บทที่ 6 แตงโม/ส้มโอ/มะพร้าวน้ำหอม
ในเช้าวันถัดมาผมก็ขับรถไปเรียนในวันแรก ซึ่งพี่ๆ เขาก็นัดใต้ตึกเหมือนเดิมแหละครับ เห็นบอกว่าจะพาไปดูห้องเรียน สอนดูรหัสห้องอะไรพวกนั้น มันก็มีบ้างบางวิชาที่เราต้องเรียนกับคนอื่นต่างคณะ ผมกับไอ้ซันมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันครับ โดยที่ผมมาถึงก่อน ส่วนมันก็ไปนั่งต่อแถวข้างหลัง หันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า คนๆ นั้นหน้าตาน่ารักเลยทีเดียว ดวงตากลมโต เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน สีเดียวกับนัยน์ตาของเขา ตัวเล็กผอมบาง เหมือนเด็กอายุ 14 15 ทั้งๆ ที่พวกเราทุกคนต่างอายุ 18 19 กันทั้งนั้น
พวกพี่ๆ เขาพาเราไปเดินดูห้องเรียนเมื่อเวลา 9 โมง ส่งเราเข้าห้อง กลุ่มของเราก็ได้สมาชิกใหม่มาเพิ่ม 1 คน คือนายน่ารักคนนั้นนั่นเอง ชื่อเจ้านายครับ เห็นบอกว่ามาไม่ทันช่วงรับน้อง พวกเราก็เลยไม่เคยเห็นเขามาร่วมกิจกรรมเลยสักครั้ง เขาน่ารักนะ เข้ากับคนง่าย ขี้อาย หน้าตาน่ารัก พวกเพื่อนๆ มองกันเป็นแถว แถมยังชอบออดอ้อนอีกด้วย เหมือนเด็กเลยครับ
สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายคือไอ้วุฒิครับ อาการแปลกไปตั้งแต่ที่เห็นหน้าของเจ้านายแล้ว ขอจับจองพื้นที่ข้างตัวของเจ้านาย ไม่ค่อยได้คุยอะไรมากหรอก เอาแต่จ้องหน้าเจ้านายอยู่นั่น จากตอนแรกที่สังเกตเห็นทีแรกคือมันชอบจ้องไอ้เพชร แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาจ้องมองไอ้นายแทน ผมว่า.... ผมเริ่มจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้หน่อยๆ แล้วละ
ในวันแรกของการเรียนไม่ค่อยมีอะไรมากมายเท่าไหร่นัก แนะนำรายวิชา แล้วก็ปล่อย เพราะว่าเลิกไว เลยต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ ไอ้วุฒิก็กลับไปห้องมัน ไอ้นายก็มีคนมารับไป ส่วนผมก็มากับไอ้ซันครับ ขึ้นรถมันนั่นแหละมา มาดูห้องตามที่สัญญากันเอาไว้
ห้องของไอ้ซันก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่อย่างที่มันว่านั่นแหละครับ ระบบป้องกันความปลอดภัยก็ธรรมดา มีแค่ รปภ. เพียงคนเดียวที่ดูแลทั้งตึก ต่างจากของผมแบบลิบลับ เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงไม่อยากให้ผมมา ผมไปนั่งลงบนโซฟาที่มีอยู่ภายในห้อง ส่วนเจ้าของห้องก็ไปอาบน้ำแต่งตัวล้างคราบเหงื่อไคลออกจากร่างกาย ในขณะที่สายตาของผมก็กวาดมองไปรอบๆ อย่างสนใจ ก่อนจะผุดตัวขึ้น เดินออกไปดูที่ระเบียงห้อง มีพวกกระทะ กะละมัง อุปกรณ์ทำครัว กับซักผ้า มีลวดขึงเป็นราวแขวนเอาไว้เส้นบางๆ
พอดูเสร็จก็กลับมานั่งที่โซฟาตามเดิม เปิดรายการทีวีฆ่าเวลา จนเมื่อเจ้าของห้องอาบน้ำเสร็จ ก็เดินออกมาทั้งๆ ที่มีผ้าขนหนูพันกายท่อนล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ผมเลื่อนสายตาไปมองเพียงเล็กน้อยแล้วกลับมาสนใจรายการตรงหน้า ไอ้ซันเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอีกฝั่ง แต่งตัวตรงนั้น ก่อนจะขยับเลื่อนไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ทาหน้าทาครีม ฉีดน้ำหอมของมันไป ก่อนจะกระโดดขึ้นมานั่งที่โซฟาข้างๆ ผม แขนวางพาดที่ด้านหลัง
“หิวป้ะ?”
