปโวยใส่มันอีก มันก็คงจะโมโหอยู่ไม่น้อย

ขอละ..... อย่าใส่ใจกูมากนักเลย......

คิดพลางกดเข้าแอพโซเชียล ตรวจเช็คข่าวสาร เห็นไอ้ซันมันถ่ายคลิปวิดีโอตอนที่ผมนอนหลับอยู่บนเตียง เอาหมอนตีหน้าของผมไม่ยั้งพร้อมคำบ่น

[ดูมันนะครับทุกคน หายหัวไปเป็นวัน ไอ้เราก็ติดต่อไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงเลยรีบมาหาตั้งแต่ตื่นนอน คำตอบมันคือติดซีรีส์มากเกินไป ผมจะทำยังไงกับมันดีครับ!!]

ในท้ายประโยคมันโยนหมอนในมือทิ้งไป แล้วแพนกล้องกลับมาหาตัวเอง ใบหน้าโกรธขึ้ง ผมไล่อ่านคอมเม้นนิดหน่อย แล้วตอบกลับเพื่อนบางคน ก่อนจะเลื่อนลงมาอีก ก็พบกับข้อความพร้อมรูปภาพของตัวเอง

นอนตึกใช่ไหมครับ ติดซีรีส์เน๊อะ บำรุงผิวสักหน่อย

[แนบรูปภาพ]

ภาพที่ว่าคือมันเอาใบกะเพรา ผักบุ้ง สาหร่าย ต้นหอม มาวางพาดบนใบหน้าของผมจนเต็มพื้นที่ ปิดตาข้างหนึ่งด้วยแตงกวา อีกข้างด้วยมะเขือเทศ และปิดริมฝีปากด้วยมะนาว เรียงกันเป็นหน้ายิ้ม จนผมกลายเป็นมนุษย์ผักที่ไม่เหลือเค้าโครงความหล่อเหลาในทันที โทรศัพท์ในมือสั่นระริก กำแน่นอย่างโมโห มันทำกับผมขนาดนี้ ผมก็ยังหลับไม่รู้ตัว ไอ้ซัน!!!! มึง!!! กดรีพอร์ทแม่ง!!!

แกร๊ก!

ตุ้บ!

ผมเขวี้ยงหมอนอิงกระทบใบหน้านั้นเต็มๆ จนไอ้ซันชะงักเท้าหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน ก่อนที่หมอนจะร่วงลงที่พื้น ผมก็ผุดลุกยืนขึ้น เดินสาวเท้าเข้าหาไปช้าๆ ยกมือขึ้นลูบหน้ามันเบาๆ

“เป็นห่วงกูด้วยหรอ”

“ห๊ะ?”

หมับ!

มือของผมเปลี่ยนจากการสัมผัสที่อ่อนโยนเป็นจับหมับเข้าที่ใบหน้าของมันด้วยมือเดียว บีบแก้มทั้งสองข้างของมันไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“เห็นบำรุงผิวให้กูด้วยนิ” พูดพลางแสยะยิ้ม ก่อนจะปล่อยสะบัดหน้าหล่อๆ ของเพื่อนสนิทให้หันไปอีกทาง หยิบจานอาหารของมันขึ้นมา ไอ้ซันก็มองตามก่อนจะเบิ่งตาโต

“แย่จัง วัตถุดิบหมด” พูดจบก็เทอาหารที่เตรียมเอาไว้ลงถังขยะ ไอ้ซันมองกลับมาเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามหรือพยายามหยุดการกระทำของผมแต่อย่างใด

“เอ มีอะไรเหลืออยู่บ้างน้าาาา” ผมแกล้งพูดว่า ก่อนจะเปิดตู้เย็นออก หยิบเอามะนาว แตงกวา กะเพรา สาหร่าย และผักบุ้งออกมาจากตู้เย็น หันไปยิ้มให้ไอ้ซันที่พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

“รอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวกูทำอาหารให้” พูดแล้วฉีกยิ้ม ไอ้ซันมองไปที่อาหารอีกจานที่เหลืออยู่ ชี้นิ้วถาม

“กะ กู กูกินอันนี้รอได้ไหม”

