บทที่ 2 คณะบริหาร

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

“อึก แฮ่ก แฮ่ก”

ตุ้บ!

ผมนอนทิ้งตัวบนพื้นที่มีเสื่อโยคะปูเอาไว้อยู่ ใบหน้าหันมองออกไปที่ผืนน้ำสีฟ้าสดใส ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ระรัว เป็นผลพวงที่มาจากการฟิตออกกำลังกาย อย่างที่รู้กันว่าแต่เดิมผมนั้นเป็นเด็กอ้วนคนหนึ่ง จะให้ทำยังไงได้ละ ก็อาหารการกินของที่ต่างประเทศนั้นมันไม่เหมือนที่ไทยนี่ ส่วนใหญ่ที่ได้ทานอยู่บ่อยๆ ก็เป็นพวกแป้ง เนื้อ นม ไข่ และขนมปัง มันก็คงไม่แปลกที่ผมจะตัวอ้วนกลมตุ้ยนุ้ยตั้งแต่เด็ก

ถ้าถามว่าผมกลับมามีหุ่นที่ฟิต กระชับ และเฟิร์มทั้งตัวได้ยังไง ก็ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนคนสำคัญ ที่มันจับผมลากออกไปเล่นนอกบ้านทุกวัน แถมการเล่นแต่ละอย่างของมันก็ไม่ใช่จะสนุกสนานสำหรับผม แต่กับมันก็คงจะใช่ ผมคิดพลางขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว เมื่อคิดถึงการละเล่นในสมัยก่อน

“ไอ้เบส มึงดูนี่! แม่งโคตรน่ารักอ้ะ!”

“ออกไปนะ!!! ซัน!! เบสไม่เล่น!!” เขาตะโกนร้องบอกคนที่ด้านหลัง วิ่งหนีสุดชีวิต เมื่ออีกฝ่ายจับคางคกตัวตะปุ่มตะป่ำ พยายามจะยื่นมาตรงหน้าให้เขาได้ดู เพราะเจ้าตัวนั้นดันไปเห็นมันกระโดดเข้ามาในบ้านของตัวเอง และจับมาอวดให้เขาดูตรงหน้า ซึ่งทันทีที่เขาได้เห็นก็ร้องลั่น วิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย จากหน้าซอยมายังท้ายซอย เข้าไปแอบในบ้านของตัวเอง ตัวสั่นงันงก

หรืออาจจะเป็น….

“ไอ้เบส!! ช่วยกูด้วย!! อ้ากกกก คันๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

“มึงจะถือเอามาให้กูทำไม!!! ออกไปเลยนะเว้ยยยยย อย่าเอามาใกล้กู!!!”

“ก็กูอยากกินอ้าาาาา”

“มึงอยากกินก็ไปหาทางจัดการเอาเองสิโว้ยยยยย” เขาร้องบอกและวิ่งหลบหลีกพัลวัน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่รับเอาสิ่งที่อีกฝ่ายถือชูขึ้น พร้อมๆ กระโดดไปมา ครับ มันอยากแดกยำไข่มดแดง แล้วมันก็หยิบเอารังมดแดงมาถือวิ่งไล่เขาอยู่นี่

หรือ…..

“โอ้ยยยยยย แฮ่ก แฮ่ก กูละแปลกใจ อะไรทำให้กูอยากมีมึงเป็นเพื่อนว่ะ!!!”

“มึงก็ แฮ่กๆ ช่วยกูหน่อยดิว่ะ ใครจะไปรู้ว่าแม่งมีผัวแล้วล่ะ!! สัส เหนื่อยฉิบหาย!!!”

