บทที่ 2 กล่อมเจ้านอน
.
.
.
“ข้าชื่อเซเธอร์ จึงเรียกข้าว่าเซธ......”
เด็กน้อยมองจ้องชายตรงหน้า พยักหน้ารับหงึกๆ ด้วยรอยยิ้มกว้าง กำลังจะอ้าปากพูดตอบ หากแต่เสียงเรียกของมารดาทำให้ต้องละสายตาจากคนตรงหน้า ร้องตอบรับกลับไปเบาๆ
“ท่านพี่ ข้าต้องไปแล้วขอรับ” คนตัวโตจึงยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา
“ไปเถอะ ข้าอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน” ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มองจ้องเด็กน้อยที่วิ่งห่างออกไปช้าๆ
ฟุ้บ!
“พบแล้วหรือ?”
“ใช่”
ฟุ้บ!
“เขายังเด็กนัก”
“ข้ารู้”
“เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปเซธ?”
“เฝ้ามองเขาเติบโต ข้าอยากให้เขาได้ใช้ชีวิตกับมารดาให้มากที่สุด”
“โชคชะตาไม่อาจฝืน....”
“ข้าแค่หวังให้เขามีความสุข”
“เขาจะมี....”
“ใช่ เขาจะมี....” ชายผู้ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเดียวดายยาวนานถึง 300 ปี ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป นอกจากเฝ้ามองเด็กชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มและหัวเราะกับมารดาขณะก้าวเดิน รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายตาคละสี
“ข้าหวังให้เจ้ามีความสุข ดไวท์” เพื่อนทั้งสองต่างวางมือลงบนบ่า บีบเบาๆ เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนจะเลือนหายไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับคำพูดที่ทิ้งไว้เหมือนกันทั้งสองคน
“ข้ารอเจ้าอยู่/ข้ารอเจ้าอยู่”
“ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้” ฝากคำพูดไปกับสายลมที่หมุนวนเป็นเกลียวคลื่นให้ล่องลอยไป
ลมแผ่วเบาพัดพาให้กลีบดอกวิสทีเรียพัดไสว ปลิวไปตามสายลม เส้นผมสีดำสลับขาวพัดปลิวไปพลาง ก่อนจะทิ้งตัวลงเหยียดตรง ปีกกว้างสองสีกางออกจนสุดความยาว กระพือเพียงครั้งร่างสูงก็ลอยอยู่เหนือพื้นดิน แววตาอาทรมองจ้องเด็กน้อยไม่วางตา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างช้าๆ จนกระทั่งเห็นว่าทั้งมารดาผู้นั้นและเด็กน้อยตัวจ้อยหายลับไปในร้านอบขนมปัง ร่างสูงจึงยืนอยู่บนกิ่งก้านอันแข็งแรงของต้นไม้ที่ตนใช้เป็นสถานที่พักพิง
จวบจนกระทั่งฟ้ากลายเป็นสีรัตติกาล สองแม่ลูกจึงพากันเดินทางกลับบ้านพักของตน เมื่อเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ ก็พบกับแสงเทียนเล่มน้อยเหมือนเมื่อคราวก่อน ครานี้ผู้เป็นมารดามิได้ปริปากบ่นอะไรออกมาอีกต่อไปแล้ว นางทำเพียงลูบหัวลูกชายเบาๆ แล้วจึงพากันจับจูงเดินกลับบ้าน โดยที่มีชายร่างสูงใหญ่เดินรั้งท้าย ทำให้เด็กน้อยหันไปมองอยู่บ่อยครั้ง คล้ายกับว่าอยากจะเข้ามาหาพูดคุยด้วย แต่เพราะมารดายังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง ไม่สนใจอาการรั้งรอของเด็กน้อยสักเท่าไหร่นัก
เมื่อมาถึงบ้านพักหลังเล็ก ผู้เป็นมารดาจึงร้องบอกให้มาทานอาหารเย็นก่อน แล้วถึงปล่อยให้เข้านอนพักผ่อน อาหารเย็นในวันนี้ไม่ใช่ของเลิศหรูอะไร เพียงน้ำซุปสีใสกับขนมปังแข็งๆ ที่ใกล้ขึ้นราเต็มที แต่ก็ต้องทานเพื่อต่อชีวิตในแต่ละวัน เมื่อทานเสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัว แต่พอเข้าไปแล้วเด็กน้อยก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะผ่อนลมหายใจช้าๆ
“ท่านพี่ ท่านเข้ามาแบบนี้ข้าตกใจจนหัวใจหล่นหายไปแล้วขอรับ” พูดพร้อมลูบอกเบาๆ กองเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ในตะกร้า ก่อนที่คนที่แอบย่องเบาเข้ามาจะร้องเรียก
“มานั่งนี่เสีย” ว่าพร้อมดันเก้าอี้ไม้เก่าๆ ให้เด็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบกะละมัง ตักน้ำเย็นใส่ จุ่มฝ่ามือลงไป จนน้ำเริ่มมีควันขึ้นเล็กน้อย ลองวนมืออีกครา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ร้อนจนเกินไปนัก แล้วจึงกลับมาทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กตัวขาวราวหิมะอีกครั้ง
เด็กน้อยนั่งมองอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ เอาแต่ลอบสังเกตอยู่เงียบๆ จนคนเป็นพี่ยกเท้าของตนขึ้น ถอดถุงเท้าออกจากข้อเท้าเล็ก แล้วจับลงจุ่มในน้ำนั้น
“เจ้าทำงานมาหนัก คงเจ็บเท้ามากเลยใช่หรือไม่ นี่จะช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น” ว่าพร้อมกดๆ นวดๆ ฝ่าเท้าเล็ก ความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นไปทั่วร่าง เห็นเป็นพลังงานสีทองประกายสดใสเล็กๆ สายหนึ่ง ซึมหายเข้าไปใต้ผิวหนัง ช่วยให้เด็กน้อยรู้สึกสบายยิ่งขึ้นจนตาวาว
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากเลยขอรับ” คนเป็นพี่ยกยิ้มให้กับท่าทางนั้น คิดว่าหากเป็นเมื่อครั้งอดีต เจ้าเด็กตัวเล็กนี่คงจะกระดิกหูกระดิกหางอย่างตื่นเต้นเป็นแน่ เมื่อนวดไปสักระยะ จนมั่นใจว่าเด็กน้อยจะนอนหลับสนิทในคืนนี้ จึงค่อยๆ ลดฝ่าเท้าของเด็กน้อยลงพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนโยน
“จงอาบน้ำเสีย ก่อนที่จะหนาวไปมากกว่านี้” พูดพร้อมกับผละออกไปอีกทาง เด็กน้อยจึงยืนขึ้น แล้วเริ่มต้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ก่อนจะหยุดชะงัก
“ท่านพี่ ท่านจะดูข้าอาบน้ำหรือขอรับ?” คนตัวโตที่มีอายุมายาวนานกะพริบตาปริบๆ ร้องถามหน้าซื่อ
“ไม่ได้หรือ?”
“อ่อ...” เด็กน้อยถึงกับไปไม่เป็น ทำหน้าลำบากใจ จะออกปากไล่อีกหนก็เกรงใจ แต่จะให้ถอดเสื้อผ้าให้เห็นก็คงไม่สมควร เมื่อเกิดความเงียบขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่างคนต่างหยุดนิ่ง คนตัวโตกว่าจึงถอนหายใจเบาๆ
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าไม่กวน” ว่าจบก็ออกไปจากห้อง ไม่ได้ออกทางประตู แต่ออกทางหน้าต่าง เร้นกายหายไปในความมืด ทิ้งเด็กน้อยที่กะพริบตาปริบๆ เอาไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มลงมือถอดเสื้อผ้าแล้วลงแช่น้ำอย่างสบายตัว
ทางหน้าต่างที่คนพี่ได้ใช้เป็นประตูเข้าออก ยืนหลบมุมอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ เฝ้ามองเด็กน้อยอาบน้ำด้วยความสุขจนต้องยกยิ้มออกมา ก่อนที่แววตาจะแข็งกร้าวขึ้น ออกปากไล่ด้วยเสียงดุดันข่มขวัญ
“ไป!!”
แฮ่ แฮ่ แฮ่
เหล่าหมาในที่เคยบุกรุกเมื่อหลายวันก่อน ยังคงจดจ้องๆ หวังจะได้อาหารมื้อใหญ่ จนทำให้ร่างสูงนึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเขาไม่ใช่เทพเจ้าแห่งการคุ้มครอง คงได้มีการหลั่งเลือดของหมาในเหล่านี้เป็นแน่ สงสัยว่าคงต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เมื่อคิดได้ก็กางปีกบินออกจากพื้นที่ มุ่งตรงไปในป่าลึกที่ด้านหลัง
ตุ้บ!
แฮ่ แฮ่ แฮ่
ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นดิน เหล่าหมาในฝูงใหญ่ก็ผุดตัวลุกขึ้น พร้อมเสียงร้องคำรามกึกก้องข่มขวัญผู้บุกรุก หูหางตั้งอย่างระแวดระวัง ก่อนที่เหล่าหมาในแยกออกเป็นทางสายหนึ่ง เมื่อจ่าฝูงของมันเดินก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายผู้มีใบหน้าดุดันเคร่งขรึม
‘มาทำไม’
“พวกของเจ้าจดจ้องของสำคัญของข้า”
‘พวกข้าแค่ต้องการอาหาร’
“เขาไม่ใช่อาหารของใคร และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิแตะต้องเขา”
‘คิดว่าห้ามได้หรือ?’ ถามพร้อมแสยะเขี้ยวคมสีขาวนวลเต็มปาก น้ำลายไหลย้อยเมื่อคิดถึงเนื้อรสชาติดี ฉ่ำหวาน และความอุ่นร้อนของสายเลือด เมื่อยามได้ฝังคมเขี้ยวลงบนผิวบางนั้น
ฟิ้วววว ฟุ้บ!
‘อัก!’ เทพเจ้าแห่งการคุ้มครอง พุ่งตัวด้วยความรวดเร็ว ไปคว้าเอาคอของจ่าฝูง ก่อนจะยกขึ้นทั้งอย่างนั้น แววตาวาวโรจน์ ส่วนจ่าฝูงนั้นตัวลอยอยู่กลางอากาศ ขาหน้าและขาหลังตะเกียกตะกาย หางส่ายสะบัดไปมาอย่างดิ้นรน แววตามองจ้องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการคุ้มครองและปกป้องสรรพชีวิต มองตามมือข้างหนึ่งที่กำรอบคอเรื่อยไปจนเจอกับใบหน้าสองสี ฝ่ามือหนาสีดำสนิทกำลังกำรอบอย่างโหดเหี้ยม พร้อมแรงบีบรัดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
“เลือก จะยอมรามือ หรือจะหายไปทั้งฝูง!” นัยน์ตาสีแดงก่ำประกายลุกโชน ร่างกายครึ่งขวากลายเป็นสีดำสนิทคล้ายกับยมทูตมาพรากเอาชีวิต แรงที่ฝ่ามือเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนจ่าฝูงส่งเสียงร้องออกมาอีกหน
‘อั่ก!’
“เลือก” น้ำเสียงเย็นชา เฝ้ารอคอยคำตอบจากจ่าฝูง
‘ชีวิต’
ตุ้บ!
ฝ่ามือสีดำสนิท ปล่อยร่างจ่าฝูงลงกระแทกกับพื้นอย่างไม่สนใจ จนเกิดเสียงไอค๊อกแค๊กของหมาใน ร่างกายครึ่งซีกที่เป็นสีดำ ค่อยๆ จางหาย กลับกลายเป็นสีขาวตามเดิม ปรากฏเป็นภาพของชายใจดีที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนดวงหน้า เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม
“จงเรียกพวกของเจ้ากลับมาซะ หากยังไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นอีก ข้าจักไม่ไว้ชีวิตผู้ใด” ว่าจบก็กระพือปีกลอยตัวขึ้นสูง แล้วบินกลับไปที่บ้านหลังน้อย แอบปีนหน้าต่างเข้าห้องของเด็กชายตัวเล็กตามเดิม บินวนไปวนมาชั่วครู่ แล้วจึงหย่อนกายลงนอนเคียงข้างช้าๆ ดึงเอาเด็กชายตัวเล็กเข้ามากกกอด
“ข้าจักปกป้องเจ้าเอง”
บรู้ววววววววว
สิ้นคำร้องลากยาวของจ่าฝูง เหล่าหมาในที่เฝ้าคอยอยู่ด้านนอกจึงค่อยๆ ถอยหลัง หันกลับเข้าไปในป่าลึก คนตัวโตจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับเด็กน้อยอีกครั้ง กดจูบที่หน้าผากเบาๆ
นอนเถิดหนา ยามนิทรา พี่คอยกล่อม
คอยเฝ้ามอง จดจ้อง มิไปไหน
นอนเถิดหนา คนดี อย่าห่างไกล
พี่คุ้มภัย ปกป้องเจ้า นิรันกาล.....
ฝ่ามือหนาคอยลูบหลังให้กับเด็กน้อย จนเด็กตัวจ้อยขยับเข้าใกล้คล้ายกับขอไออุ่น คนพี่กระชับอ้อมแขนกอดรัดเอาไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงเช่นกัน
เมื่อยามเสียงนกร้องเป็นคราแรกของวัน ชายร่างสูงก็เร้นกาย กลับไปอยู่ในที่ของตน นั่งชันเข่ามองจดจ้องเด็กน้อยที่วิ่งออกจากบ้านมาหาแต่เช้า จนเกิดรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้า บินโฉบถลากายลงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กน้อย
“อ๊ะ ท่านพี่” ร้องเรียกอย่างร่าเริง เงยหน้าขึ้นมองจ้อง จนได้เจอกับดวงตากลมใสราวลูกแก้วแวววาว
“ว่าอย่างไร”
“ท่านพี่เบื่อหรือไม่ขอรับ ข้ามีอันนี้มาเล่นกับท่านด้วย” ว่าจบเด็กน้อยก็ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหิมะเย็นเฉียบ จนคนพี่ต้องจับตัวให้ลุกขึ้น ปัดมือเพียงครั้งหนึ่ง ใบของต้นวิสทีเรียที่ร่วงโรยก็พากันลอยขึ้นเหนือพื้นดิน รวมตัวเป็นเบาะรองนั่งให้กับเด็กน้อย แล้วจึงปล่อยให้นั่งเล่นตามใจอยาก เด็กน้อยนั่งร้อยเชือกบนฝ่ามือของตัวเอง พันไปพันมา ให้พี่ชายได้ดู
“ทายสิขอรับ”
“สุนัขจิ้งจอกหรือ?”
“ถูกต้องขอรับ” ว่าแล้วก็พันเชือกเข้ากับมือของตนอีกครั้ง จนเกิดเป็นรูปร่าง
“นี่คืออะไรขอรับ”
“ฮึ ผีเสื้อ” เด็กน้อยยกยิ้ม ก่อนที่รูปร่างจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ซึ่งทำให้คนทายขมวดคิ้วหมุน
“ขนมปังหรือ?”
“ไม่ใช่ขอรับ” เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ
“อืมมมม” ในขณะที่ร่างสูงกำลังใช้ความคิด ว่าวงกลมๆ สองเส้นที่ข้างหนึ่งมีเชือกสีแดงพันไปมาครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเว้นว่างไว้คืออะไรกัน เด็กน้อยก็เฉลยออกมาก่อน
“ท่านพี่ขอรับ”
“หืม?”
“นี่น่ะ ท่านพี่ไงขอรับ” พูดพร้อมลดมือลง ปลดปมเชือกออกจากกัน เอื้อมมือขึ้นมาจับวงแหวนที่อยู่บนศีรษะ หากแต่มันกลับทะลุผ่าน คล้ายกับเป็นฝุ่นผงที่แตกกระจาย แล้วกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งในรูปร่างเดิม เด็กน้อยเล่นปัดไปปัดมาด้วยความสนุกสนาน คนพี่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ ให้เล่นได้ตามใจ พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยการก้มหัวลงต่ำ
“ทำไมถึงมีสองสีละขอรับ” สิ้นคำถามร่างกายก็แข็งเกร็ง ด้วยจนใจจะตอบ จึงใช้ความเงียบแทนคำพูด มีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่
“ดไวท์ เราต้องไปกันแล้วนะลูก” เสียงของมารดาที่ร้องเรียก ทำให้เด็กน้อยหันไปหามารดา ร้องตอบรับเบาๆ แล้วทิ้งเชือกนั้นไว้ให้คนพี่ได้ลองฝึกเล่นดู
“ลองเล่นดูนะขอรับ ข้าจะไปทำงานช่วยท่านแม่” คนตัวโตรับมาถือไว้ ปล่อยให้เชือกลอยเหนือฝ่ามือ พัวพันกันไปมาจนกลายเป็นรูปเป็นร่าง ขณะมองจ้องเด็กน้อยที่เดินร้องเพลงไปกับมารดา
เชือกสีแดงที่เป็นรูปเป็นร่าง ซ้อนทับกับภาพของเด็กชายตัวจ้อย จนเกิดภาพตัดกันอย่างชัดเจน จิ้งจอกสามหางตัวเล็กในวัยเด็ก....
“ข้ารักเจ้านิจนิรันดร์.....”