“ไม่” ผมตอบกลับไปโดยไม่ได้หันไปมองหน้ามัน ดวงตามองจ้องหนังที่ฉายอยู่ในทีวีอย่างสนใจ กำลังสนุกเลยครับ แนวสืบสวนสอบสวน ใกล้จะตามล่าตัวคนร้ายได้แล้วด้วย
“อืม” ไอ้ซันตอบรับในลำคอ แล้วเงียบเสียงไป จนเมื่อหนังของผมโฆษณา ถึงได้หันไปสนใจมันอีกครั้ง
“มองอะไร” ถามพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้ซันกะพริบตาปริบๆ เมื่อกี้เหมือนว่ามันเหม่องั้นแหละ พอผมส่งเสียงเรียก ก็เลยดึงสติของมันกลับมา ผมหันไปมองทิศทางที่ไอ้ซันมอง ก่อนจะเข้าใจในไม่ช้า เมื่อที่ตึกฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่างห้องมันเป็นรูปโฆษณาเชิญชวนทำศัลยกรรม พรีเซนเตอร์ก็สาวสวยเลยทีเดียว เข้าใจได้ไม่ยาก....
“ฟินเลยดิ มีให้ดูทุกวัน” ผมหันมาคุยกับคนข้างๆ มันก็ทำหน้างง จึงบุ้ยปากบอกไปทางรูปนั้น
“เออ ฟินดิ เดี๋ยวตอนกูช่วยตัวเองจะดูรูปเขาไปด้วย แม่งสวยฉิบหาย เป็นผู้ชายกูก็เอาว่ะ”
“ขอแค่สวยมึงก็เอาเขาไปทั่วแล้วรึไง ระวังโรคนะมึง” ผมพูดพลางส่ายหัว ในใจมันคันยิบๆ อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะหันมาสนใจหนังอีกครั้ง
“กูป้องกันตลอดเหอะ ไม่เสียบสดโว้ยยย”
“ให้มันจริง” ผมพูดพลางยักไหล่ ส่วนไอ้ซันก็ล้มตัวลงนอนทับตักของผมที่กำลังขัดสมาธิอยู่บนโซฟา ฝ่ามือของผมก็เล่นๆ ดึงๆ เส้นผมของไอ้ซันมันไปพลาง ผมนั่งดูหนังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังจบ ถึงได้ปลุกคนที่เผลอหลับให้ออกไปหาข้าวกินกัน มันก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วจึงพากันขึ้นรถ ไปหาร้านข้าวแถวๆ นี้ทาน
“แถวนี้มีอะไรอร่อยว่ะ”
“ยังไม่รู้เลยว่ะ กูพึ่งมาได้ไม่กี่วันมั้ยละ มึงก็แวะมาบ่อยๆ แล้วไปเทสเองสิ”
“เออ กูก็อยากลองเหมือนกัน” พูดพลางกดนิ้วในโทรศัพท์จึกๆ ๆ ก่อนจะบอกทางให้มันขับตามไป
จนเรามาถึงร้านห้องแถวธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง แต่มันไม่ธรรมดาที่ว่าเคยไปออกรายการทีวีแล้วได้รับการันตีมาว่า อร่อยเด็ดจริงๆ ผมจึงไม่รอช้า เข้าไปสั่งเมนูยอดฮิตมาทาน ต้มยำกุ้งน้ำข้น เกี๊ยวรวมมิตรทะเลนึ่ง ยำสามกรอบ ปลากะพงราดพริก ชุดซามูไร (รวมผัก+หมู ชุบแป้งทอด) ซี่โครงอบซอส ข้าวสวยหนึ่งโถ น้ำเปล่า 2 ขวด
“สั่งแบบมากันสัก 10 คนเลยนะมึง ถ้าแดกไม่หมดกูยีหัวมึงแน่ รู้ไหมราคาแต่ละจานมันเท่าไหร่” ไอ้ซันพูดพร้อมๆ กับชี้หน้าคาดโทษ
“รู้สิ ไม่เกิน 2 พัน” อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะก้มหน้าลง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียว สายตาก็มองหน้าจอไปด้วย
“ทำไรวะ” ถามแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อขอดูหน้าจอของไอ้ซัน หากแต่เจ้าตัวกลับยกหนี เอาไปไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง บ่งบอกชัดเจนว่ายังไงก็ไม่ให้ดู ผมจิ๊ปาก ก่อนจะกลับมานั่งตามเดิม หยิบเอาของตัวเองมาเล่นบ้าง แต่ทันทีที่เห็นก็ต้องหน้าบึ้งตึง เบะปากอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“เป็นไรว่ะ” ไอ้ซันมันถามพร้อมกับชะโงกมาดูโทรศัพท์ผมบ้าง ผมเอามือยันหน้ามันเอาไว้ ดันออกหน่อยๆ
“ไม่เสือกดิครับ”
“ห่า ก็เห็นหน้าบึ้งเบะปากจนจะเป็นอึงอ่างอยู่ละ ถึงได้ถาม ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ควาย”
“เอ้า แล้วมึงมาด่ากูไม” ถามพลางขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้คุยอะไรต่อ อาหารก็ทยอยนำมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ เราก็เริ่มต้นทานอาหารครับ แต่ทันทีที่คำแรกเข้าปากก็เงยหน้ามองตากัน ก่อนจะพยักหน้าให้ช้าๆ แล้วเริ่มทานต่อ ทานกันไปได้สักพักก็พากันออก จัดการชำระเงิน ตามที่บอกครับ ไม่เกิน 2 พัน แค่พันต้นๆ เท่านั้นเอง ก็หารกันไปครึ่งๆ