“แฮ่กๆ การ แฮ่ก การที่มีมึงเป็นเพื่อน คือเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตกูเลย สัสเอ้ย!!” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อต้องมาวิ่งหนีดงฝ่าตีน เพราะไอ้เพื่อนตัวดีดันไปแอบซั่มกับคนมีเจ้าของ ทำให้เขาพลอยซวย โดนลูกหลงไปด้วย เรียกได้ว่าตั้งแต่มีเพื่อนคนนี้มา เขาได้วิ่งออกกำลังกายแทบจะทุกวันมาตลอดชีวิตของการรู้จักกัน ทำให้เด็กน้อยที่ร่างกายอวบอัดตุ้ยนุ้ย แปรเปลี่ยนเป็นคนที่มีรูปร่างกระชับ หุ่นดีจนคนเหลียวหลัง เขาจึงเพิ่มความสวยงามของกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายอีกนิดหน่อย เพื่อให้เห็นรูปร่างกล้ามเนื้อชัดเจนยิ่งขึ้น

ฮึ่บ!

ผมยันกายขึ้นจากพื้น ถอดเสื้อออกจากตัวพาดไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง แล้วเดินมุ่งตรงไปที่ห้องของตัวเอง เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย จนเมื่อเสร็จเรียบร้อยดี ก็ออกจากห้องน้ำในสภาพที่พันกายด้วยผ้าขนหนูสีน้ำเงินเข้ม เดินออกมาแล้วก็ต้องผงะ เมื่อคนที่คิดว่ากำลังไปเที่ยวเกาะเสม็ด กลับมาโผล่หัวอยู่นี่ พร้อมรอยแดงบนใบหน้า

“มาได้ไงว่ะ” เขาเอ่ยถามพลางหยิบเอาเสื้อยืดมาสวมใส่ อีกคนก็ทำหน้ายุ่งไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“แม่ง หลวม แล้วมาบอกกูว่ายังซิง ซิงเหี้ยอะไรละ อย่างกับหลุมอากาศ”

“หึหึ แล้วรอยบนหน้าละ มาได้ไง” ถามพลางหยิบเอากางเกงมาสวมใส่ อีกฝ่ายสะบัดหน้าน้อยๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“ก็ตอนที่กูเสียบ กูเผลอพูดออกมาอ่ะ ฝ่ามือฟาดเข้าหน้าเต็มๆ แล้วเขาก็หนีออกจากห้องไปเลย กูก็เลยกลับบ้างนี่ละ”

“แล้วมึงพูดว่าอะไรละ?”

“นั่นฮีหรือหลุมจอดยานบิน”

“สม” ผมพูดพลางส่ายหัวไปมา หมดคำจะบ่นอะไรอีก ในตอนที่กำลังจะเดินผ่าน เพื่อออกจากห้องไปทานอาหารเช้า ก็ถูกอีกฝ่ายถลาเข้ามากอดคอจากทางด้านหลัง ขาเกี่ยวเอวผมเอาไว้ เกาะเป็นลูกลิง

“อะไรของมึงเนี้ยยย”

“เรื่องของกูไม่น่าสนใจเท่ามึงหรอก คุณหนูเบส ไหนบอกคุณซันสิ ว่าทำไมสาวถึงทิ้ง” คำถามนั้นทำให้ผมนิ่งชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับไปเบาๆ

“ก็เพราะว่ากูไม่ยอมเอาเขาสักที เขาก็คงจะคันอะ กูไม่สนอง เขาก็เลยก็ทิ้งมั้ง” พูดพลางยักไหล่ เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง ทำให้ไอ้ลูกลิงที่เกาะอยู่หลุดออกจากแผ่นหลัง ก่อนที่จะผุดตัวขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินตรงไปที่ห้องรับประทานอาหารอีกครั้ง

“มึงตายด้านหรอว่ะ กี่คนๆ ก็เลิกเพราะมึงไม่ทำอะไรเขาทั้งนั้น” อีกฝ่ายพูดถามพลางเดินตามหลังมาติดๆ

“ใครจะไปไวเหมือนมึงละ 2 วัน ก็ฟันเขาแล้วทิ้ง กูก็แค่อยากคบใครก็คบให้มันนานๆ”

“กูก็หาให้มึงไปเถอะ ถ้ากูไม่หาให้มึงจะมีแฟนไหมว่ะชาตินี้”

