บทที่ 3 สโนว์ดรอป
.
.
.
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรได้บ้างหรือขอรับ” เสียงของเด็กน้อยตัวจ้อยถามพร้อมกับนั่งมองจ้องอย่างสนใจ วันนี้เด็กตัวน้อยไม่ได้ตามไปช่วยงานมารดาเหมือนทุกวัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของร้านอบขนม และมารดาก็จะใช้เวลานี้ในการจัดการบ้านช่อง เช่นการเตรียมฟืน ซักผ้า ดูแลแปลงผัก และหาผลหมากรากไม้ เครื่องเทศและสมุนไพร ซึ่งเด็กน้อยช่วยจนมารดาออกปากไล่ให้ไปพักแล้วนั่นล่ะ ถึงได้มานั่งจุ้มปุ๊ก จ้องหน้าพี่ชายตัวโตอยู่อย่างนี้
“ข้าจะตอบเจ้าอย่างไรดี” คนตัวโตจนใจจะพูด เพราะไม่รู้ว่าจะแสดงอะไรให้เด็กตัวน้อยได้ดู เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้องขอ
“ข้าดูปีกของท่านได้หรือไม่ขอรับ?” เพียงเท่านั้นปีกที่ด้านหลังก็สยายออกกว้าง ยินยอมให้เด็กตัวน้อยเข้าไปดูใกล้ๆ ฝ่ามือเล็กๆ ลูบไล้ไปที่ปีกสีขาวข้างหนึ่งแผ่วเบา ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“มันมีขนร่วงหรือไม่ขอรับ”
“ฮึฮึ” คนพี่ได้ฟังก็หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนกอย่างนั้นหรือ? ไม่หรอก มันจะไม่มีทางหลุด จนกว่าข้าจะเป็นผู้ดึงมันออกมาเอง” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ เชิงเข้าใจ ก่อนจะพึมพำเบาๆ
“นุ่มจัง” คนพี่ได้ฟังก็ทำเพียงยกยิ้ม เด็กน้อยลูบไล้ คลำปีกไปช้าๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ที่กลางแผ่นหลัง แล้วขยับไปที่ปีกสีดำอีกข้าง
“เหมือนอีกาเลยขอรับ” ได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว พับปีกเก็บช้าๆ จนน้องต้องผละออกอย่างจำใจ
“เหมือนเจ้าจะอยากให้ข้าเป็นนกจริงๆ” พูดแล้วลูบศีรษะเล็กเบาๆ เด็กน้อยก็ร้องถามอีกครั้ง
“ท่านพี่ ท่านเป็นผีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ ข้าไม่ใช่ภูตผีหรือวิญญาณ”
“เช่นนั้นแล้วท่านพี่เป็นตัวอะไรหรือขอรับ?” เอียงคอมองจ้องอย่างสงสัย คนพี่หยุดชะงักไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินน้องเปรียบเทียบตนว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง
“ข้าเป็นเทพแห่งการปกป้องและคุ้มครองสรรพชีวิต ลงมาจุติที่โลกตามคำสั่งของนายเหนือหัวผู้สร้างโลก” ทันทีที่ได้ฟัง เด็กน้อยก็ทำตาโต ปากเล็กกระจิริดนั้นอ้ากว้างด้วยความตื่นเต้น
“ท่านพี่เป็นเทพ!”
“ถูกต้องแล้ว”
“ท่านพี่เป็นเทพ!!”
“ใช่”
“ท่านพี่เป็นเทพ!!!”
“ฮึฮึ อะไรของเจ้ากัน” พูดพร้อมโยกหัวเด็กน้อยไปมา กับอาการตื่นเต้นจนน่าตลก
“ข้าขอพรได้หรือไม่ขอรับ!!!” คนตัวโตทำสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ข้าไม่มีอำนาจในการให้พรใคร แม้แต่ตัวข้าเองยังต้องขอพรจากผู้อื่น”
“เห ขอไม่ได้หรอ” เด็กน้อยใบหน้าหมองเศร้าลงตามลำดับ จนคนเป็นพี่ร้อนรน
“หากขอพรได้ เจ้าจะขอพรอะไรหรือ?”
