บทที่ 2 ล้ำเส้น
ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นเขา ฉันไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือจากเขาเด็ดขาด!
“เฮียต้องการอะไร ถ้าฉันตอบแทนได้ ฉันจะทำ” ฉันกัดฟันถามออกไป ทำใจกล้าเงยหน้าสบตากับเขาอย่างไร้ความเกรงกลัว เมื่อก่อนฉันไม่กลัวเขา ตอนนี้ก็ต้องไม่กลัว ต่อไปก็ด้วย
นัยน์ตาสีนิลวาววับ แววท้าทายลุกโชน กลิ่นอายอันตรายแผ่ซ่านมาจากเขา ผู้ชายคนนี้มีเส้นขอบเขตเป็นของตัวเอง เขามีอาณาเขตของเขาชัดเจน ไม่ว่าใครหน้าไหน หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้อาณาเขตของเขาได้ จุดจบของคนที่กล้าล้ำเส้นเขา ไม่มีดีเลยสักคน และฉันก็เคยเกือบจะเป็นหนึ่งในนั้น…
“ผู้หญิงอย่างเธอ… ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการหรอก” คำพูดเย็นชาของเขาเปรียบดั่งน้ำเย็น ๆ สาดใส่หน้าฉัน
คำปรามาสแสนดูถูกนั่นมันอะไร? ผู้หญิงอย่างฉันมันทำไมงั้นเหรอ?
ยังไม่ทันที่ฉันจะตั้งสติดีแล้วถามเขากลับ ร่างสูงหมุนตัวเดินจากไปเสียก่อน ฉันเม้มปากแน่น ไล่ความสับสนมึนงงในหัวออกไป ความเมามันกลับมาเล่นงานฉันอีกครั้ง และเวลาที่ฉันเมา ความใจกล้ามักเอาชนะทุกสิ่งเสมอ
“เดี๋ยวก่อนสิเฮียสิงห์! กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องเลยนะ!”
ฉันสาวเท้าเดินตามหลังเฮียสิงห์อย่างโซซัดโซเซเล็กน้อย ตลอดทางที่เดินผ่านเป็นโถงทางเดินออกไปด้านหน้าผับ โชคดีที่คนไม่แออัดเท่าไหร่ ฉันจึงเดินตามหลังเขาทันโดยไม่คาดสายตา กระทั่งออกมาหน้าผับบังเอิญชนกับผู้ชายกลุ่มหนึ่งเข้า ร่างของฉันถูกวงแขนแกร่งโอบกอดอย่างถือวิสาสะ รีบตวัดสายตามองเจ้าของการกระทำนั้นทันที
“ปล่อยได้แล้วป่ะ จะกอดอีกนานไหม”
“อ่า ขอโทษที ผมคิดว่าคุณอาจยืนไม่ไหว” น้ำเสียงเขาเอ่ยสุภาพ แต่แววตาไม่น่าไว้ใจสุด ๆ พวกผู้ชายมันก็เป็นซะแบบนี้ไง ทั้งน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ผู้หญิงถึงได้หันไปรักกันเองหมด
“ฉันยืนไหว ปล่อยได้ยัง” ไม่พูดเปล่า แต่สะบัดตัวออกจากวงแขนเขาด้วย จังหวะนั้นฉันเสียหลักเซจนเกือบจะล้ม โชคดีที่มีมือหนึ่งยื่นมาดึงแขนเอาไว้ พอหันมองก็พบกับดวงตาคม ๆ แสนเย็นชาจ้องมา
เขาย้อนกลับมาช่วยฉันงั้นเหรอ?
“อ้าว เฮียสิงห์ จะกลับแล้วเหรอครับ” เสียงทักจากผู้ชายที่ฉันเดินชนเรียกสายตาคมละไปจากใบหน้าฉัน พวกเขารู้จักกัน ดูจากการพยักหน้ารับหน่อย ๆ ของสิงห์คำรามซึ่งปกติไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
“บอกมันด้วยว่ากลับก่อน ขี้เกียจรอ”
“แต่เฮียเสือมาถึงแล้วนะครับ ไม่เจอกันเหรอ”
“เออ ไม่เจอ กูจะกลับแล้ว”
ฉันยืนฟังทั้งสองคนพูดคุยกันโดยที่มือหนาของเฮียสิงห์ยังจับแขนแน่นไม่ปล่อย ร่างกายซวนเซเล็กน้อย วันนี้ดื่มหนักไปจริง ๆ ด้วย ถึงว่าทำไมเจ้ขิมบ่นซะขนาดนั้น
“แล้วนี่…” ฉันกลับมาที่บทสนทนาของคนทั้งสองอีกครั้ง คราวนี้เหมือนว่าคนที่ตกเป็นเป้าสายตาจะเป็นตัวฉันเอง “จะพาเธอไปด้วย?”
มือหนาของสิงห์คำรามผละออกจากไหล่ฉันหลังจบคำถามนั้น และตัวฉันที่กำลังมึนก็พาลเสียการทรงตัวเล็กน้อย ฉันเกือบจะล้มอยู่แล้ว โชคดีที่มือหนาของผู้ชายอีกคนคว้าจับเอาไว้ ส่วนคนที่ปล่อยมือจากฉันเมื่อครู่ เขาทำเพียงหลุบตามองอย่างเย็นชา ก่อนหันหลังจะเดินจากไป แต่มือฉันไวกว่าใจคิด คว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ได้ทัน ดวงตาคมหลุบมองเย็นชากว่าเดิม ไร้ความรู้สึกใด ๆ บนสีหน้าของเขา
ให้ตายเหอะ… ทำไมหัวใจฉันยังเต้นแรงกับผู้ชายคนนี้อยู่อีกนะ!
“ไปด้วย พาฉันไปด้วย” ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปแบบนั้น สิงห์คำรามยืนนิ่ง ปล่อยให้ฉันดึงแขนเสื้ออยู่อย่างนั้น คราวนี้ฉันยกมืออีกข้างคว้าจับแขนแกร่งไว้แน่นราวกับกลัวจะโดนเขาทิ้ง "ก็บอกว่าจะไปกับเฮียด้วยไง หูตึงเหรอ?"
“…” ความเงียบกลืนกินรอบตัว รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกจากสายตาของคนตรงหน้า เขามองข้ามไหล่ฉันไปด้านหลัง ก่อนจะสะบัดแขนออกแล้วเปลี่ยนเป็นกระชาก ย้ำ! เฮียสิงห์กระชากแขนฉันให้เดินตามหลังเขาไปด้วย
ป่าเถื่อนได้คงเส้นคงวาจริง ๆ เลย!
หลังจากขึ้นรถสิงห์คำรามมาได้สักพัก ฉันเมาหลับตลอดทาง รู้สึกตัวอีกทีตอนแผ่นหลังกระแทกกับที่นอนนุ่ม ๆ ปรือตาขึ้นมองก็เห็นเงาของร่างสูงกำลังตะคุ่มอยู่เหนือร่างตัวเอง ฉันเบิกตากว้างพร้อมกับปฏิกิริยาตอบโต้ในทันที
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือเล็กชาไปทั้งมือ ฉันเผลอตบหน้าคนเหนือร่างทั้งที่ยังสะลึมสะลืออยู่ มันเป็นการตอบโต้ตามสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง พอปรับโฟกัสสายตาจึงเห็นว่าใบหน้าที่ฉันเพิ่งตบไปนั้นเป็นของใคร
“ฮะ เฮียสิงห์… ฉัน เอ่อ… ฉันขอโทษ”
สิงห์คำรามที่ยังอยู่ในท่าทางโค้งตัวจากการอุ้มฉันมาวางลงบนเตียงมีใบหน้าเรียบเฉยอย่างมาก ดวงตาคมเข้มจ้องมองกันนิ่ง แววตาของเขานิ่งลึกเกินจะคาดเดา และมันกำลังทอประกายความน่ากลัวออกมา
เขาโกรธแล้ว…
“เธอล้ำเส้นฉันอีกแล้วนะสายซอ”
ใช่… ฉันล้ำเส้นเขาอีกแล้ว… ล้ำเส้นของผู้ชายที่ชื่อสิงห์คำราม!















































































