บทที่ 2 ตอนที่ 2
“เอ่อ...” ลำดวนอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ก็...เห็นสิ ไม่อย่างนั้นจะเอายามาให้ทำไม ทาซะ ถ้าไม่ทาพรุ่งนี้แผลจะตึง แล้วจะเจ็บเอานะ”
“แผลนิดเดียวเองค่ะพี่” หล่อนระบายยิ้มมองคู่สนทนาอย่างซาบซึ้ง “แต่ก็ขอบคุณพี่ลำดวนมากนะคะ พราวปวดหัวตัวร้อน หกล้มเมื่อไหร่ ก็ได้พี่ลำดวนนี่แหละที่คอยหาหยูกหายาให้กิน ขอบคุณจริงๆ นะคะพี่”
หล่อนรีบยกมือไหว้คู่สนทนา และก็อดที่จะเอ่ยถามถึงใครบางคนไม่ได้
“เอ่อ...คุณคีแรน...พักผ่อนแล้วเหรอคะ”
“น่าจะเข้าห้องไปแล้วล่ะ ก็มากับผู้หญิงนี่นา”
ลำดวนตอบ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างแคลงใจ
“แล้วทำไมสีหน้าของพราวไม่ค่อยดีเลยล่ะ กังวลอะไรหรือเปล่า”
พราวเนตรรีบส่ายหน้าและฝืนยิ้ม “เปล่านี่คะ พราวสบายดีค่ะ”
“ก็เห็นพูดถึงคุณคีแรนแล้วหน้าเศร้าๆ พี่ก็นึกว่ามีอะไรไม่สบายใจเสียอีก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
หล่อนฝืนยิ้มอีกครั้ง
“งั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วทายาซะนะ อ้อ ในกล่องมียาแก้ปวดด้วย เผื่อคืนนี้ปวดแผลขึ้นมา”
“ขอบคุณนะคะพี่ลำดวน”
“จ้ะ ไม่เป็นไร พี่ไปนะ”
“พราวเดินไปส่งค่ะ”
หล่อนกำลังจะก้าวเท้าเดินไปส่ง แต่ลำดวนร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก พราวไปพักผ่อนเถอะ ห้องพักพี่อยู่แค่นี้เอง”
เมื่อลำดวนยืนกรานเช่นนั้น พราวเนตรจึงไม่อยากจะเอ่ยขัด หล่อนกล่าวราตรีสวัสดิ์กับลำดวนอีกครั้ง และยืนรอจนร่างของลำดวนหายไปจากสายตาจึงหมุนตัวหิ้วกล่องยาเข้าไปในห้องพัก
หล่อนดึงบานประตูให้ปิดสนิท วางกล่องยาลงบนโต๊ะริมหน้าต่าง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ พราวเนตรก็พยายามจะข่มตาให้หลับ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะในหัวสมองของหล่อนยังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำตลอดเวลา
สายตาของคีแรนเต็มไปด้วยความเกลียดชังเลือดเย็นทุกครั้งที่มองมายังหล่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้จงเกลียดจงชังหล่อนแบบนี้
หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง ไม่อาจตัดความว้าวุ่นใจเรื่องของเจ้านายใจเหี้ยมอย่างคีแรนออกจากสมองได้ หล่อนคงต้องออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์สักพัก เหมือนกับที่เคยทำในค่ำคืนที่เคยนอนไม่หลับนั่นแหละ
มือเล็กคว้าเสื้อคลุมสีขาวสะอาดมาสวมใส่ ขณะก้าวเดินออกไปจากห้องพัก มุ่งหน้าตรงไปยังสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ทันที โชคดีที่คืนนี้ดวงจันทร์เกือบเต็มดวง ทำให้หล่อนมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ค่อนข้างชัดเจน
หล่อนเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะไม้สีขาวตัวเล็ก ยืนกอดอกมองพระจันทร์ดวงกลมโตด้วยความชื่นชม แม้บางคืนเมฆหมอกจะบดบังความงดงามของจันทราไปบ้าง แต่เมื่อหมอกสลายไป ดวงจันทร์ก็กลับมางดงามเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวระบายยิ้ม ดวงตาจับจ้องมองดวงจันทร์และดวงดาราบนฟากฟ้าไม่วางตา แต่เสียงโหยหวนของสัตว์มีชีวิตบางอย่างที่ดังแว่วมาเข้าหู ทำให้หล่อนต้องละสายตาจากความงดงามบนท้องฟ้าและมองหาต้นเสียง
“อ๊า...อ๊า...อู๊ยยยย...อ๊า...”
หล่อนหมุนตัวมองไปรอบๆ และก็ย่ำเท้าเดินหาต้นตอของเสียงด้วยความสงสัย
“เสียงอะไรน่ะ ทำไมเหมือนเสียงคนถูกทำร้ายเลย”
หล่อนเดินหา จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าปีกด้านซ้ายของตัวตึกใหญ่ ใบหน้านวลเงยแหงนมองขึ้นไปยังระเบียงที่ยื่นออกมาจากห้องนอนของคีแรน ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้าง พร้อมๆ กับมือเล็กทั้งสองข้างที่ยกขึ้นอุดปากเอาไว้
“นั่น...”
หล่อนเห็นคีแรนกำลังเสพสังวาสอยู่กับคู่ขาคนสวยบนระเบียงนั่น และที่สำคัญดวงตาของเขาจ้องมองมายังหล่อน แม้จะมืดมาก แต่หล่อนก็รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจจากสายตาดุดันคู่นั้น
ขาของหล่อนอ่อนแรง เข่าแทบทรุดฮวบลงกองกับพื้น ดวงตาของหล่อนยังคงจ้องเป๋งไปที่ลีลาร่วมเพศของคนทั้งคู่ตลอดเวลา คีแรนกระแทกกระทั้นเข้าใส่ด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นอย่างรุนแรง ระรัวเร็ว และทุกครั้งที่คีแรนอัดกระหน่ำเข้าใส่ ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องโหยหวนออกมาดังลั่นราวกับทรมานเสียเหลือเกิน
นี่ไงล่ะ...ต้นเหตุของเสียงนั่น
หล่อนบอกตัวเองให้รีบเดินไปจากตรงนี้ เดินไปจากความอุจาดตาที่เกิดขึ้น แต่สองขากลับไม่ยอมขยับ หล่อนยืนมอง...มองพวกเขาร่วมรักกันไม่ต่างจากพวกถ้ำมอง ไม่ช้าหล่อนก็ได้ยินเสียงของคีแรนดังแว่วมาเข้าหู เขาบอกว่าเขาแตกแล้ว...
โอ้...พระเจ้า...!
พราวเนตรเลื่อนมือที่ปิดปากเอาไว้มาปิดหู ก่อนจะรีบวิ่งหนีมาจากสถานการณ์นั้นด้วยใจคอระส่ำ พวงแก้มนวลแดงระเรื่อ หน้าตาก็ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนเห็นคาตาว่าคีแรนเสพสุขกับคู่ขาของเขา แต่ทุกครั้ง...หล่อนก็จะมีอาการแบบนี้ตลอด ตื่นตกใจ ละอาย และก็ต้องวิ่งหนีจากเหตุการณ์เหล่านั้น
ทำไมคีแรนถึงมักมากแบบนี้นะ เขาไม่คิดจะหยุดความโสดเอาไว้กับผู้หญิงคนไหนเลยหรือไง
หล่อนคิดอย่างโมโห ก่อนจะบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องของหล่อน หยุดคิดเรื่องของเจ้านายได้แล้ว ลืมภาพที่เห็นและลืมเสียงที่ได้ยินซะ
หล่อนพุ่งตัวเข้ามาในห้องนอน ล้มตัวลงบนเตียง แล้วรีบปิดตาลง แต่ให้ตายเถอะ ภาพนั้น...ภาพที่คีแรนกำลังร่วมเพศกับคู่ขายังคงชัดเจนแจ่มแจ๋ว
“หยุด...หยุดคิดนะพราว...อย่าคิดถึงมัน...”
พราวเนตรบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กว่าจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้ ก็เกือบสว่างเลยทีเดียว