“รสชาติแม่งเหี้ยมาก”
“เออ ครับ ไม่รู้ว่าได้รางวัลมาได้ไง” ผมตอบกลับไอ้ซันอย่างเห็นด้วย ที่นั่งทานต่อนั่นเสียดายของนะครับ ถึงพยายามทานให้ได้มากที่สุดเท่าที่ไหว และเสียดายมากครับเมื่อไม่ได้ให้เขาห่อใส่กลับบ้านมา อย่างน้อยๆ หมามันอาจจะกิน ไอ้ซันเอามือเสยผมอย่างหงุดหงิด
“ยังไม่ได้ก้นกระเพาะกูเลย แม่ง” ฝ่ามือใหญ่ๆ ของมันลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ ทำท่าหมาหงอย ก่อนจะเอ่ยชวน
“ไปหาที่อื่นแดกกันป้ะ?”
“ไม่ละ พากูไปส่งมหาลัยหน่อย กูมีธุระ” ไอ้ซันจิ๊ปากขัดใจ แต่ก็ยอมพาไปส่งแต่โดยดี
ผมกับมันบอกลากันเล็กน้อย แล้วแยกกัน ผมเดินไปที่รถของตัวเอง ขึ้นรถได้ก็ขับออกจากมหาลัยทันที มุ่งตรงกลับบ้าน ย้ำนะครับ บ้าน ไม่ใช่คอนโด ผมมาถึงในเวลายามเย็นราวๆ 6 โมงนิดๆ ก็ถูกพี่คมเข้าชาตร์ พาลากเข้าห้องตัวเอง ดุดันหลังให้เข้าไปในห้องน้ำ
“ภายใน 10 นาทีนะครับคุณหนูเบส” พี่คมพูดแค่นั้นแล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ แล้วผมจะไปต่อต้านได้ยังไง เผด็จการกันขนาดนี้ ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเริ่มอาบน้ำ แล้วเสร็จก่อนเวลาเล็กน้อย พอออกมาเสื้อผ้าก็ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วครับ หยิบมาใส่อย่างเซ็งๆ หนีตอนนี้ดีไหมว่ะ โดดออกหน้าต่างแม่ง และผมคงจะทำจริงๆ ถ้าไม่ได้อยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน แถมด้านล่างเป็นพุ่มเฟื่องฟ้าอีกต่างหาก บอกเลย โดดลงไปมีได้เลือดแน่นอนครับ หนามมันใช่แท่งน้อยๆ เสียเมื่อไหร่
จนเมื่อแต่งตัวเสร็จ ก็เดินมาที่หน้ากระจก ที่มีอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม เครื่องประดับวางอยู่ ผมทาครีมบำรุงบนใบหน้า ให้เหมาะสมกับลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตและคิดค้นเครื่องสำอาง ก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของที่บ้านตัวเอง ถูกไหมครับ พอทาเสร็จแล้ว ก็ขยับไปที่รูปภาพที่ถูกเสียบเอาไว้ ปากกาเมจิกสีน้ำเงินวงที่ทรงผม เป็นการบ่งบอก ผมก็จัดการตามนั้นทันที พอแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็เดินออกไปข้างนอก พี่คมก็ดุนดันหลังให้รีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ผมนั่งข้างหลัง พี่คมนั่งหน้า คนขับรถก็ออกตัวด้วยความรวดเร็วเมื่อประตูปิดสนิทลง
ผมนั่งไขว่ห้าง มือถูกยกขึ้นเท้าคาง สายตามองออกไปที่ด้านนอกตัวรถ มองแสงสีที่ปรากฏเป็นดวงๆ ด้วยความเบื่อหน่าย
“ผมต้องทำแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่”
“ตลอดชีวิตครับคุณหนูเบส”
“หึ” ผมหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง บางทีก็คิดนะ ว่าเป็นแบบไอ้ซันมันก็ดี ชีวิตมันมีความสุขทุกวัน พ่อของมันทิ้งมันกับแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก แม่มันจึงรับภาระเลี้ยงดูมาตั้งแต่มัน 1 ขวบได้ มันเคยพยายามถามแม่มันเหมือนกัน ว่าพ่อตัวเองคือใคร แต่แม่มันเลือกที่จะเงียบเป็นคำตอบ และตัดบทด้วยการเดินหนีทุกครั้ง มันจะตามไปคาดคั้นก็ได้ แต่ถ้าไม่เพราะทุกครั้งที่พูด น้ำตาของแม่มันก็จะคลอขึ้นมาทุกครั้ง จากที่เด็กๆ ถามหาบ่อยๆ พอโตมาก็เลิกที่จะพูดถึง แล้วทุ่มเทความรักให้แม่มันคนเดียว
นี่คือสิ่งที่ผมรับรู้มาจากการถามไอ้ซันว่าพ่อของมันไปไหน ในบ้านก็ไม่มีรูปภาพให้เห็น มันก็เลยเล่าให้ฟังคร่าวๆ มาแบบนี้ ผมว่าที่มันชอบเพลง เพราะมันต้องทำงานนี่ละครับ พอมันโตขึ้นหน่อย ก็ออกประกวด ออกแข่งขัน ร้องเพลงไปตามเรื่องตามราว ถ้ามีแมวมองมาทาบทามตัวมันผมก็จะไม่แปลกใจเลย และเพราะแบบนี้เอง มันจึงพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง มันก็เก็บของมันไป แม่มันก็เก็บแยกไปอีกที ต่างคนต่างเก็บเงิน แม่ไอ้ซันถึงได้ออกรถมือสองให้ ให้เงินจำนวนหนึ่งให้ซื้อข้าวของเพิ่มเติม ในขณะที่มันทำหน้าที่หาหอพัก จ่ายค่าเช่าเอง อ้อ แม่มันรับภาระในการจ่ายค่าเทอมให้ครับ มันก็ 2 – 3 เดือนจ่ายทีอ่านะ จำนวนเงินก็กลางๆ ไม่ได้หนักหนาสำหรับแม่มันเท่าไหร่ แต่ว่าไอ้ซันต้องจ่ายค่าหอ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหารเอง
ความคิดของผมหยุดชะงักลงเมื่อรถคันหรูมาจอดนิ่งอยู่ที่โรงแรมชื่อดังระดับ 5 ดาว พี่คมลงจากรถ เดินมาเปิดประตูให้ผม ผมเองก็ก้าวขาลงมา พอยืดตัวเต็มความสูงแล้วก็ขยับเสื้อสูทอีกนิดหน่อย ให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่ทางเข้า โดยมีพี่คมคอยเดินตามหลังมา
“เข้าร่วมงานไหนคะ” พนักงานกดลิฟต์ถามขึ้น ทำให้ผมหันไปมองพี่คมเพื่อขอคำตอบ
“งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทโสภาครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วกดชั้นที่ต้องไปให้ผม ต่างจากผมที่เดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่ขมวดหมุน บริษัทใครวะครับ?? และเหมือนพี่คมจะมองออกจึงตอบกลับมาเบาๆ
“บริษัทคู่ค้าของราชบดินทร์ครับ” ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วจึงมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าถูกฉาบด้วยความเย็นชาและเคร่งขรึม มันเป็นแบบนี้เสมอเมื่อต้องสวมใส่หน้ากากเวลาทำงานหรืออยู่กับบิดา ต่างจากตอนที่อยู่กับเพื่อนๆ เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่
พอขึ้นมาถึงชั้นที่ว่า สายตาก็กวาดมองออกไปทั่วๆ งาน จนพบกับบิดามารดาตัวเอง จึงมุ่งตรงเข้าไปหาอย่างไม่รอช้า ยกมือไหว้สวัสดีทั้งป๊าและม๊า และแน่นอนครับ ตามสเต็ป แนะนำตัวให้คนที่กำลังพูดคุยด้วยรู้จัก ผมก็แนะนำตัวไปตามมารยาทกลับไป ก่อนจะต้องติดตามป๊าและม๊าเดินไปทั่วงาน ทักคนนู้นที คนนี้ที ได้รู้จักกับลูกสาวลูกชายของอีกฝ่าย เรียกได้ว่าเดินกันจนเมื่อยขา แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“สวัสดีครับคุณจรัญ สบายดีนะครับ”
“ครับ สบายดีครับ แล้วคุณเดชากับคุณกรรณิการ์สบายดีนะครับ”
“สบายดีเช่นกันค่ะ” ม๊าของผมเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายหันไปที่ด้านข้าง ผายมือไปยังคนตัวสูงที่ดูยังหนุ่มยังแน่น ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกัน
“นี่ลูกชายผมครับ กิตติวัน”
“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ที่ฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่แล้วความคิดของผมก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อพ่อของผมก็แนะนำตัวผมเช่นกัน
“นี่ลูกชายผมครับ รพีพัฒน์ น่าจะเด็กกว่าคุณกิตติวันนะครับ”
“สวัสดีครับ”
“เรียกผมว่าท็อปก็ได้ครับ”
“อ๊าาาา” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดังจนป๊าตวัดสายตาหันมามอง ไม่ใช่แค่ป๊าหรอก หันมาทั้งวงเลยนั่นละ ทำให้ผมตะครุบมือตัวเองไว้แทบไม่ทัน
“อย่าเสียมารยาท” ป๊าเอ่ยเสียงนิ่ง ออกจะตำหนิเล็กน้อย แต่คู่สนทนากลับหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยปากแทน
“จำพี่ได้แล้วใช่ไหมครับ”
“อ่อ ครับ ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาทเมื่อสักครู่” หันไปตอบรับพี่ท็อป แล้วจึงเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง คุณจรัญเลิกคิ้วอย่างสนใจ ถามสิ่งที่สงสัยออกมา
“รู้จักกันหรอ?”