“ถ้าจะกรุณานะไอ้คุณมึง มึงก็เลิกหาคนมาให้กูซะทีสิวะครับ” พูดพลางเปิดประตูห้องออก แต่ก็ถูกฝ่ามือของคนที่ตามมาด้านหลังยันปิดเอาไว้ก่อน กระซิบเบาๆ ข้างหู

“ถ้ากูหาให้แล้วมึงยังไม่เอาอีก กูจะหาหนุ่มน้อยน่ารักมาให้แทนแล้วนะ”

“เออ ลองเปลี่ยนบ้างก็ดี เผื่อกูจะชอบ” พูดพลางปัดมือของเพื่อนสนิททิ้ง แล้วเปิดประตูออกไปอีกครั้ง เข้านั่งประจำที่ของตัวเอง

“พี่คม มากินข้าวกันพี่” ผมร้องเรียกพี่เลี้ยงคนสนิทที่คอยดูแลมาตั้งแต่เล็กให้มากินข้าวด้วยกัน หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นเช่นเดิม

“คุณหนูเบสทานเลยครับ เดี๋ยวผมไปทานในครัว”

“พี่คมไม่รู้หรอครับ มันชวนเป็นมารยาท” ไอ้ซันเอ่ยปากแล้วทรุดตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ปากก็ร้องเรียกไม่เกรงใจใคร

“พี่นุ้ย ซันนี่ขอข้าวด้วยคร้าบบบบ”

“กับพี่คมน่ะกูชวนจริงๆ ไม่ได้ชวนตามมารยาท แต่กับมึงน่ะ ใครชวนไม่ทราบ หลอกแดกข้าวบ้านกูตลอดนะมึง” พี่คมได้ฟังก็ยกยิ้มบางเบา เพราะใครต่อใครต่างก็รู้ดี ว่าเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของคุณหนูของบ้านก็คือเพื่อนคนนี้เอง ดังนั้นทุกคนจึงมองด้วยความเอ็นดูมากกว่าจะรำคาญใจหรือไม่ชอบใจ

“นั่นน่ะสิ เจ้าของบ้านเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เข้ามานั่งตีเนียนกินข้าวในบ้านเขาได้นะ” ยกเว้นก็แต่คนๆ หนึ่ง....

พรึ่บ!

ทั้งผมและไอ้ซันต่างปรับท่าทางการนั่งให้นั่งตัวตรง สันหลังเหยียดตรง จากการนั่งด้วยท่าทีสบายๆ ในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นแข็งเกร็งขึ้นมาทันที

“ผมชวนมันเอง” ผมพูดตอบกลับไปเบาๆ ทำให้ไอ้ซันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าสบตามอง และนั่นก็ทำให้เจ้าของบ้านเหลือบแลที่ผมเช่นกัน

“คุณก็ ออกจะดีซะอีกที่ซันมาอยู่เป็นเพื่อนลูก ลูกเราจะได้ไม่เหงา” หญิงสาวเจ้าบ้านเดินตามหลังลงมาติดๆ แล้วทรุดตัวนั่งลงที่ด้านข้างสามี

“ผมคิดว่าป๊ากับม๊าออกไปทำงานแล้วซะอีก”

“ทำไม ถ้าฉันจะนั่งกินข้าวเช้ากับแก แกจะไม่กินรึไง” คำพูดนั้นทำให้เขากรอกตาอย่างเบื่อหน่าย หากแต่มารดากลับหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยตอบ

“พอดีป๊าเขาดูงานดึกไปหน่อยน่ะ วันนี้ก็เลยตื่นสายไปนิด”

“ทานข้าวได้แล้ว เสียเวลา” สิ้นคำประกาศนั้นก็ต่างคนต่างทานข้าวกันเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น แม้แต่ไอ้ซันที่มักจะพูดมากเป็นต่อยหอยก็สงบปากสงบคำ นั่งทานข้าวอย่างสงบเสงี่ยม

“จะเข้ามหาลัยที่ไหน?”

