บทที่ 6 จูบแรก

หลังจากนั้นเวลาผ่านไปหลายเดือนจนฉันเกือบจะลืมเรื่องนั้นไปแล้ว ทว่าชีวิตฉันได้โคจรมาพบกับสิงห์คำรามอีกครั้ง และสถานการณ์ที่เราพบกันมันก็ไม่ได้ดีกว่าครั้งแรกเลยสักนิด

ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาจ้องมองร่างสูงซึ่งยืนสูบบุหรี่อย่างไม่สนโลกอยู่ไม่ไกล ดวงตาคมปรายตามองฉันเล็กน้อย แววตาเขาติดจะหงุดหงิดหน่อย ๆ แต่มันก็แค่หน่อยเดียวเท่านั้น และสาเหตุที่ทำให้คนเย็นชาอย่างเขาหงุดหงิดได้นั่นก็คงจะเป็น… ฉันคนนี้นี่แหละ!

‘หมายความว่ายังไงสายซอ เธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?’

ฉันเกือบลืมผู้ชายน่ารำคาญข้างกายไปซะสนิท เขาชื่อแดนนี่ เป็นคนน่ารำคาญที่ตามตอแยฉันไม่เลิกสักที เขาตามจีบฉันมาหลายเดือนแล้ว และฉันพยายามหนีมาตลอด กระทั่งวันนี้ที่ความอดทนฉันมันหมดลง ประจวบกับเพื่อน ๆ ยุว่าถ้าหากอยากจะสลัดเขาไปให้พ้น ฉันจำเป็นต้องมีแฟน ซึ่งในความเป็นจริงคือฉันยังไม่อยากจะมีแฟนนี่น่ะสิ

ฉันรักชีวิตอิสระและเกลียดการโดนบังคับมาก ตั้งแต่เล็กจนโตฉันถูกพ่อแม่บังคับและควบคุมมาตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระบ้าง แม้จะแค่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เถอะ ฉันจึงไม่คิดอยากจะมีแฟนตอนนี้

‘ก็… ก็เพิ่งคบกันอ่ะ’ ฉันตั้งสติและไหลตามน้ำไป สองเท้าก้าวเข้าหาสิงห์คำราม ยืนห่างจากเขาไม่ไกลก่อนจะหันหลังให้ ภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาเดินหนีหรือพูดอะไรหักหน้าฉันออกมาก็พอ ฉันก็แค่ยืมชื่อเขามาแอบอ้างว่าเป็นแฟนเฉย ๆ เพราะเขาบังเอิญอยู่ในขอบเขตสายตาของฉันพอดีก็เท่านั้น

‘เป็นไปไม่ได้ ฉันตามเธอมาตั้งหลายเดือน ไม่เคยเห็นเธอติดต่อกับมันเลย’ นายไม่ควรเรียกใครว่ามันนะแดนนี่ โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นคือสิงห์คำรามแล้วด้วย

ฉันเหลือบมองคนด้านหลังเล็กน้อย โอเค เขายังคงยืนพิงผนังสูบบุหรี่ไม่สนโลกเหมือนเดิม ขอให้เขานิ่งแบบนั้นต่อไป อย่ามาสนใจอะไรตรงนี้เลยแล้วกัน ต้องขอบคุณความเย็นชาของเขาจริง ๆ ที่ช่วยให้คำโกหกของฉันพอจะมีน้ำหนักขึ้นมาบ้าง

‘ไม่เชื่อก็เรื่องของนาย เอาเป็นว่าฉันมีแฟนแล้ว นายก็เลิกยุ่ง เลิกตามตอแยฉันสักที ฉันรำคาญ จบนะ’ ฉันทำท่าจะเดินหนีออกมาแต่ถูกแดนนี่คว้าข้อมือไว้

ไอ้บ้านี่นิ กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวฉัน?

‘ฉันไม่เชื่อ เธอโกหกฉันใช่ไหมสายซอ คิดจะให้ฉันเลิกยุ่งกับเธอล่ะสิ เหอะ! ฉันไม่ยอมเลิกยุ่งกับเธอง่าย ๆ หรอกนะ’

โอ๊ย… ฉันเกลียดหมอนี่จังเลย! จะตอแยฉันไปถึงไหนเนี่ย!

‘แล้วจะเอาไง?’

‘พิสูจน์ดิ ถ้าเธอเป็นแฟนมันจริง ๆ ก็พิสูจน์ดิ’

‘พิสูจน์ยังไง?’ คิ้วเรียวขมวดมุ่น เหลือบมองร่างสูงด้านหลัง ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่เหมือนฉันเห็นมุมปากหนายกขึ้นน้อย ๆ ด้วยอ่ะ นั่นสิงห์คำรามยิ้มเยาะฉันเหรอ? ไหนว่าเขามันเย็นชาหน้าตายไงเล่า!