“คุณรพีพัฒน์เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยครับ”
“เรียกผมว่าเบสก็ได้ครับ” พี่ท็อปพยักหน้าน้อยๆ เชิงรับรู้
“โชคดีจังเลยนะคะ จะได้ฝากให้น้องท็อปดูแลน้องเบสให้ด้วยเลย ถ้าเกเรก็จัดการได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ม๊า” ผมเอ่ยปากเรียกอย่างไม่ค่อยชอบใจ ทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ที่พ่อแม่ต้องมาพูดฝากฝังกับคุณครูอย่างนั้นแหละ
“พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยว่างได้เข้ามหาลัยเลยครับ เข้ามาฝึกงานกับคุณพ่ออยู่ ถ้ายังไงพี่จะแวะเข้าไปหาบ่อยๆ แล้วกันนะ” ผมเองก็ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป จึงได้แต่ยิ้มบางๆ พวกเราพูดคุยกันอีกนิดหน่อย แล้วก็แยกย้ายกัน
“ผมกลับได้รึยัง” ตอนนี้ผมหิวโคตรๆ เลยครับ อาหารที่โรงแรมจัดมันก็อร่อยนะ รสชาติดีเลยแหละ สมกับ 5 ดาวที่เขาได้มา แต่มันไม่อยู่ท้องไง เป็นอาหารทานเล่นจานเล็กๆ ถ้าจะกินจนอิ่มก็ต้องตักหลายรอบหน่อย ผมอยากทานข้าวเป็นจานๆ ไปเลยมากกว่า ป๊าพลิกนาฬิกาขึ้นมาดู ก่อนจะพยักหน้าให้
“ไปอยู่คนเดียวแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าไปเหลวไหลเหมือนเพื่อนของแกให้มากนัก” คำพูดนั้นทำให้ผมหันหน้าไปมอง ม๊าขยับเดินเข้ามาใกล้ จับแขนของผมไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจและห้ามปรามอยู่ในที ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ผมได้เรียนรู้หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างก็เพราะมัน มันทำให้รู้เรียนรู้วิถีชีวิตที่ธรรมดาๆ แต่มีความจริงใจ มันดีกว่าสังคมจอมปลอมที่ป๊าพาผมเข้ามาเสียอีก ผมกลับก่อนนะครับม๊า สวัสดีครับ” ผมบอกลาม๊าและหอมแก้มนุ่มของม๊า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างไม่สนใจ พอพี่คมเห็นผมเดินออกมาที่ประตูทางออก ก็ผุดตัวเดินเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วเข้าลิฟต์ไปโดยที่มีพี่คมตามหลังมา
พอลงมาที่ด้านล่าง รถยนต์คันหรูก็จอดรอนิ่งอยู่ก่อนแล้วพี่คมรีบมุ่งตรงไปเปิดประตูรถให้ หากแต่ผมกลับเดินไปที่รถสีเหลืองคาดเขียวที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่ ทำให้พี่คมรีบเดินตามมาในทันที ก่อนที่ผมเอ่ยปากด้วยความเย็นชา
"รบกวนพี่คมให้คนส่งรถของผมไปที่คอนโดด้วยครับ ภายในวันพรุ่งนี้ก่อน 8 โมงเช้านะครับ ผมมีเรียนตอน 9 โมง สวัสดีครับ” ว่าจบก็ปิดประตู เมินพี่คมที่ยืนอยู่ ผมบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับรถรับทราบ พลางแกะกระดุมชุดสูทออกจากตัว ถอดเนกไทออก แกะกระดุมคอเสื้อลงมา 3 เม็ด ยีผมให้เสียทรงแล้วจัดทรงใหม่ที่เป็นตัวของตัวเอง
พอมาถึงแล้วก็จ่ายเงิน ก้าวลงจากรถ มุ่งตรงไปสั่งข้าวมาทาน ผมสั่งไปหลายอย่างเลยครับ หิวฉิบหาย กินไม่หมดก็ช่างแม่ง อาจจะเอาห่อกลับบ้านถ้ามันเหลือเยอะเกินไปจริงๆ เอาไว้เลี้ยงชีวิตในวันถัดไป
โอ้ นั้นมันบักแตงโม
เสียงเพลงที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่าน้ำเสียงที่คุ้นเคย จึงหันไปมองที่เวทีที่มีนักร้องกำลังดีดกีต้าร์ ตาก็มองจ้องหญิงสาวคนหนึ่ง
โอ้ นั้นมันบักส้มโอ
ในคราวนี้ สายตาที่ทอประกายสีน้ำตาลอ่อน เลื่อนสายตาไปหาผู้หญิงที่อีกฟากหนึ่งของเวที ทำให้คิ้วของผมกระตุกยิ้กๆ
โอ้ นี้คงเป็นบักพร้าวน้ำหอม
ในครั้งนี้ สายตาของนักร้องมองมุ่งตรงมาที่ข้างหน้า ซึ่งก็คือสาวสวยอีกนั่นละ สั่นเลยครับ ส้อมในมือเนี้ย สั่นเลยครับ!!!