“ไม่ได้!! ของกู!!! ถ้ากินมึงตาย” พูดแล้วยกมีดขึ้นใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆ ที่ใบมีด ก่อนสายตาจะตวัดมองกลับมาที่ไอ้ซัน

“ไม่ๆ ๆ ไม่กิน ไม่กินแล้ว ไม่ต้องทำหรอก แหะๆ” ไอ้ซันยิ้มแหย่ๆ ให้ ผมเอียงคอน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยบอก

“รอไม่นานหรอกน่า แป๊บเดียว นั่งสิ” พูดพลางมองจ้อง บังคับทางสายตา จนมันหย่อนก้นนั่งลงช้าๆ ผมก็หันไปจัดการกับอาหารตรงหน้าทันที ตั้งหม้อต้มน้ำ ต้มไข่ไก่ 3 ใบ แล้วล้างใบกะเพรา เด็ดใส่ถ้วยเอาไว้ เอามะนาว แตงกวา มะเขือเทศ ออกมาหั่นเป็นแว่น หั่นสาหร่ายออกเป็นเส้นๆ พอดีคำ แล้วจึงหันไปจัดการกับผักบุ้ง หั่นเป็นท่อนเล็กน้อย นำลงไปลวกสุก แล้วเททุกอย่างใส่รวมกัน ปอกเปลือกไข่ออก หั่นแต่ละใบเป็น 4 ชิ้น โรยเกลือ พริกไทย น้ำมันงา และโรยงาขาวลงไป คลุกให้เข้ากัน แล้วโรยใบกะเพราปิดท้าย นำไปวางไว้ตรงหน้าไอ้ซัน

“แดก” พูดจบก็กดดันด้วยสายตา แล้วจึงกลับมาจัดการข้าวผัดอเมริกันยามเช้าของตัวเอง ไอ้ซันกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะลองตักสาหร่ายขึ้นมากิน พอทานเข้าไปแล้วก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตักทานขึ้นอีกคำ บ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ

“ขนาดมันแกล้งกู มันยังทำอร่อยเลยวุ้ย” คำพูดนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากอาหารของตัวเอง นี่กูแค่เอาของมายำรวมกันเฉยๆ มึงยังแดกได้อีกหรอ!! คิดพลางเงยหน้าจ้องมองมันไปพลาง และเหมือนมันก็จะรับรู้ได้จึงเงยหน้าขึ้น มองตอบกลับมาเป็นเชิงถาม กลับกลายเป็นผมเสียเองที่กะพริบตาปริบๆ เอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจ

“มึงแดกได้?”

“ก็ไม่ได้แย่อะไร คิดว่าจะโดนหนักกว่านี้”

เคร้ง!

ไม่แดกแม่งละ เซ็ง! โยนช้อนทิ้งไปพลางนั่งกอดอกตัวเอง

“แดกไปดิ เดี๋ยวไม่มีแรงเรียน หรือต้องให้กูป้อน”

“เสือก” ว่าพลางหยิบช้อนขึ้นมาอีกครั้ง ตักข้าวเข้าปากด้วยความโกรธ จนเมื่อทานเสร็จนั่นละ ถึงได้เคลื่อนทัพออกจากห้อง สุดท้ายมันก็กินหมดจริงๆ นะครับ จะเหลือก็แต่มะนาวที่มันบ่นนิดหน่อยว่าน่าจะบีบมาให้มากกว่าหั่นเป็นแว่น แต่มันก็ใช้ช้อนบี้ตรงกลาง เอาน้ำออกนะครับ ผมนี่ถึงกับเซ็งไปเลย แต่สุดท้ายมันก็บอกให้แวะร้านสะดวกซื้ออยู่ดี บอกว่าที่ผมทำให้มันกินก็ดีนะ เพียงแต่มันไม่อยู่ท้อง มันก็เลยต้องมานั่งกินข้าวกล่องเพิ่มอีก