“ผมอยากจะเข้าคหกรรมศาสตร์” ผมเอ่ยปากตอบด้วยท่าทีกระตือรือร้น เพราะการได้ทานอาหารอร่อยๆ นั้นคือความสุขของผม ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกเรียนคหกรรม ผมอยากจะเป็นเชฟ อยากจะสร้างสรรค์อาหารที่อร่อย ถูกปาก และแสนวิเศษ

“บริหาร” น้ำเสียงเย็นเหยียบถูกเอ่ยขึ้นขัดความคิดที่กำลังลอยฟุ้งอย่างสุขใจ ทำให้ผมหันหน้าไปมองด้วยความแปลกใจ

“เรียนคณะบริหาร” ป๊าเอ่ยย้ำอีกครั้ง ละมือจากอาหารตรงหน้า เอ่ยปากพูดราบเรียบไร้ความรู้สึก

“คหกรรมของแก ไปหาเวลาฝึกนอกรอบเอาก็ได้ สมัครเรียนเป็นคอร์สเยอะแยะไป แกต้องเรียนบริหาร จะได้มาช่วยงานของฉัน”

“.....”

“ได้ยินไหม รพีพัฒน์” น้ำเสียงนั้นที่กดดัน และมุ่งหวัง ทำให้ผมก้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะตอบรับกลับไปเบาๆ

“ครับ” เพียงเท่านั้นบิดาก็พออกพอใจ ผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบเอากระเป๋าเอกสารและเสื้อสูทพาดไว้ที่แขน เดินมุ่งตรงออกจากบ้าน โดยที่ภรรยาก็เดินตามไปติดๆ พอคล้อยหลังบิดาและมารดาแล้ว เพื่อนสนิทที่นั่งเกร็งมาตลอดก็คลายอาการลง

“มึงก็กินไปนะ กูจะขึ้นไปหาข้อมูลก่อน” ผมเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิท ปล่อยให้มันนั่งทานข้าวเพียงลำพัง ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นมาบนห้อง ทิ้งตัวนั่งลงที่หน้าคอมของตัวเองอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเริ่มต้นหาข้อมูล

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างถือวิสาสะ เพราะบรรยากาศในห้องนั้นมันเงียบเกินไป ผมจึงเอ่ยปากถามออกมาเบาๆ

“แล้วมึงละ จะเข้าคณะอะไร”

“อืมมมมมม กูชอบดนตรีว่ะ ศิลปกรรมศาสตร์ก็ไม่เลว”

“อืม อิจฉามึงว่ะ” ผมตอบกลับไปแค่นั้นแล้วเริ่มต้นหาคณะบริหารที่ผมต้องเรียนต่อไป ก่อนที่เพื่อนจะผุดตัวลุกขึ้นมาช่วยเลือก ช่วยเทียบคะแนน จนสุดท้ายก็ลงความเห็นว่าจะเอามหาวิทยาลัยที่อยู่ใจกลางเมือง มีชื่อเสียงพอสมควร พอเลือกได้แล้วก็เก็บข้อมูล เอาไว้คุยกับพ่อของตัวเองอีกที และผลของมันก็คือป๊าของผมอนุมัติให้เรียนได้ แม้ว่าจะต้องอยู่หอพักก็ตาม

ผมเลยเอาข่าวนี้ไปบอกเพื่อนสนิทของตัวเอง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย มันเองก็บอกเอาไว้ว่าจะเขาศิลปกรรมมหาลัยเดียวกัน ทำให้ผมใจชื้นขึ้นอีกนิด เมื่อรู้ว่ามันเองก็ยังคงอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน จนกระทั่งวันรายงานตัวมาถึง....

ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าตึกคณะด้วยความมึนงง เมื่อผู้ชายหัวไฟสีส้มอิฐ ยืนทำหน้าหล่อที่หน้าประตูที่ห่างจากผมไม่เท่าไหร่นัก ที่รอบคอแกร่งมีหูฟังเฮดโฟนคล้องคอเอาไว้ มือข้างหนึ่งจับกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกางเกง ชายเสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ยออกมาข้างหนึ่ง ปลดกระดุมเสื้อสูทออกจากตัว สาบเสื้อนักศึกษาแหวกออกกว้าง ที่รอบคอและข้อมือมีสายโซ่เส้นใหญ่สวมใส่เอาไว้อยู่ ภายในปากกำลังคาบจุ๊บเปอร์จุ๊บ ทำให้ผู้ชายตรงหน้าดูขี้เล่นและเข้าถึงได้ง่าย

“ไง” ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ หากแต่อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาใกล้ วาดแขนลงบนบ่าของผม ก่อนจะดึงรั้งให้เดินตามเข้าไปภายใน

“มึง... มึงมาได้ไง” ผมถามด้วยความไม่เข้าใจอย่างที่สุด เมื่อไปถึงจุดลงทะเบียน มันก็หยิบปากกาเซ็นชื่อลงไปด้วยความรวดเร็ว

“ก็ไม่ยังไง” มันพูดพลางผุดตัวขึ้น ส่งปากกาให้ผมได้รับไปเขียนต่อ ผมก็เอามาถือไว้ มองจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่ว่างตา

“คณะศิลปกรรมที่กูอยากเข้ากูสอบไม่ติดว่ะ ก็เลยมาเรียนบริหารกับมึงเนี่ยแหละ”

“น้ำหน้าอย่างมึงน่ะหรอจะมีปัญญาเรียนได้ หึหึ” ผมแกล้งว่ากลับไป ทั้งๆ ที่ภายในหัวใจกำลังกู่ร้องด้วยความยินดี

“ถ้าไม่มีกูสักคน มึงก็คงโดนแกล้งร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่เลยว่ะ” ผมกลอกตามองบน ก่อนจะเอ่ยปาก

“นั่นมันสมัยเด็กแล้วไหม ตอนนี้กูไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วเหอะ”

“ไม่เอาละ กูกลัวว่ามึงจะร้องไห้แงๆ วิ่งมาฟ้องกูว่าถูกแกล้ง กูขี้เกียจตามไปจัดการ” ถึงอีกฝ่ายจะพูดมาแบบนั้น แต่ผมก็รู้ว่ามันแกล้งว่าเอาสนุกๆ เท่านั้นเอง เพราะพอผมได้รู้จักกับมัน ผมก็เลิกที่จะมองหาเพื่อนใหม่ไปแล้ว แตกต่างจากไอ้ซัน ที่เป็นซันนี่สมชื่อ เพราะนิสัยใจคออย่างมัน ดึงดูดคนให้เข้ามาหา หรือมันเข้าไปหาเขาได้อย่างไม่ยากเย็น

“อ้อ อีกอย่างนะ”

“?”

“กูกลัวว่าคนอย่างมึง จะไปเป็นภาระของชาวบ้านเขา ก็นะ เป็นคุณหนูซะขนาดนี้ จริงไหมครับ คุณ หนู เบส”

“ปากมึงนี่นะ อย่างน้อยๆ กูก็ทำกับข้าวอร่อยละว่ะ อีกอย่าง นี่มันคณะบริหารนะครับคุณซันนี่ ใครๆ เขาก็ลูกคุณหนูทั้งนั้นแหละ!” หากแต่อีกฝ่ายทำเพียงยักไหล่อย่างไม่สนใจ สวมใส่หูฟัง เปิดเพลงเสียงดังจนผมได้ยินทะลุออกมาข้างนอก ไม่ได้มีท่าทีสนใจข่าวสารที่พวกรุ่นพี่กำลังประกาศอยู่เลยแม้แต่น้อย

“เอาละคะน้องๆ พี่ขอนัดหมายกำหนดการก่อนนะ เดี๋ยวในวันพรุ่งนี้เราจะมีรับน้องกันนะคะ รวมถึงจับสายพี่เทคด้วยนะ ตลอดเทอมแรกของการรับน้อง ก็จะมีพี่เทคคอยดูแลนะ แต่ไม่เปิดเผยตัวตน น้องๆ ต้องออกตามหาเอง ถ้าใครหาไม่เจอ พี่เทคมีสิทธิ์ลงโทษน้องๆ ได้นะคะ ให้ทำอะไรก็ต้องทำนะ ไม่งั้นความช่วยเหลือทางด้านการเรียนก็จะไม่ได้รับด้วยนะคะ ส่วนกำหนดการของวันพรุ่งนี้นะก็คือ......” ผมนั่งฟังคำอธิบาย การนัดหมาย เวลา สถานที่ และกำหนดการคร่าวๆ จากพี่ที่กำลังถือไมค์พูดอยู่ด้านหน้า พอเวลา เที่ยงตรงก็ถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านกลับช่อง แล้วมาพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้

ผมหันไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองที่ฟุ้บหน้าลงอยู่ด้านข้าง ไม่ได้สนใจชาวบ้านเขาเลย เพื่อนๆ ในรุ่นต่างทยอยกลับออกไปจนหมด รวมทั้งพวกพี่ๆ ที่เข้ามาเก็บกาวและจัดเตรียมสถานที่ให้กลับสู่สภาพเดิมด้วย

“น้อง กลับได้แล้วนะ” เสียงของพวกพี่ๆ เขาเอ่ยปากบอก ผมก็ตอบรับกลับไปเบาๆ

“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเหล่มองเพื่อนสนิทของตัวเอง ที่ยังคงฟุ้บหน้านอนหลับไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด ในตอนที่ยื่นมือออกไปหวังจะปลุกไอ้ซัน ก็มีเงาสีดำใหญ่พาดผ่าน ทำให้ภาพตรงหน้าถูกบดบังด้วยร่างกายสูงใหญ่ ภายใต้เสื้อสูทพอดีตัว และมันก็เรียกให้หญิงสาวแถวๆ นั้นหวีดร้องออกมาได้

“เพื่อนน้องไม่สบายรึเปล่า” น้ำเสียงนั้นนุ่มทุ้มน่าฟังและมีความสุภาพอยู่ในที หากแต่คำถามนั้นทำให้ผมหัวเราะออกมา

“มันแค่นอนหลับเฉยๆ ครับ มันสบายดี” ผมเงยหน้าขึ้นตอบ ทำให้เห็นผู้ชายใบหน้าคมเข้ม เส้นผมสีดำสนิท ปรกหน้าข้างหนึ่ง แต่งตัวด้วยชุดสูทสีเทาเข้ม เข้ารูป เหมาะกับร่างกายที่ใหญ่โต และส่งเสริมให้คนๆ นี้ดูภูมิฐาน ถ้าบอกว่าเขาเป็นประธานบริษัทที่ไหนซักแห่ง ก็เชื่อว่ามันคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

“ไม่เป็นอะไรก็ดี รีบออกไปได้แล้ว พวกปี 2 จะได้ทำงานต่อ” ผมหันไปที่ด้านข้าง เห็นพวกพี่ๆ กำลังถือไม้กวาดคนละไม้คนละมือ เหมือนว่าผมจะขัดขวางการทำงานของพี่เขาอยู่ พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พี่คนนั้นก็เดินไปสั่งงานที่อื่นต่อแล้ว ผมจึงกลับไปสนใจเพื่อนของตัวเองตามเดิม ลงมือปลุกมัน แล้วลากมันออกจากห้อง พากลับบ้านด้วยกันในทันที

“พรุ่งนี้ พี่เขานัดที่ใต้ตึกคณะตอน 9 โมงนะมึง” ผมบอกกับไอ้ซันเบาๆ มันเองก็พยักหน้ารับ เพราะผมแวะเอามันมาส่งให้ที่บ้าน ก่อนจะเตะส่งมันลงจากรถไป แล้วปิดประตู สั่งให้คนขับรถพากลับบ้านในทันที ยิ้มน้อยๆ อย่างดีใจ เมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทจะเข้ามาเรียนที่คณะบริหารด้วยกัน อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้หายไปไหน.....

บทก่อนหน้า
บทถัดไป