โอ้ จักมานูอองตองแท้
โอ้คือเป็นตามันยกร่องแท้หนอ (ป๊าดเหลือใจ)
โอ้ คือมาใหญ่เอาฮ้ายแท้
โอ้ เห็นแล้วอยากได้
คือสิเป็นตาไปขั้นเฮ็ดน้ำ
(น้ำหยังละ น้ำกะกะกะทิ)
ฮู่บ่ว่าอ้ายนั้นมักคนดี
ฮู่บ่ว่าอ้ายแพ้ความขาวจังซี่แท้เด้
เทิ้งขาว เทิ้งยาว เทิ้งใหญ่
ลูกผู้ใดมาถึกใจแท้หนอ
อันนั้นละมันละของแท้บ่
จากมูนพ่อหรือจากมูนแม่
เป็นหยังคือให้มาหลายแท้
ให้หลายจนหาเสื้อใส่บ่ได้
เว้ามากะเป็นตาอ้ายเหลือใจ
จนเก็บไปฝันคิดฮอดเจ้า
ว่าได้กอดได้หอมได้ดอมดม
ได้ชื่นได้ชมได้ดมเจ้า
ได้ฮอด โอ๊ย คือสิดีถ้าเป็นจังซี้ทุกอย่าง
ได้ถอดเกิบหย่างในนาท่งน้อย
ได้เก็บบักหอยมาก้อยกินกับเจ้า
มื้อนี้ละสิเอาข้าวขึ้นเล้า
ไปๆ หาแนวมาเป่า ท่าแหม
เพลง บักแตงโม: วงฮันแนว
ผมค่อยๆ คลายมือที่กำลังกำแน่นอยู่ออกช้าๆ ถอนหายใจน้อยๆ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน..... เราเป็นได้แค่เพื่อนสนิท เราไม่ใช่คนรักของกันและกัน ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะหึงหวงมัน ได้แต่เก็บเอาไว้รู้สึกแค่คนเดียว... คิดพลางถอนหายใจ หลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นพี่เจ้าของร้านมายืนอยู่ตรงหน้า
“สวัสดีครับ”
“มารับซันหรอ?” อีกฝ่ายพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนจะถามคำถามกลับมา
“เปล่าครับ ผมแวะมาหาข้าวทาน ร้านพี่ทำอร่อยดี” พูดพลางตักอาหารเข้าปาก พี่เขาก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไขว้ขาสบายอารมณ์ มือข้างหนึ่งพาดบนพนักพิง ส่วนอีกข้างก็ยกนิ้วชี้ลูบริมฝีปากตัวเอง พูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าผม เหมือนชวนคุยเรื่อยๆ มากกว่า
“วันนี้แต่งตัวแปลกไปนะ”
“อ้อ ครับ ไปงานเลี้ยงมาครับ”
“ก็เลยหิวข้าวใช่ไหม”
“ฮะๆ ครับ อาหารของเขาก็อร่อยนะ แต่มันไม่อยู่ท้องผมน่ะสิ”
“ก็น่าอยู่หรอก กินแบบนี้จุกตายพอดี” พี่ต้องพูดพลางผุดตัวลุกขึ้น หันมาบอกเบาๆ
“ไปละ กินไม่หมดก็บอกให้เด็กห่อกลับเอานะ อยากได้อะไรเพิ่มก็เรียกเด็กได้ตลอดเลย”