อ้อ วันนี้เรามารถของไอ้ซันครับ เห็นบอกว่าจะไปร้องเพลงที่ร้านพี่ต้อง ก็เลยจะให้ผมนั่งรถมันไป แล้วขากลับมันก็แวะมาส่ง พร้อมกับขับรถออกไปเลย ไม่ต้องเปลี่ยนรถ ส่วนผมจะนอนพักโง่ๆ อยู่บนเตียง นอนดูซีรีส์เรื่องอื่นต่อ พอได้ดูแล้วชักจะติดแฮะ ก็อย่างว่า คนไม่ค่อยมีอะไรทำ สิ่งที่โปรดปรานคือการทำอาหาร แต่ถ้าผมทำก็ต้องมีคนช่วยกิน ซึ่งก็มีไอ้ซันอยู่คนเดียวนั่นแหละครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือเหมือนว่าไอ้นายกับไอ้วุฒิจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแล้ว?? วันนี้ไอ้นายมาด้วยสภาพที่เหมือนถูกรุมโทรม รอยแดงช้ำจ้ำๆ ตามตัวเต็มไปหมด แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่พอเจอไอ้วุฒิก็พุ่งเข้าไปทันที เหมือนจะต่อยกัน ตัวมันก็เท่านั้น จะเอาแรงที่ไหนไปต่อยเขา ต่อยมดมันต่อยไม่ตายเลยมั้ง ได้ยินไอ้นายกับไอ้วุฒิพูดคุยกันอีกนิดหน่อย เหมือนว่าไอ้วุฒิจะไปทำอะไรบางอย่างให้พี่คนนั้นเข้าใจผิด และจบด้วยการที่มีรอยรักเต็มตัวไอ้นาย แต่สุดท้ายไอ้วุฒิก็ยืนยันกลับมาว่าจะอยู่ในสถานะเพื่อน ทำให้เรื่องราวบาดหมางใจนี้จบลง หลังจากนั้นเราก็ไปเรียนกันตามปกติ บรรยากาศที่อึมครึมก็เลือนหายไปแล้วเช่นกัน

ในวันหนึ่ง อาจารย์ประจำวิชาก็สั่งให้พวกเราทำงานกลุ่ม กำหนดส่งปลายเทอม ให้ไปจับกลุ่มเขียนชื่อจับฉลาก แต่เดิมกลุ่มเรามีกันแค่ 4 คน แต่ต้องจับกลุ่ม 5 คน สุดท้ายไอ้วุฒิก็ไปลากตัวไอ้เพชรออกมาจากกลุ่มหญิงสาวที่รายล้อมอยู่ ทำให้อดแปลกใจหน่อยๆ ไม่ได้ ว่ามันไปสนิทกันตอนไหน

ไอ้วุฒิย้ำนักย้ำหนา ว่าไอ้เพชรมันเป็นทอมนะ มันคือทอม ผมกับไอ้ซันก็มองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะรู้ตั้งแต่ตอนรับน้องแล้ว ก็ไอ้ซันมันเข้าไปคุย ชวนเข้ากลุ่ม ผมกับไอ้ซันเลยบอกว่ารู้ตั้งนานแล้วมันเป็นทอม ยกเว้นก็แต่ไอ้นาย ที่ไม่รู้ เพราะเข้ามาไม่ทันช่วงรับน้อง สุดท้ายก็ได้คนครบ 5 คน ไอ้เพชรมันก็ถามแหละว่าจะไปทำงานที่ไหน ทุกคนลงความเห็นว่าที่บ้านมันนั่นแหละ เพราะว่ามันก็ยังเป็นผู้หญิง ให้มาทำงานในห้องที่มีแต่ผู้ชายก็คงจะดูไม่ดี แม้ว่าคนอื่นจะมองว่ามันก็ผู้ชาย แต่พ่อแม่มันไม่นี่ อย่าทำให้พวกท่านเป็นกังวลดีกว่า พอตกลงกันได้ ก็จัดการสร้างกลุ่มในแอพแชท นัดวันไปทำงาน ส่งรายชื่อ แล้วพากันแยกย้าย

