บทที่ 1 เซธ

.

.

.

Gray

“ท่านแม่ พี่ชายคนนั้นประหลาดสุดๆ เลย” เด็กน้อยชี้ชวนพร้อมกับร้องบอกมารดาไปพลาง ดวงตากลมโตสีดำสนิทมองจ้องไปที่ทิศทางหนึ่งอย่างสงสัย

“จงหุบปากของเจ้าเสีย เพราะความสามารถของเจ้า ทำให้เราต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้”

“แต่-”

“ไม่มีแต่!! เก็บปากของเจ้าซะ ถ้าไม่อยากตายเพราะความสามารถของตัวเจ้าเอง” บุคคลบนต้นไม้ต้นใหญ่ทำเพียงนั่งมองจ้องนิ่งๆ อย่างสนใจ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา สายตาคมกล้าซ้ายขวาคนละสีมองจ้องเด็กน้อยราวกับเจอของสำคัญที่หล่นหาย เกิดประกายวิบวับขึ้นในดวงตา เด็กน้อยทำตามคำสั่งของมารดา เดินตามแรงดึงรั้ง ก้าวขาตามไปติดๆ

“ยอดรักของข้า ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า.....” เสียงรำพึงรำพันดังผะแผ่วไปตามสายลมหวน กลิ่นหอมของดอกวิสทีเรียที่บานสะพรั่งเต็มต้น ชักชวนให้เด็กน้อยหันกลับมามองอีกครั้งอย่างสนใจ คนบนต้นไม้ใหญ่อายุกว่า 300 ปี บินโฉบลงมายืนอยู่บนพื้นดิน ส่งแววตาอ่อนโยนไปให้กับเด็กตัวน้อยที่มีเส้นผมสีไลท์เกรย์ (สีเทาอ่อน) ส่องประกายเจิดจ้า นัยน์ตาดำขลับกลมโต มองจดจ้องอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงละจากไป

“ยังเยาว์วัยนัก......” พูดด้วยรอยยิ้มยินดี นัยน์ตาสองสีมองจ้องอย่างโหยหา ดวงใจปรารถนาอยากทะนุถนอม ตระกองกอดไว้ในอ้อมแขน เพียงแต่ในเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปแย่งชิงตัวเขามาจากอกของมารดา

“โชคดีที่เจ้ามิต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป....” เด็กตัวน้อยเดินจากไปช้าๆ ทำให้คนที่เฝ้ารอคอยมานานตัดสินใจ ปีกใหญ่สีดำทมิฬข้างหนึ่ง และสีขาวราวไข่มุกข้างหนึ่งพากันสยายออกกว้างจนสุดความยาว กระพือปีกเพียงหนึ่งครั้งตัวก็ทะยานขึ้นสูงจากพื้นดินจนไปเจอกับชั้นหมู่เมฆเมฆา สายตาที่มองเห็นได้ในระยะไกล จับจ้องเด็กชายตัวน้อยที่กระโดดย่ำอยู่บนพื้นหิมะสีขาวสะอาดตาอย่างสนุกสนาน ทำให้คนที่กำลังเฝ้ามองส่งรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหา แล้วบินโฉบอยู่โดยรอบ หมุนวนไปมาคล้ายเงาตามตัว เด็กน้อยเงยหน้ามองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขย่าแขนมารดาพร้อมร้องบอก

“ท่านแม่!!! พี่ชายคนนั้นเขา-”

“เงียบ!!” ยังไม่ทันได้พูดจบคนเป็นมารดาก็หันมาดุเสียงเข้ม มองจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ทำให้เด็กน้อยหุบปากฉับ ก้มหน้านิ่ง ไม่ร้องบอกอะไรออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ ทำให้คนที่บินวนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าขมวดหมุน แล้วจึงหยุดลงที่ด้านข้างของเด็กน้อย

“เหตุใดจึงพูดไม่ได้หรือ?” เด็กน้อยอ้าปากคล้ายจะร้องตอบ แต่แล้วก็ชะงัก เงียบเสียงลงตามเดิม ยิ่งทำให้คนที่เดินตามเกิดความสงสัยใคร่รู้มากยิ่งขึ้นไปอีก

“เจ้าไม่อยากพูดกับข้าหรือ?” เด็กน้อยหันมองหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กทุยนั้นไปมาเป็นการปฏิเสธ คนเป็นมารดาเห็นดังนั้นจึงกระชากแขนเล็กให้รีบเดิน พร้อมกับร้องบอกเสียงเย็นชา