“ครับ” ผมตอบรับกลับไป อีกฝ่ายพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป คุยกับแขกโต๊ะอื่นๆ ต่อ ผมก็นั่งฟังไอ้ซันมันร้องเพลงของมันไป กินข้าวไปพลาง จนเหมือนว่าจะหมดชั่วโมงของมันแล้ว มันถึงได้เดินลงจากเวที แล้วก็มีนักร้องคนอื่นขึ้นไปแสดงต่อ พี่ต้องนี่เข้าใจหานักร้องนะครับ เสียงดีไม่พอหน้าตาต้องดีด้วย ทำไมไม่จับทำอัลบั้มเลยว่ะ รวยเละแน่นอน แม่งเอาแต่คนหน้าตาดีๆ มาร้องเพลง อ้อ ยกเว้นไอ้ซันไว้คน ไอ้นั่นหน้าเหี้ยครับ (แต่ก็ทำให้ใจเต้นได้ตลอดอยู่ดี)
“มาตอนไหนวะ” แรงทิ้งตัวที่ด้านข้างทำให้หันไปมอง ก่อนที่มันจะแย่งช้อนของผมไปแล้วตักข้าวกินเอาๆ เวร ยังไม่อิ่มเลย
“ไม่เสือกดิครับ” ว่าพลางแย่งช้อนกลับคืนมา มันจึงหันไปบอกพนักงานว่าขอจานเปล่ากับช้อนส้อมคู่หนึ่งมาเพิ่ม ระหว่างรอมันก็มองสำรวจผมไปด้วย
“ไปงานมาหรอ”
“บอกว่าไม่เสือกไงครับ” พูดพลางฉีกยิ้มหวานๆ จนมันจับหมับเข้าที่หน้า ยืดไปยืดมาจนเจ็บกระพุ้งแก้มไปหมด
“ถึงว่า ทำหน้างอ โดนลากไปออกงานนี่เอง งั้นแดกๆ เข้าไปเยอะๆ” ไอ้ซันยืดแก้มผมจนพอใจ ก่อนจะตบๆ แก้มเป็นการส่งท้าย แล้วตักข้าวในโถ่มาเพิ่มให้ ตักเหมือนประชดอะ หนึ่งช้อนถ้วน ไม่ใช่ช้อนทัพพีนะครับ ช้อนข้าว ไอ้ห่า... ไอ้ซันหัวเราะ หึหึ เมื่อโดนผมมองแรง ก่อนที่มันจะตักข้าวให้ตัวเองบ้าง
“ตกลงมานานยัง”
“สักพัก”
“แล้วมาไง”
“แท็กซี่ แล้วมึงละ มาเล่นตั้งแต่กี่โมง”
“ตั้งแต่แยกจากมึงอะ มาถึงตอน 5 โมงครึ่งได้มั้ง หิวสัส แดกซะเยอะเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยขอร้องเพลงหาตังค์จ่ายค่าข้าวด้วยเลย นับรวมๆ แล้วก็ 3 ชั่วโมงละ”
“ไม่เจ็บคอหรอวะ แดกน้ำไหม”
“ไม่เป็นไร พี่ต้องเขาเตรียมไว้ให้แล้ว หว๊านหวาน รสชาตินุ่มละมุน หึหึ” มันพูดพลางชูขวดเหล้าที่ไม่รู้ว่าว่างตั้งไว้ตั้งแต่ตอนไหน
“อีกอย่าง ไม่ได้เล่นยิงยาว 3 ชั่วโมงหรอก สลับพักบ้างบางที” ผมพยักหน้ารับหน่อยๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะชะงักช้อนที่กำลังตักเข้าปาก
“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวคนนี้ คนทางซ้ายที่ไอ้ซันมันมอง บักแตงโม...
“ครับ”
“ขอเบอร์ได้ไหม?” ไอ้ซันกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้อีกฝ่าย หญิงสาวก็กดรับไป กดๆ อยู่สักพัก เสียงริงโทนก็ดังขึ้น ไม่ใช่ของพวกผมหรอก ของบักแตงโม
“ชื่ออะไรครับ มีเพื่อนมาไหม สนใจนั่งด้วยกันไหมครับ” ไอ้ซันเอ่ยชวนไม่ถามความเห็นผมสักคำ
“เสียดายจังค่ะ กำลังจะกลับแล้ว ตอนแรกก็ไม่อยากจะรบกวน เพราะเห็นว่ากำลังทานอาหารอยู่ แต่ถ้าไม่เข้ามาทักก็จะพลาดโอกาสไป อ้อ ฉันชื่อบอลลูนค่ะ”
“ชื่อน่ารักจังนะครับ ชื่อดูยิ่งใหญ่สมตัว” ไอ้ซันพูดพร้อมกับมองลงไปที่แตงโมของมันในที่แรก หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ปิดปากน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยบอก
“ของปลอมค่ะ ซิลิโคน ลองจับหน่อยไหมคะ”
“ไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยวบอลลูนจะเสียหาย แต่ถ้าอยู่กันสองคน... ก็ไม่แน่” พูดพร้อมกระตุกยิ้ม สาวเจ้าก็สบตาอย่างเข้าใจความหมาย แล้วจึงบอกลาเดินจากไป หลังจากนี้มันได้ฟันแน่ๆ ครับ บอกเลย ไอ้ซันกับผมก็ทานอาหารกันต่อ จนเมื่อทานเสร็จแล้วไอ้ซันก็หันมาดื่มแทน จากขวดที่พี่ต้องให้นั่นแหละ ในขณะที่กำลังคุยๆ กันอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมแก้วเหล้าในมือ
“ขอโทษนะคะ ขอชนแก้วหน่อยได้ไหม” บักส้มโอ.... ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงได้ฟันสาวแล้วทิ้งเยอะแยะนัก มันไปอ่อยไปแซวเขาก่อน แล้วรออีกฝ่ายเข้ามาหาถ้าเขาเล่นด้วย ไอ้ซันยิ้มกว้าง ใบหน้าทะเล้น ก่อนจะยกแก้วเหล้าชนกับสาวเจ้าเบาๆ แล้วก็ตามสเต็ป ขอไลน์ ถามชื่อ รอนัดแนะ หลังจากนั้นก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเข้ามาหาไอ้ซัน ผู้หญิงมาอ่อย ผู้ชายมาชม ส่วนผมหรอครับ ก็มีครับ แต่ผมไม่เล่นด้วย ตอบรับแบบขอไปที อีกฝ่ายเลยไม่สนใจจะสานต่อเท่าไหร่
พอทานกันเสร็จเราก็ตกลงที่จะกลับ คิดเงินคิดค่าเสียหายอะไรเรียบร้อยแล้วก็พากันลุกขึ้น ก่อนที่จะมีหญิงสาวเดินมาขวางหน้าไอ้ซันเอาไว้ บักมะพร้าวน้ำหอม...
“จะกลับแล้วหรอคะ”
“ครับ” ไอ้ซันตอบกลับเบาๆ แต่สายตาแพรวพราว หญิงยกมือขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของไอ้ซันก่อนจะกระซิบถาม
“คืนนี้ว่างไหมคะ อยากจะพาไปทานเงาะสักหน่อย” อีกฝ่ายกระซิบถามพร้อมกับขบหูไอ้ซันไปด้วย ที่ผมได้ยินเพราะยืนอยู่ข้างหลังมัน
“มึงไปเหอะ กูกลับเองได้” พูดพลางเดินกระแทกไหล่ของมันหน่อยหนึ่ง ให้รู้ว่าไม่พอใจ ในสถานะอะไรวะ?? ผมจะไม่พอใจมันในสถานะอะไรได้บ้าง? เพื่อนสนิทแต่ไม่คิดจะไปส่งงี้หรอ มันก็ต้องไปเอากับสาวก่อนอยู่แล้วป่ะว่ะ แม่ง ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่ฟุตบาท ตั้งใจจะเรียกแท็กซี่กลับคอนโด แต่ฝ่ามือร้อนๆ ที่วางอยู่บนไหล่ทำให้หันไปมอง
“ขี้งอนนะเรา” ไอ้ซันวาดแขน คล้องคอของผมไว้ ก่อนจะดึงลากให้ไปที่รถมัน จับผมยัดเข้าไปนั่ง แล้วมันจึงตามมา
“ไม่ไปกับเขาแล้ว?”
“เออ ไว้วันหลัง วันนี้ต้องเอามึงกลับห้อง ไว้ค่อยนัดกันอีกที” ไอ้ซันพูดเสียงนิ่ง ดวงตามองออกไปที่ถนนเบื้องหน้า
“มึงไม่ต้องสนใจกูก็ได้เปล่าว่ะ นั่นมึงจะได้กินเงาะเลยนะเว้ย”
“ก็สาวนั่นกูเอาไว้กินแค่ครั้งเดียว มึงก็รู้ แต่กับมึงน่ะ เพื่อนสนิทกูนะ เป็นเพื่อนกูมาตั้งกี่ปี ถ้ามึงงอน กูขี้เกียจง้อ” คำพูดเหมือนจะดี ถ้าไม่มีคำต่อท้ายละก็นะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันกลับทำให้ผมยิ้มออก ก่อนจะตอบรับเสียงเบา
“เออ แล้วแต่มึง” พูดแล้วหันหน้าหนี มองจ้องออกไปนอกตัวรถ มองถนนที่ขับผ่านมา โดยที่มีเสียงเพลงดังคลออยู่ตลอดเวลา และมีเสียงร้องเพลงแทรกเข้ามาในบางที แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงแม่งหุบยิ้มไม่ได้เลย.....