เวลาผ่านไป วันศุกร์สุดสัปดาห์ก็มาถึง ผมเดินตามทางมาเรื่อยๆ เมื่อมาถึงคอนโดในยามเย็นหลังเลิกเรียน ในอ้อมแขนมีของสดมากมาย ที่แวะซื้อก่อนกลับเข้าห้อง ตั้งใจจะทำพะโล้หมูสามชั้นทาน ต้องใช้เวลาพักใหญ่เลยล่ะ คิดขั้นตอนและลำดับการจัดเตรียมวัตถุดิบ ก่อนจะชะงักกึก เมื่อเห็นพี่คมยืนยิ้มอยู่ที่ประตูห้อง ผมหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“สวัสดีครับพี่คม”

“ครับคุณหนูเบส”

“พี่คมมาหาผมมีอะไรรึเปล่าครับ” พูดพลางแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ถอดรองเท้าออก เดินนำเข้าไปก่อน วางข้าวของในห้องครัว ก่อนจะเทน้ำออกมาให้พี่คมที่นั่งรออยู่บนโซฟา

“คิดถึงครับ” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับอมยิ้ม

“เอาความจริงสิครับ”

“ผมคิดถึงคุณหนูเบสจริงๆ นะครับ”

“พี่คม” ผมเอ่ยปากเรียกเสียงเหนื่อยใจ จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ

“คุณท่านให้มาตามครับ”

“งานอะไรอีกละครับ”

“งานเลี้ยงเหมือนเดิมนั่นแหละครับ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัว จัดเก็บของเข้าตู้เย็น แล้วจึงไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เปลี่ยนการแต่งกายเป็นชุดทางการ พยักหน้าให้กับพี่คม เพื่อบ่งบอกว่าพร้อมแล้ว จึงพากันเดินออกจากห้อง ขึ้นรถของพี่คม แล้วพากันไปที่นัดหมาย

จุดหมายปลายทางก็ยังคงเป็นโรงแรมจัดเลี้ยงเหมือนเดิม และก็เหมือนเดิมๆ จอดรถที่หน้าประตูใหญ่ พี่คมเปิดประตูให้ ก้มตัวลงเล็กน้อย ผมก้าวขาลงจากรถ จัดการแต่งกายให้เรียบเนี๊ยบดูดี ก่อนจะเดินตามหลังพี่คมที่เป็นผู้นำทาง เข้าไปในลิฟต์ กดชั้นที่ต้องการแล้วก็รอ

จนเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่ต้องการ พี่คมก็ให้ผมเดินออกไปก่อน ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อมันเป็นร้านอาหารแบบหรูหราสไตล์จีน แตกต่างจากการตกแต่งที่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ทำให้ผมหันหน้ากลับไปมองพี่คม อีกฝ่ายก็ฉีกยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยปากบอก

“ห้อง VIP 6 ครับ” ผมมองจ้องพี่คม เริ่มจับทางอะไรได้รางๆ

“พี่คม” ผมพูดกดเสียงต่ำ เหมือนผมจะโดนหลอกซะแล้วล่ะ

“ผมให้คุณหนูเบสเดินออกไปไม่ได้จริงๆ ครับ” แม้ว่าจะกำลังยิ้มอยู่ แต่แววตาตั้งมั่น ไม่ยินยอมให้ผมได้ทำตามใจ ก่อนจะเอ่ยสำทับมาอีกครั้ง

“ในเมื่อคุณหนูเบสยังไม่ได้สนใจใคร หรือมีใครข้างกาย ก็ลองเข้าไปพูดคุยกับเธอสักหน่อยเถอะครับ เผื่อเอาไว้ก่อน”

“ถ้าผมมีล่ะ? .....”

“หือ?”