‘ยังไงก็ได้ ทำให้ฉันเชื่อให้ได้สิว่าเธอมีแฟนแล้วจริง ๆ แล้วฉันจะเลิกยุ่งกับเธอ’ แดนนี่ปล่อยมือฉันเปลี่ยนเป็นกอดอก สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความท้าทาย แน่ล่ะ เขาไม่เชื่อเรื่องโกหกของฉันหรอก ยิ่งแฟนฉันคือสิงห์คำรามแล้วด้วยเขายิ่งไม่เชื่อ มันก็ไม่แปลกหรอก สิงห์คำรามเคยมีแฟนซะที่ไหน ไม่เคยมีข่าวว่าเขามีแฟนจริงจังสักคน ฉันมันโกหกโดยคิดน้อยเกินไปจริง ๆ

แต่ไม่ได้… ฉันจะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ลงทุนขนาดนี้แล้วก็ควรไปต่อให้สุดไปเลย

‘…’ ฉันสูดลมหายใจ เดินย้อนกลับมาหยุดยืนตรงหน้าสิงห์คำราม เขาชะงักมือที่กำลังคีบบุหรี่เล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลหลุบมองกัน แววตาเขามันไร้อารมณ์สิ้นดี เหมือนแววตาคนตายก็ไม่ปาน เย็นยะเยือกชะมัด

พรึ่บ

ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความ ฉันกระชากคอเสื้อของสิงห์คำรามให้ก้มลงมาแล้วแนบริมฝีปากลงบนปากของเขา กลิ่นบุหรี่เข้มข้นเจือปนเข้ามาในลมหายใจ เพียงเสี้ยววินาทีฉันก็ผละออก นัยน์ตาสีนิลยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม ไม่มีแววประหลาดใจหรือตกใจใด ๆ ทั้งสิ้น แต่นั่นก็ดี ถือว่าตบตาแดนนี่ได้ เพราะถ้าเกิดเขาโวยวายหรือผลักฉันออกขึ้นมา ฉันคงโป๊ะแตกแน่ ๆ ก็ยังรู้สึกขอบคุณความเย็นชาของเขาอยู่ดีอะนะ

‘พอใจนายหรือยัง? หรือแค่จูบยังไม่พอ?’ ฉันหันกลับมาหาแดนนี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย มันก็แค่ปากแตะปาก ไม่ถือว่าเป็นจูบ ยิ่งเป็นจูบแรกของฉันด้วยแล้ว อันนี้ถือว่าไม่นับแล้วกัน

‘เหอะ ก็แค่ปากแตะปากเปล่าวะ ใคร ๆ ก็ทำได้’

‘นี่! ให้มันน้อย ๆ หน่อย! จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของนายแล้ว! ไอ้บ้าเอ๊ย!’ ฉันสบถอย่างหัวเสีย หมอนี่มันโรคจิตเกินเยียวยาจริง ๆ คิดจะให้ฉันเล่นหนังสดกับสิงห์คำรามโชว์เขาเลยหรือไงถึงจะยอมเชื่อ

น่าโมโหนัก! ทำไมฉันต้องมาทำอะไรที่มันเปลืองตัวแบบนี้ด้วยเนี่ย!

ฉันเสยผมยาวไปด้านหลังอย่างหัวเสีย ทำท่าจะเดินหนีออกมาอีกรอบ ไม่เชื่อก็ช่างเขาแล้ว ฉันขี้เกียจจะสนใจ ทว่าข้อมือกลับถูกจับไว้อีกครั้ง พอจะหันไปด่าเพราะคิดว่าเป็นแดนนี่ คำด่ากลับไม่ออกจากปากสักคำเพราะว่ามัน… ถูกริมฝีปากร้อนกลืนกินไปหมดแล้ว!

‘อื้อ…’ หัวสมองฉันมันอื้ออึงไปหมดกับจูบที่เกิดขึ้นกะทันหัน กลิ่นบุหรี่เข้มข้นที่ฉันเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ชัดเจนมากกว่าเดิม มันไม่ใช่จูบดุดันหรือดิบเถื่อน แต่เป็นจูบเย็น ๆ ที่สอดแทรกเข้ามากวาดชิมความหวาน ฉันรู้สึกถึงวงแขนแกร่งโอบรัดรอบตัว สองตาสบกับดวงตาคมซึ่งอยู่ใกล้ระยะประชิด เขาจ้องไปทางด้านหลังฉันชั่วครู่ แววตาคมปราบดุดันขึ้น ก่อนจะละกลับมาสบตากับฉันอีกรอบ

ให้ตาย… แววตาของเขามัน… ไร้อารมณ์เกินไปแล้ว!

ไม่รู้ว่าศักดิ์ศรีหรือผีห่าซาตานตัวไหนมันดลใจให้ฉันคว้าคอเขาแล้วตอบรับจูบกลับอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอยากจะทำลายความไร้อารมณ์นั้นของเขาเหลือเกิน อยากให้เขาแสดงอารมณ์อื่นออกมาบ้าง ไม่รู้สิ จู่ ๆ มันก็อยากเอาชนะขึ้นมา

ทว่า… ฉันลืมคิดไปว่าผู้ชายตรงหน้าคือสิงห์คำราม!

พรึ่บ

ร่างฉันถูกผลักออกด้วยสองมือหนา ริมฝีปากเราผละออกจากกัน ทุกอย่างหยุดชะงักลงทันที ฉันที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสหอมหวานนั้นพลันได้สติขึ้นมา สองตาสบนิ่งกับดวงตาคมเข้มแสนเย็นชา โดยไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้รอบตัวเหลือเพียงแค่เราสองคนแล้ว

‘เธอล้ำเส้นฉันเกินพอแล้ว สายซอ’

จริงสิ… ฉันลืมไปว่าสิงห์คำรามมีกฎเป็นของตัวเอง และกฎเหล็กของเขาก็คือ ‘ห้ามจูบ’

แต่ว่า… เขาเป็นฝ่ายรุกจูบใส่ฉันก่อนไม่ใช่เหรอ? แถมนั่นยังเป็นจูบแรกของฉันด้วย!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป