บทที่ 6 สัมผัสร้าย 1 เอาเล่นๆ (4)
แต่สักพัก เครื่องดื่มก็เริ่มถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ แถมฮานยังหันมาพูดกับฉันแล้วชวนฉันชนแก้วอีก เล่นเอาฉันงงไปหมด หรือเพราะคุยเรื่องงานกับเรซเสร็จแล้วหรือเปล่านะ ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเขาพูดเรื่องสปอนเซอร์ เงินสนับสนุนโน่นนี่นั่นกับรายละเอียดแข่งรายการอะไรสักอย่าง ฉันได้ยินแค่ผ่านๆ ไม่ได้ตั้งใจฟัง มือหนึ่งตักข้าวเข้าปาก อีกมือก็เลื่อนหน้าจอเพื่อเช็กข่าวในโซเชียลต่างๆ ก่อนจะถูกเสียงของฮานดึงดูดความสนใจไป
“เพื่อนคะนิ้งเหรอ เห็นแวบๆ ที่หัวหิน คนเดียวกันหรือเปล่า”
“อ้อ ใช่ค่ะ ชื่อเทียน”
“หืม แล้วทำไมมากับเรซล่ะ”
“แฮร่... เรื่องนั้น” ฉันยิ้มเจื่อนๆ ชำเลืองสายตาไปทางเรซเผื่อเขาจะอยากตอบ แต่เรซแค่หันมามองหน้าฉันแวบเดียวแล้วก็ละสายตาไปทางอื่น ไม่คิดจะช่วยแก้ต่างอะไรให้เลย
“เอ่อ คือเรซชวนมาน่ะ” ฉันพูดออกมาไม่เต็มเสียง จะแกล้งเงียบเหมือนเรซก็ใจไม่ด้านพอเพราะฮานเล่นจ้องเอาคำตอบแบบไม่ละสายตาเลย
“อ่อ เป็นงั้นหรอกเหรอ ดื่มเก่งหรือเปล่า” ฮานพยักหน้าหลังได้ฟังคำตอบ เขายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง แล้วยกแก้วขึ้นขอชน
“ก็นิดหน่อย ดื่มเยอะๆ ก็เมาได้” ฉันพูดขำๆ พลางยกแก้วขึ้นชน “อื้มแล้วนี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า” ฉันมองหน้าฮาน หลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว
“เดี๋ยวไปคุยกับหุ้นส่วน พูดถึงก็ติดต่อมาพอดี”
ฮานหยิบโทรศัพท์ที่มีข้อความเด้งเตือนขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปเรียกเรซ
“พวกนั้นมากันแล้ว”
“อืม เช็กบิลล์เลย”
เรซบอก เขาลุกออกไปเป็นคนแรก เฮ้ยเดี๋ยวดิ… ฉันรีบลุกจากเก้าอี้ มองจานข้าวกับแก้วเหล้าตัวเองอย่างไม่แน่ใจว่าต้องหารหรือเปล่า แต่ว่าฮานก็หยุดความสงสัยของฉันด้วยการยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน
“ไปกันเถอะ”
เขาหันมาส่งยิ้มให้ฉัน ฉันรีบพยักหน้าแล้วเดินตามเขาออกมาทันที แต่ฉันไม่ได้สนิทกับฮาน ถ้าเมื่อกี้คนจ่ายเป็นเรซฉันจะไม่คิดมากเลย
“ค่าอาหารนั่น เทียนจะคืนให้ทีหลังนะ” ฉันบอกอย่างรู้สึกเกรงใจ
“หืม? ใครเขาให้ผู้หญิงจ่ายค่าอาหารกันล่ะ” ฮานหันมาขยิบตาให้ฉันก่อนจะเดินแยกออกไปที่รถตัวเอง
ฉันอึ้งไปชั่วขณะ ถึงจะรู้ว่าฮานไม่ได้พูดเพื่อจะเอาใจฉันแต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ได้เจอเขาที่นี่
“ถ้าจะไปต่อ ช่วยส่งฉันที่ห้องก่อนได้มั้ย”
ฉันบอกเรซที่กำลังยืนสูบบุหรี่รออยู่ข้างประตูรถฝั่งคนขับ เขาชำเลืองมองฉันนิ่ง นิ้วเคาะเถ้าบุหรี่ออก ยกขึ้นอัดเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จนดับ
“ขึ้นรถ”
“เรซ”
ฉันไม่รู้ว่าเขาได้ฟังที่บอกหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันอ้าปาก เรซก็เปิดประตูเข้าไปในรถแล้ว แล้วจะให้ฉันทำยังไง มองไปรอบๆ ก็เจอแต่ทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคย ฉันไม่เคยมาภูเก็ต ไม่รู้ว่าจะกลับโรงแรมยังไง ถึงจะมองเห็นสามล้อรับจ้างจอดเรียงเป็นแถวก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่บ้าพอจะเรียกสามล้อกลับโรงแรมที่แม้แต่ชื่อก็ยังจำไม่ได้หรอกนะ
ฉันอ้อมมาขึ้นรถกับเรซอย่างไม่มีทางเลือก หันไปถามเสียงฉุน
“นายไปส่งฉันก่อนได้หรือเปล่า”
“จะอ้อมไปอ้อมมาทำไมให้เสียเวลา”
“แต่ว่าฉัน”
“หรือจะนั่งสามล้อ”
เรซเหลือบมองฉันระหว่างที่กำลังถอยรถ จู่ๆ เขาก็เบรกกึก รอให้ฉันเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอายังไง ฉันนิ่งอึ้ง ละล่ำละลักจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
“สามล้อ ถ้าอยากกลับก็เชิญ”
เขาพยักหน้าไปทางถนนอีกฝั่งที่มีคิวสามล้อจอดอยู่ ฉันกำมือแน่น ทั้งจุกทั้งโกรธ มองสบสายตาไร้เยื่อใยของเรซด้วยใบหน้าที่รู้สึกชาไปหมด
“นายคิดว่าฉันจะนั่งสามล้อหรือไง”
ฉันเหวี่ยงกลับ เรซไม่พูดอะไรเลย ถอยรถต่อแล้วก็ขับออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ข้างในฉันระอุไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมานั่งในรถของเรซ ความจริงฉันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ อยากกลับกรุงเทพแล้ว คิดถึงพี่แสง
ฮือออ จะร้องงง
ฉันก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ เข้าเฟสบุ๊ค เลื่อนดูรูปเก่าๆ ที่เราเคยถ่ายกัน ในเฟสพี่แสงไม่มีอัปเดตอะไรใหม่ เฟสฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้อัปเดตอะไรเพิ่มตั้งแต่ภาพถ่ายกับเค้กที่หัวหินเมื่อสองวันก่อน
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ไปโกหกพี่แสงว่าน้องชายรถล้มแบบนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ บ้าบอจริงๆ เลย ทำไมฉันต้องมาเดือดร้อนเพราะผู้ชายอย่างเรซด้วย ยิ่งคิดยิ่งเครียด อยากหันไปพ่นไฟใส่เรซจริงๆ แต่ก็ทำได้แค่นั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่กับเบาะ
รันทด!
“ที่นี่คือ…”
ความง่วงและความเหน็ดเหนื่อยถูกบรรยากาศครึกครื้นและเสียงดนตรีมันๆ เหนี่ยวรั้งความสนใจเอาไว้ ฉันเอ่ยถามเรซที่กำลังจ่ายเงินซื้อบัตรผ่าน ก่อนจะเหลือบไปเห็นป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า พาราไดซ์บรีท และเรซก็ไม่ตอบฉันเหมือนเดิม หมอนั่นหลังจากเคลียร์ทางเข้าเสร็จก็หันมามองฉันแวบหนึ่งแล้วเดินออกไป
เดี๋ยวสิ ไอ้บ้านั่น ฉันรีบสาวเท้าตามไปอย่างหงุดหงิด จะพูดหรือเรียกฉันสักคำดอกพิกุลมันจะร่วงหลุดจากปากหรือไงห๊ะ ทีตอนจูบกลับใช้ปากเก่งนักเชียว เหอะ!
“มาแล้วเหรอ” ฮานหันมามอง ท่าทางเขาจะมาถึงก่อนได้สักพักแล้ว ฮานส่งสายตามาทักทายฉันพอเป็นพิธีก่อนจะหันไปแนะนำคนอื่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะให้เรซรู้จัก
“นี่คุณวิชัยเจ้าของเต็นท์รถที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ ส่วนนี่ก็ช่างมาร์ติน เป็นช่างประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ เคยทำงานให้บริษัทผลิตรถสปอร์ตที่เมืองนอก”
เรซพยักหน้าทักทายคนทั้งสองพอหอมปากหอมคอก่อนจะเดินไปนั่ง ส่วนฉัน… ก็ต้องดูแลตัวเองตามระเบียบ ฉันมองหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วหย่อนก้นลงใกล้ฮาน ใช่ฉันนั่งข้างฮาน ขณะที่เรซนั่งฝั่งตรงข้ามกันเลย
“ไงเทียน เมาแล้วเหรอ”
เสียงของฮานทำให้ฉันเงยหน้าจากจอมือถือ
“อ้อ เปล่าหรอก แค่ง่วงน่ะ เพิ่งกลับจากหัวหินแล้วก็ดิ่งมานี่เลยรู้สึกเพลียๆ” ฉันยิ้มให้ฮาน ความห่วงใยที่ผิวเผินไม่ช่วยทำให้จิตใจที่กำลังห่อเหี่ยวของฉันดีขึ้นแม้แต่น้อย ยิ่งเห็นเรซคุยกับแขกทั้งสองอย่างไม่สนโลกฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีความหมายที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
“ฮาน รู้ใช่มั้ยว่าเราพักที่ไหน”
“หืม ทำไม”
“ไปส่งหน่อยนะ ไม่ดิ บอกชื่อโรงแรมมาก็ได้ เดี๋ยว… หาทางกลับเอง”
ฉันนึกโกรธตัวเองที่ไม่เด็ดขาดตั้งแต่แรก ถ้าตอนนั้นยอมเสี่ยงกลับสามล้อก็คงไม่ต้องมาทรมานอยู่แบบนี้
“ทนอีกนิดเดียว นี่ก็ตีสองกว่าแล้ว ไม่น่านานหรอก”
“แต่เทียนไม่ไหวแล้ว งั้นขอยืมไหล่หน่อยได้มั้ย” ฉันเอียงหน้าลงซบไหล่ฮานโดยไม่รอให้เขาอนุญาต ฮานเอียงคอมอง คงประหลาดใจในความใจกล้าหน้าด้านของฉัน แต่ฉันไม่สนว่าเขาจะคิดยังไง ฉันแค่อยากพักระหว่างรอให้พวกเขาคุยธุระเสร็จเท่านั้น





















































































