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร มาจากที่ไหน จงกลับไปที่ของเจ้าซะ อย่านำพาความเดือดร้อนมาสู่ข้าและบุตรชายของข้า ไป!!” สิ้นประโยคเป็นคำตวาดก้อง บ่งบอกชัดแจ้งว่าไม่เต็มใจให้ใครหรืออะไรเข้ามารบกวนพวกนางสองแม่ลูก

“เจ้าก็เห็นข้าหรือ?” แทนที่จะกลับไปในที่ของตน กลับเอ่ยถามคนเป็นมารดาแทน บินโฉบไปมาอยู่ตรงหน้า แต่นางไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับเลยแม้แต่น้อย

“นั่นสินะ นางจะมองเห็นข้าได้อย่างไร” ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหมองลงระคนเศร้า ก่อนจะหันมาสนใจเด็กน้อยอีกครา ยกมือข้างซ้ายขึ้น ลูบศีรษะแผ่วเบา พูดบอกด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ารู้ว่าจักหาข้าพบได้จากที่ใด เด็กน้อย” พูดแล้วก้าวเท้าเดินจากไปช้าๆ กลับไปอยู่ในที่ของตนเพียงลำพัง เด็กน้อยหันกลับไปมอง ภายในหัวใจเกิดความเศร้าสร้อย เหตุใจพี่ชายท่านนั้นจึงได้ดูโดดเดี่ยวเช่นนี้กัน เขาไม่มีเพื่อนเลยหรืออย่างไร ไฉนถึงได้โศกเศร้าถึงเพียงนี้

เด็กน้อยก้าวเดินตามการชักนำของมารดา จนกระทั่งไปเจอกระท่อมหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ที่พบพี่ชายเท่าไหร่นัก มารดาทำการมองสำรวจโดยรอบ ก่อนจะพยักหน้าพึงพอใจ แล้วออกคำสั่งในทันที

“ดไวท์ จงเอาของๆ เจ้าเข้าไปเก็บให้เรียบร้อยเสีย หลังจากนั้นอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว แล้วค่อยออกมารับประทานกับแม่” พูดพร้อมดันหลังลูกชายให้เดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง

บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่นัก เรียกว่าแค่มีสิ่งที่จำเป็นต้องมี เป็นบ้านกระท่อมชั้นเดียว ถูกสร้างขึ้นจากปูนปั้น มีห้องนอนสองห้อง ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องโถงตรงกลาง ที่ด้านหลังบ้านมีสวนเล็กๆ อีกไม่กี่แปลง ให้เพียงพอได้ปลูกพืชเอาไว้ใช้สอย หลังจากที่โดนมารดาดันหลังให้เข้ามาภายในห้องแล้ว เด็กชายตัวเล็กเริ่มทำการสำรวจทันที

ภายในห้องนี้มีข้าวของน้อยนิด มีชั้นเสื้อผ้า เตียงนอน โต๊ะและเก้าอี้ เพียงเท่านั้นก็ครบหมดทุกสิ่งอย่าง เด็กชายจึงเริ่มเก็บของที่ตัวเองหอบหิ้วมาเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทาง แล้วจึงเดินไปที่ห้องอาบน้ำรวม พบว่ามารดาจัดเตรียมต้มน้ำไว้ให้แล้ว จึงกระโดดลงอ่างน้ำอย่างสบายใจ ลำตัวขาวผุดผ่องนั่งแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นด้วยความสบายตัว จนเมื่อขัดถูเนื้อตัวจนสะอาดเอี่ยม จึงขึ้นจากน้ำแล้วแต่งตัวใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหามารดาที่ห้องครัว

“ท่านแม่ มีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ”

“ไม่มีหรอก เจ้าจงไปนั่งเสีย อีกไม่นานหรอกหนา อาหารก็จะจัดเตรียมเสร็จแล้ว” ดังนั้นแล้วเด็กชายจึงปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้อย่างรอคอย และเพียงไม่นานจริงๆ ดั่งมารดาว่าไว้ ซุปหัวไชเท้าสีใสก็มาวางอยู่ตรงหน้า เด็กน้อยถือช้อนขึ้นมาพร้อมตักกิน แต่แล้วก็หยุดชะงัก

“ท่านแม่ แล้วของท่านเล่า?”

“เจ้ากินเถอะ ข้ายังไม่หิว” พูดพร้อมรอยยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายเบาๆ เด็กน้อยจึงตักทานอย่างเอร็ดอร่อย มารดาก็ทำเพียงนั่งมองอยู่เงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้น บอกลูกชายว่าหลังทานเสร็จให้เก็บล้างให้เรียบร้อย ส่วนตัวนางเองนั้นแอบไปนั่งซดน้ำซุปอยู่ในห้องเพียงลำพัง แล้วจึงเดินออกมาจากห้อง เพื่อชำระล้างร่างกายของตน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงร้องชักชวนลูกชายให้ออกไปด้วยกัน พากันเดินย้อนกลับทางเก่ากับที่เคยเดินผ่านมา

“เราจะไปไหนกันหรือท่านแม่”

“แม่จักต้องหางานทำ ไม่มีงานก็ไร้เงินตรา เมื่อไร้เงินตราเราจะอยู่ใช้ชีวิตลำบาก เจ้าต้องจำไว้หนา งานอะไรก็อย่าได้เกี่ยงงอน ขยันทำงานจักได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ” พูดสอนลูกชายไปพลาง เดินไปพลาง จนกระทั่งเดินผ่านต้นวิสทีเรียต้นใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วพื้นที่ ดอกวิสทีเรียสีม่วงอมขาวเป็นพวงระย้าย กลีบดอกปลิดปลิวเกิดเป็นภาพน่าดูชม พร้อมกับกลิ่นหอมที่กำจรออกไปไกล

ชายคนที่เคยเห็น ก็ยังคงยืนอยู่เช่นเดิม ไม่ได้ขยับไปไหนอีก แต่สายตามองจดจ้องเด็กน้อยไม่วางตา จนเด็กน้อยต้องหันหน้าหนี ไม่อยากจะเสวนาด้วย ด้วยกลัวว่าจะต้องกลายเป็นเหตุ ให้ตัวเขาและมารดาพากันวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกันอีกรอบ จึงพยายามสงบปากสงบคำของตัวเองเอาไว้เป็นดีที่สุด

ใช่..... เพราะความสามารถของข้า ทำให้ใช้ชีวิตยากลำบาก เมื่อเกิดการล่าแม่มดขึ้น เพราะข้ามองเห็นในสิ่งที่ ไม่ควร จะเห็น ได้ยินในสิ่งที่ ไม่ควร จะได้ยิน หรือแม้กระทั่งพูดคุยตอบโต้กับสิ่งเหล่านั้นได้ จึงทำให้ผู้คนในเมืองเก่าหวาดกลัวและหวาดผวา ว่าข้านั้นสมคบคิดกับลัทธิแม่มด ตามไล่ล่า ฆ่าฟันหมายเอาชีวิต

เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวนั้นที่เป็นเหตุ ทำให้ผู้เป็นมารดาต้องพากันอุ้มกระเตงวิ่งหนีเอาชีวิตรอด จนมาถึงสถานที่ต่างถิ่นต่างเมืองเช่นนี้ หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำให้มารดาเดือดร้อนอีกเป็นอันขาด

“ลืมข้าหมดสิ้นแล้วหรือ” เสียงนั้นถามด้วยความเศร้าสร้อย ข้าได้แต่หันไปมองอย่างไม่เข้าใจ จนสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงม่วง แต่เพียงไม่นานนักก็ถอนสายตากลับคืน พากันเดินผ่านไปช้าๆ พร้อมกับจับกระชับฝ่ามือของมารดาเอาไว้แน่น

ใช้เวลาสักพักใหญ่ก็เดินมาถึงเมืองเล็กๆ ในบริเวณใกล้เคียง มารดาพาเดินเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ แต่ทุกครั้งมักจะจบด้วยการขับไล่ไสส่ง ผลักออกจากร้านของตน จนกระทั่งมาถึงร้านอบขนมร้านหนึ่ง ที่เจ้าของร้านยินยอมว่าจ้าง แม้ว่าจะได้เม็ดเงินน้อยนิดก็ตามที เราสองแม่ลูกช่วยกันทำงาน วิ่งวุ่นไปทั่วร้าน แม้ว่าจะได้รับค่าตอบแทนเพียงคนเดียว

เพราะข้ายังเด็กนัก เจ้าของร้านจึงไม่เต็มใจจะว่าจ้าง แต่ยินยอมหากข้าจะเข้าไปช่วยเหลือมารดา และข้าเต็มใจที่จะทำมัน จวบจนกระทั่งดาวค้ำฟ้า เราสองแม่ลูกพากันเดินกลับทางเก่า มีเพียงแสงเทียนนำทางในยามค่ำคืน

“ดไวท์ เจ้าหนาวหรือไม่”

“ไม่ขอรับท่านแม่” ร้องตอบพร้อมกับส่ายหน้ามา ส่งยิ้มเพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ทั้งๆ ที่ภายในหนาวไปจนถึงกระดูก คล้ายกับความหนาวกรีดผ่านผิวเนื้อ แล้วแทรกซึมเข้าไปตามรอยกระดูกของตน ที่ฝ่าเท้าชาหนึบ แข้งขาแทบจะก้าวเท้าไม่ออก อันเนื่องมาจากกรำงานหนัก แม้จะดูบางเบาในสายตาของผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กตัวน้อยแล้วหนักหนาเอาการอยู่ไม่น้อย

เด็กน้อยไม่ปริปากบ่น พยายามกัดฟันฝืนทนก้าวเดินตามมารดา จนเมื่อยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้ต้นใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มองเห็นคนที่ยืนรออยู่ภายใต้ต้นไม้นั้นอย่างชัดเจน ชายคนนั้นเดินสาวเท้าเข้ามาใกล้เชื่องช้า ก่อนจะเอ่ยปากบอก

“ข้านึกว่าพวกเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว.... ข้าวุ่นวายใจยิ่งนัก” เด็กน้อยทำเพียงเงยหน้ามองชั่วครู่ แล้วจึงก้มหน้าลงตามเดิม

“เหตุใดจึงพากันกลับกันมืดค่ำเช่นนี้ แถวนี้อันตรายนัก จงรีบก้าวเดินเถิดหนา” เด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่กลับหันไปร้องบอกมารดาแทน

“ท่านแม่ แถวนี้อันตรายนะขอรับ เรารีบเดินกันเถอะขอรับ”

“หนทางข้างหน้ามืดมิด เรามีเพียงแสงเทียนเล่มน้อย จะเร่งรีบเดินทางได้อย่างไร” พูดพร้อมประคองป้องลม เพื่อรักษาแสงสว่างที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมให้คอยรั้งอยู่นำทางให้พวกตน

“....” เด็กน้อยเงยหน้าหันมองพี่ชายแปลกประหลาด เมื่อพบว่าคำเตือนถูกตอบกลับมาเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก ชายประหลาดนั้นหงายฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่ง เกิดแสงไฟดวงเล็กลอยขึ้นเหนือฝ่ามือ แล้วจึงออกแรงผลักเบาๆ ให้ล่องลอยไปตามอากาศ จนเมื่อลอยขึ้นเหนือศีรษะของเด็กน้อยและผู้เป็นมารดา ดวงไฟดวงเล็กนั้นก็แตกกระจายออกโดยรอบ จนเกิดเป็นดวงไฟเล็กจ้อยอีกมากมาย บินวนอยู่รอบๆ กาย ช่วยกันส่องสว่างนำทาง

“ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” เสียงมารดารำพึงรำพัน ก่อนจะก้าวเดินในจังหวะที่เร็วขึ้นอีกนิด

แฮ่ แฮ่ แฮ่

เสียงของสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งดังขึ้น ทำให้เด็กน้อยและมารดาหยุดชะงัก แสงไฟที่บินอยู่รอบๆ รวมตัวกันเป็นฝูง บินเร็วรี่ตรงไปที่ด้านหน้า พร้อมกับเสียงตะโกนสั่งของชายผู้มีนัยน์ตาสองสี

“ไป!!!” เด็กน้อยไม่อยู่รอให้ภัยมาถึงตัว ไม่ทันได้หันไปดูด้วยซ้ำว่าตัวอะไรอยู่ที่ด้านหลัง รู้เพียงแค่ว่าชายคนนี้นั้นไว้ใจได้ และเขาเลือกที่จะเชื่อ จึงจับมือของมารดา แล้วออกแรงดึงพาวิ่งตามลูกไฟนั้นไปติดๆ

“ดะ ดไวท์ เจ้าจะวิ่งทำไมกัน” เสียงมารดาร้องถาม พร้อมกับอุ้มลูกน้อยขึ้นแนบอก แล้ววิ่งตามทางที่ลูกไฟนำไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ เร็วขอรับ มีตัวอะไรไม่รู้อยู่ข้างหลังเรา!” เมื่อในตอนนี้เด็กน้อยไม่ได้ออกแรงวิ่งเอง จึงเห็นว่ามีสัตว์สี่เท้าหลายตัววิ่งตามหลังมา มันเหมือนหมาใน ลำตัวเต็มไปด้วยลายเสือพาดกลอน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหิวกระหาย สายตาของเด็กน้อยมองจ้องคนที่บินโฉบไปโฉบมา ไม่ได้ทำร้ายพวกมัน ทำเพียงแค่ไล่ต้อนไม่ให้เข้ามาใกล้ แต่พวกหมาในก็ยังคงวิ่งตามมาไม่ลดล่ะ

“ท่านแม่ เร็วขอรับ หมาในขอรับ!!” เสียงลมหายใจของมารดาหอบกระชั้น จนกระทั่งเห็นบ้านหลังน้อยของตนอยู่อีกไม่ไกล ลูกไฟหลายลูกบินเข้าปะทะกับบานประตู แล้วจางหายไปในที่สุด

แกร็ก! ปัง!

ทันทีที่เข้ามาได้ มารดาก็หันไปลงกลอนประตูในทันที หลังพิงกับประตูบ้านเอาไว้พักเหนื่อย หรี่ตาลงเล็กน้อย รีบวิ่งไปปิดหน้าต่างทุกบานที่มีจนหมด ในช่วงวินาทีก่อนที่หน้าต่างจะถูกปิดลง เด็กน้อยเห็นชายผู้นั้นยืนปักหลักอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ปีกทั้งสองข้างแผ่ขยายออกจนสุดความยาว ตีกระพืออย่างรุนแรง ย่างเท้าเดินเข้าใกล้ฝูงหมาในอย่างดุดัน จนทำให้พวกมันล่าถอยอย่างช้าๆ และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนที่หน้าต่างจะถูกปิดลง

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เจ้ารอแม่ก่อนหนา แม่จักเตรียมน้ำให้เจ้า” มารดาร้องบอกพร้อมกับกดจูบที่หน้าผากเบาๆ แล้วผละไปเผาฟืนเพื่อต้มน้ำอาบ เด็กน้อยเองก็เดินตามไปติดๆ ค่อยช่วยส่งฟืนให้ มารดาจึงยกยิ้มด้วยความสุขใจ หลังจากอาบน้ำแล้วก็พากันเข้านอน เด็กน้อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงานหนัก โดยไม่รู้เลยว่าใครบางคนลอบเปิดหน้าต่างห้องให้อ้ากว้าง ถือวิสาสะเข้ามาภายในห้องนอน ลอยตัวอยู่เหนือเตียงเล็กที่มีเด็กตัวขาวนอนขดซุกอยู่

“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน..... ยอดรักของข้า” จบคำที่ว่าก็ค่อยๆ ผ่อนปรน ทิ้งตัวลงต่ำ เอนตัวนอนเคียงข้างแผ่วเบา ขยับกายอีกเล็กน้อย ดึงรั้งเด็กตัวขาวเหมือนซาลาเปาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กดจูบที่หน้าผากอีกนิด ก่อนจะพึมพำด้วยความเสียดาย

“น่าเศร้าใจนัก เจ้ายังเยาว์เกินไป แต่มิเป็นอันใด เฝ้ารออีกไม่นานหรอกหนา” ปลายนิ้วมือเรียวยาว ไล้เกลี่ยแก้วนวลเฝ้ามองด้วยความสุขใจจวบจนกระทั่งฟ้าสาง จึงได้เร้นกาย กลับมาอยู่ในที่ของตน

ในเช้าวันถัดมา สองแม่ลูกพากันออกจากบ้านแต่เช้า และหายไปทั้งวัน ในครานี้ก็กลับมามืดค่ำเช่นเดิม หากแต่ไม่เหมือนเดิม เมื่อเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกวิสทีเรียเป็นพวงระย้าห้อยอยู่ ที่พื้นมีแสงไฟจากเทียนไขเล่มใหญ่ ปักอยู่บนพื้น ล้อมรอบต้นไม้เก่าแก่เอาไว้ ก่อนจะเป็นแสงไฟสองข้างทาง มุ่งตรงไปจนถึงบ้านของเด็กน้อย แล้วหยุดลงที่ประตูบ้านพอดี

“แถวนี้มีคนอยู่ด้วยหรือ?” มารดาขมวดคิ้วมองจ้องอย่างไม่ไว้ใจ เด็กน้อยหันไปมองคนที่กำลังนั่งชันขาข้างหนึ่ง บนต้นไม้ใหญ่ มองจ้องนิ่งๆ จนคนๆ นั้นกระโดดลงมายืนอยู่ตรงหน้า ทรุดกายคุกเข่าให้ใบหน้าเสมอกัน

“ทั้งหมดนี้เพื่อเจ้า เด็กน้อย” เมื่อได้รับคำตอบ จึงหันไปร้องบอกกับมารดาเบาๆ

“พี่ชายเป็นคนทำขอรับท่านแม่”

“ดไวท์!! แม่บอกเจ้าว่าอย่างไร อย่าได้พูดจาเช่นนี้อีก” ดุลูกชายเสียงเข้ม ก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ

“ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ข้าขอบคุณในความใจดีของท่าน แต่ท่านกำลังนำภัยมาสู่เรา”

ฟิ้ววววววว ฟิ้วววววววว

เกิดลมพัดกรรโชกแรง จนเส้นผมสีทองของมารดาปลิวไสว แต่นางก็ยังคงยืนปักหลักนิ่ง จนเมื่อลมสงบ แสงไฟที่หรี่ลงในตอนแรกกลับมาวูบไหวอีกครา คล้ายกับจะประท้วงคำต่อว่าของนาง

“ท่านแม่ พี่ชายเป็นคนดีนะขอรับ”

“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไร ว่าพี่ชายของเจ้าจะไม่นำภัยมาสู่เจ้า”

‘ข้าจักดูแลเขาอย่างดี’

“พี่ชายบอกว่าจะดูแลข้าอย่างดี ท่านแม่ พี่ชายเป็นคนดีจริงๆ นะขอรับ” เด็กน้อยบอกพร้อมกับเขย่าแขนมารดา เงยหน้าขึ้นออดอ้อน

“หากเจ้านำภัยมาสู่เขาเมื่อใด ข้าจะพาเขาหนีไปจากที่นี่ จักไม่ยอมให้เขาตกตายไปเป็นอันขาด” ว่าจบก็ดึงลากเด็กน้อยให้ก้าวเดินไปตามทาง เด็กน้อยหันไปยกยิ้มให้กับชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อ อีกคนยิ้มตอบรับกลับมาเบาๆ

จนกระทั่งถึงกระท่อมหลังเล็ก บ้านพักอันแสนสุข ก็ไม่รอช้าที่จะอาบน้ำเข้านอน หลับฝันด้วยความรู้สึกยินดี โดยไม่รู้เลยว่าในคืนนี้พี่ชายใจดีผู้นั้น ก็ยังคงตามมามอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้จวบจนกระทั่งเช้า

“ท่านพี่!!” เด็กน้อยตื่นแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ร้องบอกมารดาว่าจะไปรอที่ต้นไม้นั้น อยากคุยกับพี่ชายใจจะขาด ทำให้ทันทีที่ตัวเองพร้อมสำหรับการเดินทาง ก็วิ่งนำหน้าออกมาก่อน

“ว่าอย่างไรตัวจ้อย” ร้องถามพร้อมโน้มตัวลงเล็กน้อย ตอบรับคำเรียกขาน

“มารดาของเจ้ายินยอมให้พูดคุยกับข้าแล้วหรือ”

“ขอรับ” เด็กน้อยตอบรับพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาสีดำสนิทกลมโตดูกระจ่างใสเหมือนเมื่อครั้งในอดีต จนทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ

“ถ้าอย่างนั้น เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ”

“ข้าชื่อดไวท์ขอรับ แล้วท่านพี่ล่ะขอรับ” ถามพร้อมเอียงคอน้อยๆ อย่างน่าเอ็นดู ทำให้ชายผู้มีนัยน์ตาสองสี และปีกใหญ่คละสีเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม

“ข้าชื่อเซเธอร์ จงเรียกข้าว่าเซธ......”

บทถัดไป