“เฮ้อ... ไม่มีอะไร” พูดจบก็หมุนตัว มุ่งตรงไปห้องที่ว่า เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้าไป ป๊า ม๊า กับใครไม่รู้อีก 3 คนนั่งอยู่ และหนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่สวมชุดกี่เพ้าสีแดงสด ผ่าขึ้นจนถึงหัวเข่า เส้นผมถูกมวยไว้อย่างเป็นระเบียบ ปักด้วยปิ่นลายหงส์สีทอง ดวงตาเรียวรีตี่แคบ ใบหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ เลื่อนสายตาหันมามองผมเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปดังเดิม

“อ้าว มาพอดี นั่งสิจ๊ะ” ม๊าของผมร้องเรียก แล้วตบลงที่เก้าอี้ข้างๆ ตัว ตรงข้ามกับหญิงสาวพอดี

“สวัสดีครับ” พูดพลางยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหมดภายในห้องนั่งตัวตรงอย่างที่ต้องทำ เมื่ออยู่ต่อหน้าป๊า

“นี่ลูกชายของผมครับ รพีพัฒน์ ส่วนนี่ คุณหลี่จิ้ง และภรรยา คุณหวังลี่ ส่วนนี่ลูกสาวเขา หวังฟาง”

“สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมผงกหัวให้เล็กน้อย

“แหมๆ ลูกชายคุณเดชานี่หน่วยก้านดีจริงๆ นะครับ” ผมได้แต่ยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“ครับ”

“แล้วนี่ได้ช่วยคุณเดชาบริหารงานไหมครับ”

“ยังครับ ตอนนี้เบสกำลังเรียนมหาลัยอยู่ครับ เอาไว้จบแล้วถึงจะให้มาเรียนรู้งาน เพราะอยากให้เขาตั้งใจเรียนให้เต็มที่น่ะครับ” พ่อของผมตอบกลับไปเบาๆ ในขณะที่มือก็เริ่มคีบอาหารใส่จานให้ม๊า นั่งคุยไปพลางทานไปพลาง

“แล้วแบบนี้แผนแต่งงานจะเริ่มตอนไหนละครับ” อีกฝ่ายถามกลับมาเบาๆ แต่มันทำให้ผมหันขวับไปมองหน้าบิดา ซึ่งป๊าก็ไม่ได้มองผมตอบแต่อย่างใด กำลังจะอ้าปากแย้ง แต่ม๊าก็จับแขนเอาไว้ ใบหน้าหันมองฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม แต่แรงมือที่จับแขนก็แน่นพอที่จะรู้ว่ามันคือการห้ามปราม ทำให้ผมหันมองม๊าอย่างไม่เข้าใจ ผมหยุดมือที่กำลังทานอาหาร สายตาตวัดมองพี่คม ซึ่งอีกฝ่ายก็ก้มหน้านิ่ง หนีความผิดของตัวเอง ทำให้ผมหลับตา สูดลมหายใจเข้าออกอย่างอดทน ลดมือลงวางบนตัก กำเอาไว้แน่นอย่างข่มอารมณ์

“แล้วนี้เรียนคณะไหนล่ะ?”

“บริหารครับ”

“ดีๆ ๆ หวังฟางอยู่ ม.6 แล้ว พอจบแล้วลุงก็จะให้ต่อบริหารเหมือนกัน รบกวนให้เราสอนน้องด้วยนะ” ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะกล้ำกลืนตอบรับคำกลับไป

“ครับ” ฝ่ายหญิงสาวก็นั่งทานอาหารไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา การทานข้าวมื้อนี้สำหรับผมเต็มไปด้วยความฝืดเคือง กลืนแทบไม่เข้า จนสุดท้ายก็วางตะเกียบลง แล้วนั่งรอนิ่งๆ อย่างใจเย็น ทั้งที่ใจอยากจะพังโต๊ะแม่งให้เละ แต่ก็ได้แค่ฝืนทน จนกระทั่งจบมื้ออาหาร พวกพ่อๆ แม่ๆ เดินนำหน้าไปก่อน ทิ้งให้ผมกับหวังฟางเดินตามหลังกันไป 2 คน พอสบโอกาสถึงได้ถามออกไปตรงๆ ทันที

“คุณเต็มใจกับการหมั้นหมายนี้ไหมครับ?” เอ่ยถามออกไปอย่างสุภาพ ไม่บ่งบอกว่าตัวผมเองพอใจหรือไม่พอใจ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเสียงเบา ไร้ความรู้สึก

“จะเต็มใจหรือไม่ อย่างไรฟางฟางก็เลือกไม่ได้อยู่ดี” เพราะคำพูดนั้นทำให้ผมแตะข้อศอกของเธอเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปถามด้วยความจริงจัง