“ข้าจะขอพรให้ข้ากับท่านแม่มีเงินใช้เยอะๆ เราจะได้ไม่ต้องยากจนข้นแค้นขนาดนี้ เราจะได้กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องกร่ำงานหนักเหมือนอย่างที่ผ่านมา” เด็กน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม คนพี่จึงได้แต่ลูบหัวทุยเล็กนั้นเบาๆ
“เจ้าขยันกร่ำงานถึงเพียงนี้ พรของเจ้าจะเป็นจริงในสักวันหนึ่ง” เด็กน้อยพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบรับ แล้วจึงหันไปสนใจเล่นอย่างอื่นต่อ ซึ่งก็คือการป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ พี่ชายตัวโตของตนเอง จึงไม่เห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมเพียงชั่วครู่ที่ปรากฏขึ้น และจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงเล็กๆ ร้องเรียก
“ท่านพี่ ข้างบนนั้นสวยงามหรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยพูดพร้อมกับเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ก่อนที่สองเท้าน้อยๆ จะพาตัวเองไปหยุดอยู่ตรงโคนต้น ฝ่ามือเล็กวางแปะลงไปเพียงแผ่วเบา
เปรี้ยะ!
“อ๊ะ!!!” เด็กน้อยร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับชักมือหนี
“ดไวท์!!!” เซเธอร์รีบรุดเข้ามาใกล้ด้วยความเป็นห่วง จับมือเล็กขึ้นดู พบว่าเป็นรอยแดงปรากฏอยู่จางๆ เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
“แง้ แง้ แง้” เพราะเสียงร้องไห้จ้านั้นทำให้คนเป็นมารดารีบออกมาดู ด้วยความรวดเร็ว
“ดไวท์!!! เจ้าร้องไห้ทำไม! เป็นอะไร! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า!”
“ฮือออออ ฮึก ท่านแม่ ฮืออออ” คนเป็นแม่รีบทรุดตัวลงนั่ง กอดเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังเด็กน้อยไปมาเพื่อให้คลายอาการสะอื้น
“ฮึก ท่านแม่ ข้าเจ็บขอรับ”
“โอ๋ บุตรข้า เจ้าเป็นชายชาตรี ไม่ควรเสียน้ำตาหรอกหนา” พูดพร้อมกับปลอบใจไปพลาง คนพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมองต้นวิสทีเรียเพียงชั่วครู่ ก่อนจะสืบสาวเท้าเข้าหาเด็กน้อย
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ฮึก ฮึก ข้าเจ็บเหมือนมีเข็มเป็นพันๆ เล่มแทงเข้าที่มือของข้า ฮึก” เพียงเท่านั้นมารดาก็รีบจับมือเล็กขึ้นดูอย่างระมัดระวัง พบรอยช้ำแดงก่ำจนน่ากลัวว่ามือน้อยจะปริแตก คนพี่ที่ยืนมองอยู่ขมวดคิ้วเคร่งขรึม ก่อนจะวางมือลงไปช้าๆ พลังสีทองอร่าม เกิดเป็นเส้นสายเล็กๆ มากมาย พร้อมกับละอองสีทองเล็กๆ ที่ผุดขึ้นโดยรอบ ค่อยๆ แทรกซึมลงไปช้าๆ จนทำให้มือเล็กนั้นจากที่เคยแดงจัด ก็กลับเป็นสีขาวเลือดฝาดตามเดิม พร้อมด้วยหยาดน้ำตาของคนตัวเล็ก ที่เหือดแห้งไปด้วย
“น่าแปลกยิ่งนัก เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่ดไวท์” มารดาผู้ไม่เห็นท่านเทพที่อยู่ตรงหน้า จึงพบแค่เพียงว่ารอยแดงบนมือน้อยๆ ค่อยๆ จางลงจนกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม เอ่ยถามลูกน้อยอย่างใส่ใจ
“ไม่แล้วขอรับท่านแม่” ตอบรับเสียงอ่อย ป้ายน้ำตาตัวเองออกปอยๆ
“เจ้ายังอยากเล่นอยู่หรือไม่”
“ขอรับ” เพียงเท่านั้นมารดาก็ปล่อยเด็กตัวเล็กลงที่พื้น ย่อตัวพูดคุยกับลูกชายไปพลาง
“เล่นอะไรจงระวัง อย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บ เข้าใจหรือไม่ดไวท์”
“ขอรับท่านแม่” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่มารดาจะจดๆ จ้องๆ อีกครา แล้วจึงพยักหน้ารับ ยอมผละจากไป
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือดไวท์”
“ข้าก็ไม่ทราบขอรับท่านพี่ แต่พอข้าแตะลงที่ต้นไม้นั่น มันก็มีอะไรไม่รู้ทำร้ายข้า เป็นสีฟ้าๆ” คนตัวโตได้ฟังก็ใบหน้าขมวดหมุน เอ่ยปากเสียงเข้ม
“อย่าเข้าใกล้ต้นไม้นั้นอีกเลย มันอาจจะทำร้ายเจ้าอีกก็ได้”
“ขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะวิ่งเล่นอยู่รอบตัว โดยอยู่ให้ห่างจากต้นไม้นั้นให้มากที่สุด ร้องขอให้แสดงพลังต่างๆ ออกมาให้ได้เห็น คนพี่จึงได้แต่แสดงพลังเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ยลเป็นขวัญตา
จวบจนกระทั่งแสงอัสดงมาเยือน มารดาก็ร้องเรียกให้เข้าบ้านเพื่อพักผ่อน เด็กน้อยทำตามอย่างไม่อิดออด โบกมือน้อยๆ เป็นการบอกลาพี่ชายด้วยรอยยิ้ม คนพี่ยกยิ้มรับพร้อมกับโบกมือรับ
ฟุ้บ!
“น่าแปลกนัก”
ฟุ้บ!
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ แต่ทางที่ดี กันเขาให้ห่างน่าจะปลอดภัยกว่า”
“เจ้าคิดจะกลับมาเมื่อไหร่ เซธ”
“ไม่ใช่เร็วๆ นี้”
“เจ้ากำลังติดอยู่ในบ่วงของมนุษย์”
“ข้าจะไม่กลับไป หากเขาไม่ได้ไปพร้อมกับข้า”
“นายเหนือหัวเริ่มพิโรธ” น้ำเสียงเคร่งขรึมบ่งบอกถึงความจริงจัง
“ข้าหาได้สนใจไม่”
“เจ้ากำลังทำให้นายเหนือหัวหมดความอดทน”
“เช่นเดิมดาร์คเนส ข้าหาได้สนใจไม่” สายตามองทอดยาวไปที่บ้านหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ยืนนิ่งอยู่กับที่
“อย่าขัดใจนายท่านไม่เช่นนั้นเจ้าจะลำบาก”
“ขอบใจไชนิ่ง แต่ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไร”
“ข้ารอเจ้าอยู่/ข้ารอเจ้าอยู่” สองเสียงดังขึ้นพร้อมกันก่อนจะเลือนกายหายไปช้าๆ พร้อมฝากวาจาเหมือนดั่งเช่นทุกที ไชนิ่งและดาร์คเนส เพื่อนสนิทของเซเธอร์ เปรียบเสมือนมือซ้ายมือขวาของตน ถูกส่งให้มาตามตัวเซธที่ยังคงปักหลักไม่ยอมจากไปไหน ด้วยหัวใจที่คาดหวัง ว่าสักวันคนรักของตนจะกลับมา ส่วนสาเหตุที่ถูกตามตัวอยู่บ่อยครั้งเพราะเขาเป็นบุตรชายคนที่ 3 ทายาทสายตรงของนายเหนือหัวผู้สร้างโลก
และนายเหนือหัวผู้นั้นคงต้องการใช้เขาเป็นแขนเป็นขาของตนในการขยับขยายดูแลอาณาบริเวณ จนกว่าโลกใบนี้จะสมบูรณ์ เพียงแต่เขาละทิ้งหน้าที่ของตน และปล่อยให้มันเป็นไปโดยไร้การควบคุมดูแล ทำให้ในบางพื้นที่กลายเป็นพื้นที่รกร้างแห้งแล้ง ไร้สรรพชีวิตอยู่อาศัย หรือบางพื้นที่กลายเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ หาพื้นที่เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตไม่เจอ
เพราะการละทิ้งหน้าที่ของตนนี้เอง ทำให้แผ่นดินที่รวมเป็นปึกแผ่นเริ่มแตกกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ถูกแยกออกจากกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมกลับไปทำหน้าที่ของตน ยังคงเฝ้าคอยคนรักของตนหวนคืน.....
“อึก! ฮึก”
“ชู่ว หลับเสียเถิดยาใจ ข้าจักกล่อมเจ้าให้หลับฝัน” พลังสีทองประจำกายเปล่งแสงขึ้นเหนือฝ่ามือ เกิดเป็นลูกแก้วขนาดเล็ก ก่อนจะกดขยี้มันเข้ากับหน้าผากเล็กชื้นเหงื่อ จนลูกแก้วนั้นแตกกระจายเป็นผุยผงลอยอยู่เหนือศีรษะเล็กของคนในอ้อมแขน และจางหายไปช้าๆ พร้อมกับอาการระส่ำระสายทุรนทุรายที่ค่อยๆ คลายลง
เซเธอร์ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงร้องอึกอักด้วยความทรมานของเด็กตัวจ้อยในอ้อมแขน จึงพบว่าเด็กตัวน้อยราวกับติดอยู่ในฝันร้ายจนเกิดหยาดน้ำตาเอ่อคลอ ทำได้เพียงขมวดคิ้วพร้อมร่ายมนตร์ที่ช่วยให้หลับฝัน เปลี่ยนฝันร้ายให้กลายเป็นดี ช่วยให้ใบหน้าที่ขาวผ่องเริ่มกลับมาซับสีเลือดดั่งเดิม ทั้งๆ ที่ตอนก่อนหน้าใบหน้านวลขาวราวกับหิมะ คล้ายคนใกล้ตายเหมือนยามลมหายใจเฮือกสุดท้ายมาถึง
เขาได้แต่ขมวดคิ้วมองจ้องด้วยความกังวลใจ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าเล็กแผ่วเบา เกลี่ยน้ำตาเม็ดใสออกจากใบหน้า ก่อนจะกดจูบซับตามลงไปติดๆ
“ข้าอยู่นี่ จักไม่ทิ้งเจ้าไปไหน โปรดจงวางใจเถิดหนา”
ยามนิทรา พร่าเลือน เคลื่อนขยับ
พี่กระชับ อ้อมแขน มิไปไหน
คอยคุ้มอยู่ ปกป้องเจ้า คุ้มกันภัย
อวยพรให้ เจ้าฝันดี ทุกค่ำคืน
สองแขนป้อง ตระกองกอด ไว้แนบอก
ยิ่งคิด ยิ่งวิเคราะห์ จิตเคลื่อนหา
กดจมูก ก้มลง หอมกายา
นอนเถิดหนา พี่คอยกล่อม ปลอบเจ้านอน....
ในเช้าวันถัดมาเด็กน้อยมีสภาพที่อิดโรย จนผู้เป็นมารดาต้องออกปากห้ามปราม ให้นอนพักผ่อนอยู่บ้าน ห้ามไปเล่นซนที่ไหน หากแต่เมื่อคล้อยหลังมารดาไป เด็กน้อยก็ปีนลงจากเตียงเดินออกไปทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหิมะที่เย็นจัด หัวเล็กทุยนั้นพิงกับไหล่ของพี่ชายเอาไว้
“เจ้าจักไม่สบายเอาได้” เด็กน้อยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง คนพี่จึงจับตัวน้องให้เอนลงนอนบนตักกว้าง พร้อมวางมือบนศีรษะเล็ก ปลดปล่อยพลังงาน มอบความอบอุ่นให้แก่เด็กน้อยผู้เซื่องซึม
“ข้าฝันไม่ดีเลยขอรับ”
“เจ้าฝันว่าอย่างไรหรือ?”
“ข้าถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง และมีผู้คนจ้องจะทำร้ายข้า”
“มันเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น” พูดปลอบด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ก่อนจะเสนอความคิดขึ้น
“อยากออกไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่?” เพียงเท่านั้นเจ้าตัวเล็กก็ผุดตัวลุกขึ้น หันมามองอย่างสนใจ แตกต่างกับท่าทางก่อนหน้าอย่างลิบลับ
“ที่ไหนหรือขอรับ?”
“ในป่า” เด็กน้อยมีท่าทางกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด จนคนพี่ต้องเอ่ยสำทับยืนยันความหนักแน่น
“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เด็กน้อยชั่งใจอีกเพียงชั่วครู่ แล้วจึงตอบตกลงในเวลาต่อมา ทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลาเหมาะสมกับคำว่าเทพบุตร
ชายผู้เป็นเทพแห่งการปกป้องคุ้มครอง ลุกขึ้นยืน อุ้มคว้าเด็กน้อยขึ้นแนบอก ก่อนที่ปีกใหญ่คละสีจะแผ่ขยายออกกว้าง กระพือปีกสูงเหนือหมู่แมกไม้ แล้วพาบินเข้าไปในป่าลึก จนกระทั่งไปหยุดอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง ทุ่งดอกสโนว์ดรอปสีขาวกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เด็กน้อยวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ร้องถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“นี่ดอกอะไรหรือท่านพี่”
“สโนว์ดรอป ดอกไม้แห่งความหวังและความบริสุทธิ์” พูดพร้อมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องบอกด้วยความเอ็นดู
“จงตั้งใจดู” ฝ่ามือใหญ่วางลงพื้นหิมะสีขาวใสที่เป็นเกล็ดน้ำแข็งข้างหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดภาพความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาที่โดยรอบ ลูกไฟสีๆ ลูกเล็กลอยขึ้นเหนือพื้นดิน ทั้งสีขาว ชมพู เขียว ฟ้า เหลือง ม่วง และสีอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนที่ลูกไฟพวกนั้นจะพากันหมุนวนอยู่รอบตัว พันเป็นเกลียวคลื่น คล้ายกับว่าทั้งสองตกอยู่ใจกลางพายุลูกใหญ่ เพียงแต่มันไม่ได้น่ากลัว กลับกัน มันกลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็กน้อยเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมภายนอกเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นกาลปัจจุบัน เริ่มหมุนวนไปในกาลข้างหน้า ดอกไม้เริ่มผลิบาน แสงแดดเริ่มสาดส่อง หิมะเริ่มละลาย พบภาพพื้นหญ้าที่ฉ่ำชื้น ต้นไม้เริ่มผลิใบอีกหน ดอกไม้เริ่มเบ่งบาน เกิดเป็นฤดูใบไม้ผลิที่แสนสดใส ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลงที่ภาพพระอาทิตย์แสนอบอุ่นที่สาดส่อง มีกวางตัวใหญ่ และสัตว์ตัวน้อยออกมาเริ่มต้นใช้ชีวิต
เด็กน้อยนั่งมองด้วยความอัศจรรย์ใจ ดวงตาแวววาวสุกใสเป็นประกาย คนพี่ปล่อยให้น้องได้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นยามพระอาทิตย์สาดส่อง ก่อนจะปัดมืออีกครั้ง ทำให้ลูกแก้วกลมๆ แสงสีพวกนั้นกระจายหายไป สลายไปกับอากาศ กลับกลายเป็นภาพหิมะรายล้อมดังเดิม
“ชอบหรือไม่”
“ชอบมากเลยขอรับ!!!” เด็กน้อยมีรอยยิ้มประดับอยู่เต็มดวงหน้า อาการเซื่องซึมก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น
“ดีแล้ว” ว่าจบก็ลูบหัวเด็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กออกไปวิ่งเล่น แววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อีกไม่นานแล้ว จงตักตวงความสุขไว้เถิดหนา ขอโทษด้วยข้าไม่อาจฝืนชะตาชีวิต” พูดรำพึงรำพัน ในขณะที่สายตามองจ้องเด็กน้อยไปพลาง หากยอมให้แสดงภาพต่อจากนั้น เด็กน้อยคงได้ร้องไห้จนขาดใจเป็นแน่......
