บทที่ 5 chapter 5
ชมบุหลันสลัดความรู้สึกเดี๋ยวก็หนาวจนขนลุกซู่แต่เดี๋ยวก็ร้อนราวกับจับไข้ยามสบกับสายตาคมเข้มที่ทอดมองมา หันไปให้ความสนใจกับแม่ผู้หญิงออกงิ้วตรงน่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ ปากอิ่มยู่ยื่นไป พลางยกนิ้วยาวขึ้นมาเคาะข้างแก้ม พร้อมทำเสียงขลุกขลักๆ ในลำคอ
“ส่งเสียงแปดหลอดอย่างนี้ ระวังผู้ชายเขารำคาญ จนรีบถอยหลังหนีไม่ทันนะคะคุณพี่สาวหน้างิ้ว เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน แล้วก็ไม่อยากรับความผิดที่ไม่ได้ก่อด้วย”
รอยยิ้มแต้มบนมุมปากด้านหนึ่ง เจอสายตาเข้มดุที่ใครๆ เห็นต้องหนาวสั่นไปเสียทุกราย แต่สาวน้อยตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะกริ่งเกรง มิหนำซ้ำยังกลับหาญกล้ามองสบ พลางเลิกคิ้วเหมือนท้าทายเสียอีก กายแกร่งเอนตัวเอนอิงและพาดแขนกำยาไปตามความยาวของโซฟาตัวนุ่ม พลางตวัดยกขาแกร่งขึ้นพาดบนขาอีกข้าง
“เธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน”
ชมบุหลันถอนหายใจอย่างรำคาญ ก้มลงมองสองเท้าของตัวเองที่ความจริงแล้วก็ไม่เห็นอะไรหรอกนะ แต่...เธอรู้สึกหงุดหงิดกับคำถามไม่มีความคิด ที่ต้องหาทางระบายออกด้วยการ...กวนประสาทคนเท่านั้นเอง!
“คุณนี่...ถามแปลกอีกคนแล้ว” ทำเสียงขลุกขลักในลำคออย่างเอือมระอา ชี้มือลงไปที่เท้าตัวเอง “ตาไม่ได้บอดไม่ใช่หรือไง ถึงมองไม่เห็น...ฉันเป็นคนปกติไม่ได้พิกลพิการ มีขาก็เดินเข้ามานะซิ อ๋อ...หรือฉันต้องรอให้คุณไปเชิญด้วยการ...อุ้มพามาจากห้องนอนนะ”
“นี่เธอ...” พิมพ์มาดาแผดร้องเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม
“ไม่รู้หรือไง พูดอยู่กับใคร เดี๋ยวก็เจอดีหรอก” กระฟัดกระเฟียดงุ่นง่านด้วยรู้สึกผิดวิสัยเป็นยิ่งนัก
ปกติคีธเป็นคนขี้รำคาญอย่างร้าย ใครทำอะไรให้ไม่พอใจแค่นิดหน่อยเท่านั้น ชายหนุ่มก็จะมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก จนคนนั้นต้องรีบถอยหนีไปเอง มาเจอคนบุกรุกเข้ามาหาเรื่องราวีถึงถิ่น เขาต้องรีบไล่ออกไปแล้วซิ แต่ทำไมถึงได้นั่งนิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้
“นี่คุณ...ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกรำคาญยายงิ้วเสียงแปดหลอดนี่บ้างหรือไง พูดทีขี้ในหูสั่นสะเทือนไปถึงตับไตไส้พุง” ชมบุหลันหรี่หนังตาพลางยกนิ้วขึ้นแคะช่องหู
คีธเลิกคิ้ว เหลือบสายตามองพิมพ์มาดาแวบหนึ่ง ก่อนไปส่งยิ้มที่มุมปากให้สาวปากกล้าที่เขาชักอยากรู้ รสกายเธอจะหอมหวานสักแค่ไหน เหมือนกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาแตะนาสิก พานเย้ายวนชวนหลงใหล ยามได้ลิ้มรสหวานๆ ละลายในอุ้งปาก เมื่อคมเขี้ยวแหลมคมกดลงไปบนแอ่งชีพจรที่เต้นตุบๆ กึ่งกลางลำคอระหงหรือไม่
“ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่า...ฉันควรทำยังไงดีล่ะ”
สำเนียงเสียงนุ่มห้าวเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ทำให้สองขาสั่นสะท้าน แต่ในคราวเดียวกันก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหล หัวใจโป่งพองคล้ายมีผีเสื้อกระพือปีกบินภายใน ที่ชมบุหลันต้องรีบยกมือจับทรวง เมื่อรู้สึกเหมือนมีลูกศรวิ่งมาปักอย่างเร็วเกินตั้งรับได้ทัน
ใบหน้านวลผ่องตวัดไป ชมบุหลันพยายามใช้สายตาแหวกม่านหลากสีสันเพ่งมองชายเบื้องหน้าให้ชัดเจน ก่อนเท้าบอบบางสาวถอยกลับไปด้านหลัง เมื่อรับรู้ถึงรัศมีแห่งอำนาจที่คุกคามหัวใจ แม้สมองสั่งให้รีบถดถอยหนี ทว่าเท้ากลับเหมือนถูกยึดเอาไว้จนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้
เสียงเล็กๆ ดังกระหึ่มขึ้นในสมองบอกชมบุหลันว่า ชายมีอำนาจลึกลับเหมือนสะกดจิตได้คนนี้ เป็นคนที่ปาวรินทร์รัก!
ไม่จริง...ศีรษะทุยส่ายแรงๆ พยายามคัดค้านความคิดในสมอง พี่สาวคนสวยของเธอคงไม่ได้คิดสั้น หลงชอบผู้ชายมักมากคนนี้นะ!
ทว่าแม้พยายามค้นหาเหตุผลมายืนยันความคิดตัวเอง สุดท้ายแล้วคนที่บอกความจริงได้ก็คงเป็น...ปาวรินทร์คนเดียว!
ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้ต้องหลงรักคีธทุกราย ยายอ้วนตุ้ยนุ้ยตรงหน้าที่จ้องตาวามวาวท่ามกลางแสงไฟหลากสีก็ไม่เว้น! อีกทั้งคำพูดของชายหนุ่มเล่าที่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเห็นๆ เธอต้องรีบคิดหาวิธีตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ที่พิมพ์มาดาได้แต่หงุดหงิด เมื่อคิดหาทางไม่ออก คงได้แต่ประกาศตัว ชายคนนี้มีเจ้าของแล้ว
ทว่าเพียงก้าวไปข้างหน้าจะทรุดกายลงนั่งใกล้ๆ ก็เหมือนคีธล่วงรู้ความคิด ตวัดสายตาคมดุกร้าวแถมเย็นยะเยือกสาดใส่มา จนเธอรู้สึกถึงแรงปะทะคล้ายมีกระแสลมเย็นเสียดแทรกเข้าในผิวเนื้อให้เจ็บร้าวจนต้องหยุดยืนนิ่งๆ
“ยายอ้วนนี่พูดจาไม่ประมาณตนเลย หุ่นอย่างกับตุ่มสามโคก ยังกล้าเสนอหน้ามาให้ท่ายั่วยวนผู้ชายอีก เดี๋ยวพิมพ์เรียกให้พวกไม่มีความสามารถ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาก่อกวนเราอยู่ได้ จับโยนออกไปนะคะคุณคีธ” เอ่ยเว้าวอนเสียงหวานใส ทั้งที่อยากทำตามใจตัวเอง คือเรียกมาเลยโดยไม่ต้องเอ่ยขออนุญาต
“ใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายถูกจับโยนออกไปนะ ฉันว่า...” แบะหน้าปากยู่ยื่น กวาดสายตาไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ต่อให้เธอเป็นเด็กสติไม่ประสาก็ไม่คิดเอายายเต้นงิ้วตรงหน้ามาอยู่ใกล้ แล้วผู้ชายให้บ้าขนาดไหน คงต้องคิดหนักไม่ใช่น้อยเชียวล่ะ
“เป็นผู้หญิงหน้าไม่อายอย่างเธอมากกว่านะคุณงิ้ว”
คิดว่าเธอจะยอมออกไปจากที่นี่ง่ายๆ หรือไง กว่าจะเข้ามาได้ต้องใช้ความพยายามเลือดตาแทบกระเด็น นั่นไม่เท่าไหร่แต่ที่ต้องจ่ายเงินค่าเปิดทางไปเป็นจำนวนพันบาทต่างหากล่ะที่ทำเอาเธอเซ็งสุดๆ น่ะ
“ดูพี่อยากเข้าไปข้างในนั้นจังเลยนะ เอาไหมผมมีทางช่วย แต่ว่า...”
เห็นหนุ่มน้อยในชุดพนักงานห้องครัวยิ้มตาวาว ชมบุหลันเบะปากอย่างเหนื่อยหน่าย มีบ้างไหมกับการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน “เท่าไหร่”
“ท่าทางพี่รีบร้อนอยากเข้ามากเลย...ผมคิดไม่แพง ขอห้าพันละกัน”
“หา! ...” ชมบุหลันเบิกตากว้าง จะเข้าคลับชื่อซังกะบ๊วยต้องเสียเงินตั้งห้าพันเชียวหรือ! แพงมากไปหรือเปล่า ทำอย่างกับว่าเข้าไปแล้วกลับออกมาจะมีเงินทองติดไม้ติดมือกลับมานับหมื่นอย่างนั้นแหละ แม้อยากเข้าข้างในจนตัวสั่น แต่เธอไม่บ้ายอมจ่ายเงินถึงครึ่งหมื่นหรอกนะ
“ไม่ละน้องพี่ให้ได้แค่สี่ซ้าห้าร้อยเท่านั้นแหละ”
“โธ่พี่ จะขี้เหนียวไปถึงไหน เข้าไปข้างในได้ เบาะๆ ตอนกลับบ้านก็มีเงินอุ่นในกระเป๋าอย่างน้อยสี่ห้าหมื่นละ แค่แบ่งเศษเงินให้น้องนุ่งกินขนมบ้าง ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่า”
คิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป เลยรีบเอานิ้วแหย่เข้าไปในหู แล้วยื่นหน้าไปฟังซ้ำให้ชัดๆ อีกครั้ง “พี่หูเพี้ยน หรือเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า เข้าไปในนั้นแล้วพี่จะได้เงินกลับมาขนาดนั้น ไม่จริงหรอก” ส่ายศีรษะแรงๆ อย่างไม่เชื่อ