“ความรู้สึกจากใจจริงๆ ของคุณละครับ อยากหรือไม่อยาก” ผมมองจ้องตาเรียวนั้นอย่างขอคำตอบ อีกฝ่ายก็มองตอบกลับมาเช่นกัน

“ฟางฟางพึ่งจะ 17 ถึงจะไม่คิด แต่ผู้ใหญ่ท่านก็ปูทางให้เดินแล้ว ปฏิเสธอย่างไรก็ไร้ผล ฟางฟางเป็นผู้หญิง หน้าที่ของฟางฟางมีเพียงเท่านี้” พูดจบก็หันหลังเดินนำหน้าไปก่อน ผมยืนนิ่งอยู่กับที่เพียงชั่วครู่ คิดตามคำพูดของเธอ มันบ่งบอกว่าเธอไม่เต็มใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างนั้นใช่ไหม?

คิดพลางเดินเข้าลิฟต์เป็นคนสุดท้าย ยืนที่ด้านข้างของหวังฟาง ในขณะที่ป๊ากับม๊ายืนอยู่ด้านหลัง พูดคุยกันเบาๆ แต่เข้าหูผมเต็มๆ

“เด็กๆ เริ่มทำความรู้จักกันแล้วนะคะ แบบนี้ต้องเข้ากันได้ดีแน่ๆ” เสียงคุณหวังลี่ มารดาของหวังฟางพูดขึ้น ทำให้คนที่เหลือพยักหน้า เออ ออ เห็นด้วยตามมา แม่ง เข้ากันได้ดีที่ไหน ไร้อารมณ์ซะขนาดนี้ คิดพลางเหลือบมองอาฆาตพี่คมอีกครั้ง พอออกจากลิฟต์ได้ ก็เดินไปส่งครอบครัวของหญิงสาวขึ้นรถ ส่งป๊าม๊าขึ้นรถ แล้วจึงกลับมาที่รถของตัวเอง ที่พี่คมเปิดประตูรอไว้อยู่ หากแต่เป็นผมเองที่เดินผ่านไป ไม่สนใจพี่คม งอนครับ โกรธด้วย บอกเลย พี่คมเดินตามหลังมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงอ่อย

“คุณหนูเบสครับ”

“อย่าพี่คม ผมไม่อยากโมโหใส่พี่” ผมพูดโดยที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย โบกมือเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับ ก่อนจะยืนรอเฉยๆ คนที่ด้านหลังเอ่ยปากบอกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงจ๋อยๆ

“ผมไม่สามารถขัดนายได้ครับ”

“อย่าพูด” ผมกดเสียงลงต่ำ ข่มอารมณ์ เพราะผมรู้ รู้ว่าป๊าต้องบีบบังคับพี่คมมาอีกที จึงไม่อยากโวยวายอะไรใส่เขาไป เพราะถึงอยากจะช่วยผมแค่ไหน พี่คมก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน พี่คมก้มหน้าลงต่ำ ยืนเงียบๆ จนกระทั่งรถแท็กซี่มาจอดอยู่เบื้องหน้า พี่คมก็เปิดประตูรถที่ด้านข้างคนขับ หยิบเงินส่งให้คนขับจำนวนหนึ่ง

“ไปส่งตามที่คุณหนูท่านนี้ต้องการนะครับ ไม่ต้องทอนครับ” พูดจบก็ปิดประตูให้ ให้ผมเป็นคนเลือกจุดหมายปลายทางเอาเอง ซึ่งที่ๆ ผมคิดออกมีเพียงที่เดียว Aftermoon Club เมื่อบอกจุดหมายปลายทางแล้ว รถก็เคลื่อนตัวออกช้าๆ ผมมองหน้าพี่คมที่ยืนส่งอยู่นอกประตู ใบหน้าที่เศร้าหมองนั้นทำให้ผมรู้สึกผิดตามไปด้วย มันไม่ใช่ความผิดของพี่คมเลย มันเป็นเพราะป๊าสั่งมา และพี่เขาก็ไม่สามารถขัดขืนได้ แต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะคุยจริงๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป