บทที่ 4 เวลาที่ลดน้อยลง

.

.

.

วันเวลาผันผ่าน....

หิมะเริ่มโปรยปรายเป็นการส่งท้ายฤดูเหมันต์ เด็กน้อยทำได้เพียงมองจ้องอยู่ที่ขอบหน้าต่าง แววตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ คิดถึงพี่ชายที่อาศัยอยู่ที่ต้นไม้นั้น จะเหน็บหนาวหรือไม่กันนะ คิดพร้อมหันกลับไปมองรอบบ้าน เวลานี้ มารดาออกไปทำงานข้างนอก

เนื่องจากค่าแรงที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต มารดาจึงต้องใช้เวลาในวันหยุดของร้านอบขนมไปหารับจ้างทำรายวัน ไม่มีที่เป็นหลักเป็นแหล่ง ในขณะที่ตนเองได้รับคำสั่ง ให้ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน แล้วจึงจะพักผ่อนได้ เด็กตัวน้อยจึงกร่ำงานจนเสร็จเรียบร้อยดี ออกมานั่งมองหิมะโปรยที่ข้างหน้าต่าง ใจนึกห่วงมารดามากขึ้นควบคู่ไปกับใครอีกคน

จนกระทั่งรัตติกาลเริ่มมาเยือน ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออก พร้อมมารดาที่มีหิมะติดอยู่ตามตัว ลมหายใจเกิดเป็นหมอกควันสีขาว บ่งบอกถึงความหนาวเย็นของสภาพอากาศ เด็กน้อยรีบวิ่งเอาผ้าห่มไปให้มารดาด้วยความรวดเร็ว นางทำเพียงยกยิ้มพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออกจากตัว แขวนไว้ที่ประตูบ้าน แล้วจึงรับเอาผ้าห่มมาพันกาย

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าหิวหรือไม่”

“ขอรับ”

“รอข้าประเดี๋ยว” มารดาตอบแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวด้วยความรวดเร็ว เข้าไปจัดการอาหารที่ตนได้รับมาในวันนี้ อาหารเย็นของวันเป็นซุปมันฝรั่งสีใสกับมะเขือเทศ สองแม่ลูกยกยิ้มให้กันพลางนั่งทานอาหารไปด้วย พูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ เด็กตัวน้อยกล่าวถึงผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิ จนคนเป็นแม่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

“พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปช่วยงานข้าหรอกหนา อยู่บ้านพักผ่อนเถอะ”

“ทำไมละขอรับ?”

“ช่วงนี้ในเมืองมีข่าวไม่ค่อยดีนัก ข้าไม่อยากให้เจ้าออกไปเสี่ยงอันตราย”

“ข้าทราบแล้วท่านแม่” คนเป็นมารดาทำเพียงยกยิ้ม ก่อนจะผละตัวไปเตรียมน้ำอุ่นให้กับเด็กน้อย จนเมื่อเจ้าตัวเล็กทานเสร็จ ก็จัดการนำไปเก็บล้างแล้วจึงเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัว เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตน ปิดเปลือกตาลงช้าๆ โดยไม่รู้เลยว่าภายในห้องนอนถูกบุกรุกโดยชายเพียงผู้เดียว ที่มาทอดกายนอนลงเคียงข้างอยู่ในทุกๆ ค่ำคืน

“อีกไม่นานแล้วหนา......” พูดพร้อมกดจูบที่หน้าผากขาวนวล ด้วยความเคร่งขรึมกว่าที่เคย เรื่องราวที่รับรู้กวนใจเขานัก แต่ไม่อาจทำอะไร จึงทำได้เพียงถอนหายใจหนักหน่วง ดวงตาสองสีลืมตามองเพดานห้องอยู่ในความมืด ไม่ได้หลับลงเหมือนอย่างทุกที

“เหมันต์ใกล้จากจรแล้ว เจ้าจะออกไปดูดอกไม้กับข้าหรือไม่?” ในเช้าวันถัดมา เพราะคำสั่งของมารดาทำให้เด็กน้อยต้องอยู่แต่ภายในบ้าน กว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยเต็มที

“ไปขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล ด้วยรู้ว่าพี่ชายท่านนี้ไว้ใจได้ และจะปกป้องตนได้อย่างแน่นอน เทพแห่งการปกป้องคุ้มครองจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอก แล้วสยายปีกขึ้นบินอีกครา เด็กน้อยยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพมุมสูงที่ได้เห็น ก่อนที่ร่างกายใหญ่โตกำยำจะร่อนลงไปยืนบนพื้น

ครั้งนี้ สถานที่ๆ มา ไม่ใช่ที่เดิมกับครั้งก่อน ตรงหน้าเด็กน้อยคือดงดอกกุหลาบสีแดงสดที่ถูกแช่แข็งจนราวกับว่าหากแตะต้องจะแตกหักเอาได้ง่ายๆ เด็กน้อยเผยรอยยิ้มกว้างออกมาจนสุด พร้อมกับร้องถาม

“ข้าเก็บเอาไปให้ท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ” ถามพร้อมช้อนตามองจ้องอย่างเว้าวอน จนคนพี่ใจอ่อนยวบ หากแต่ต้องจำใจตอบกลับไป

“ไม่” ใบหน้าน้องรักเศร้าหมองลง หากเป็นชาติกาลก่อนคงจะได้เห็นภาพหูลู่หางตกด้วยความเศร้าใจ แต่เมื่อพินิจมองจ้องเด็กชายในตอนนี้ก็คงไม่ต่างกันมากนัก

“ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้าต่างมีชีวิตของตน ยกเว้น ดิน ฟ้า อากาศ สายน้ำ เปลวไฟ และหิมะ สิ่งพวกนี้ไม่มีชีวิตของตน ข้าเป็นเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครองสรรพชีวิต ข้าไม่อาจตัดชะตาชีวิตของผู้ใด โปรดเข้าใจข้าด้วย”

“แล้วอะไรจึงเรียกว่าสิ่งมีชีวิตละขอรับ”

“สิ่งมีชีวิตมักจะมีการเติบโต ตั้งแต่เกิด โตเต็มวัย และโรยรายจากไป อย่างเช่นเจ้า เด็กน้อย เจ้ากำลังอยู่ในช่วงเติบโต ต้นไม้ ก่อเกิดจากเมล็ดผล แตกหน่อผลิใบ ชูช่อดอกสวย และร่วงโรยราตามกาลเวลา วนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ นั่น กระต่ายตัวอวบอ้วน เคยเป็นดังเช่นเจ้าตัวเล็กที่อยู่ด้านหลัง แต่มันเรียนรู้และเจริญเติบโต เช่นนั้นจึงเรียกว่าสิ่งมีชีวิต” พูดพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง นกตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนบ่า ส่งเสียงร้องที่ไพเราะออกมาให้ได้ฟัง พร้อมกับกระรอกสีขาวหางเป็นพ่วงที่ขยับเข้ามาใกล้ แม่กระต่ายและลูกๆ พากันกระโดดขึ้นมานั่งเกยบนตัก กวางตัวเขื่องขยับก้าวเข้ามาถูไถใบหน้ากับฝ่ามือที่ยื่นรอรับอยู่ ชายผู้เป็นเทพเจ้ายกยิ้มด้วยความอ่อนโยน เกิดเป็นภาพสัตว์น้อยใหญ่รายล้อมอย่างอบอุ่น

เด็กตัวเล็กมองจ้องด้วยความอิจฉา ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าใส่โถมลงในอ้อมกอดของพี่ชายปีกต่างสี จนเหล่าสรรพสัตว์แตกฮือไปคนละทิศละทาง แต่เพียงไม่นานก็กลับมารวมตัวกันใหม่ เด็กน้อยนั่งลงตรงกลางหว่างขา ลองจับ ลองอุ้ม ลองสัมผัส จนเกิดรอยยิ้มกว้างด้วยความสนุกสนาน ท่ามกลางทุกดอกกุหลาบสีแดงสดภายใต้น้ำแข็งที่ตกผลึก

ทั้งคู่ใช้เวลาพักใหญ่ในการนั่งเล่นกับสรรพสัตว์ที่เข้ามารายล้อม ก่อนจะพากันกลับเมื่อยามพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวลงต่ำ คนพี่จึงพาน้องมาส่งที่บ้าน เด็กน้อยเฝ้ารอมารดากลับมาดั่งเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้มันกลับผิดปกติ เมื่อมารดามาถึงช้ากว่ากำหนด จนเด็กน้อยเริ่มกระวนกระวาย

แกร๊ก! ปัง!

เสียงเปิดประตูถูกเปิดขึ้นและปิดลงอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยกำลังจะอ้าปากร้องถาม มารดายกนิ้วมือเรียวขึ้นจรดริมฝีปาก ฉับพลันสายลมก็พัดไหวภายในห้อง ดับแสงไฟทั้งหมดลงจนตกอยู่ในความเงียบ

“มานี่ มาหาข้า” คนเป็นมารดาพูดด้วยเสียงกระซิบ เด็กน้อยจึงรีบวิ่งเข้าอ้อมกอดในทันที ทันใดนั้นเองเกิดแสงไฟมากมายจากคบเพลิงเป็นประกายไหววูบ ตามมาด้วยฝีเท้าหนักๆ ของคนหลายผู้ เดินย่ำอยู่ที่ด้านนอกของบ้าน เด็กน้อยกอดมารดาแน่น ตัวสั่นงันงกอย่างน่าสงสาร

ฟุ้บ!

“เป็นอะไรหรือไม่?” เด็กน้อยมองหน้าพี่ชายที่เข้ามายืนอยู่เคียงข้าง ก่อนจะส่ายหัวไปมาเป็นการตอบกลับ กอดมารดาแน่นขึ้นอีกนิด

“ไม่เป็นไร พวกเขาเพียงผู้ผ่านทาง” ว่าพร้อมลูบศีรษะเล็กเป็นการปลอบประโลม

ทุกอย่างรอบกายเงียบสนิทมีเพียงสิ่งที่ขยับไหวอยู่ด้านนอกของบ้าน ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า เฝ้ารอและระแวดระวัง เสียงฝีเท้าเดินย่ำอยู่พักใหญ่ บ่งบอกจำนวนของผู้คนที่มีมาก ก่อนที่จะถูกความเงียบและความมืดเข้ารายล้อม มารดาเฝ้ามองจ้องจนมั่นใจ ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

“รออยู่นี่ ข้าจักติดไฟเสียใหม่” พูดพร้อมดันให้ลูกชายยืนนิ่งๆ เด็กน้อยขยับไปยืนข้างๆ พี่ชายใจดี กอดขาอีกคนเอาไว้แน่น คนเป็นพี่ทำเพียงวาดวงแขนลงบนบ่าเล็ก กอดกระชับเอาไว้ พร้อมกับแสงไฟที่ถูกจุดขึ้น เริ่มจากเตาผิงของบ้าน แล้วจึงขยับไปเรื่อยๆ จนบ้านกลับมาสว่างไสวตามเดิม

“ไปอาบน้ำอาบท่าเสียดไวท์ ยิ่งดึกเดี๋ยวเจ้าจะยิ่งไม่สบาย”

“ขอรับ” เด็กน้อยตอบรับพร้อมกับขยับกายออกจากพี่ชายผู้มีนัยน์ตาต่างสี เดินมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ คนพี่เองก็เดินตามไปติดๆ มุ่งตรงไปที่อ่างน้ำ ลองวาดมือสำรวจอุณหภูมิ แล้วจึงผละออก ยืนมองเด็กน้อยที่เริ่มแกะกระดุมคอ เริ่มถอดเสื้อ คนพี่ยืนมองจ้องนิ่งๆ ในแววตาปรากฏอารมณ์บางอย่างยากต่อการคาดเดา ก่อนจะสะดุ้งนิดๆ เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตากระจ่างใสคล้ายลูกแก้วสีดำสนิท

“ไม่ไปหรือขอรับ”

“อ้อ..... นั่นสิ นั่นสิ...” เหมือนตกอยู่ในภวังค์เมื่อคราแรก ก่อนจะดึงสติกลับมาในเวลาถัดมา เดินไปที่หน้าต่าง กระโดดข้ามออกไปนอกบ้าน เด็กน้อยมองจ้องอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ติดใจหาความอะไร สลัดเสื้อผ้าออกจากตัว แล้วกระโดดลงน้ำ สองแขนเล็กตีน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าใครแอบมองจ้องตนเองอยู่

จวบจนกระทั่งถึงเวลานอนหลับ เด็กน้อยนอนระสับระส่ายไปมา คนที่แอบโดดเข้ามานอนกกกอดอยู่ทุกคืนวันมองดูด้วยความแปลกใจ ด้วยปกติแล้วเด็กน้อยต้องการเพียงที่นอนนุ่มๆ และอบอุ่น ก็จะหลับใหลได้โดยง่าย แต่ตอนนี้กลับนอนพลิกตัวไปมา มือน้อยถูกยกขึ้นกุมท้องอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาเข้าใจได้ในไม่ช้า

เทพแห่งการปกป้องคุ้มครอง กางปีกกว้าง บินหายลับเข้าไปในป่าใหญ่ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็บินกลับมา พร้อมกับของที่อยู่ในอ้อมแขน กระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาในห้องของเด็กน้อย

ตุ้บ!

คนที่กำลังนอนพลิกตัวไปมาสะดุ้งตกใจ ผุดตัวลุกขึ้นนั่งในทันที สายตากวาดมองไปทั่วห้อง เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่หน้าต่าง กำลังจะอ้าปากร้องเรียกมารดา แต่กลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้นมาก่อน

“ท่านแม-”

“เด็กน้อย” เพียงเท่านั้นก็หุบปากฉับ นั่งฉงนอยู่บนเตียง เกิดลมพัดวูบสายหนึ่ง แสงไฟในห้องจึงปรากฏพบส่องให้เห็นใบหน้าของผู้บุกรุก

“ท่านพี่ ท่านมาหาข้าในยามนี้มีอันใดหรือขอรับ” เอียงคอมองจ้องอย่างน่ารักน่าชังในความรู้สึกของคนมอง จนมุมปากยกยิ้มอ่อนโยน

“ข้าเก็บผลไม้มาให้เจ้า” ว่าพลางวางกองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนลงบนเตียง มีผลไม้หลากหลายชนิด ทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่ เช่นแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ น่าแปลกที่มันเป็นเพียงลูกๆ ไม่ได้มาเป็นพ่วงอย่างที่เคยเห็น เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองคนที่นำมาให้

“ให้ข้าหรือขอรับ”

“ใช่ มารดาเจ้าคงมีเรื่องกังวลใจ ถึงได้ลืมตระเตรียมอาหารเย็นให้เจ้า เจ้าคงหิวใช่หรือไม่”

“ขอรับ” คนฟังยกยิ้ม ฝ่ามือถูกยกขึ้นลูบผมสีเทาอ่อน เอ่ยปากอย่างอาทร

“ขอโทษด้วย อย่างที่บอก ข้าไม่อาจตัดชะตาชีวิต จึงเลือกเก็บแต่ที่ตกพื้นมา เจ้ากินได้หรือไม่”

“ข้าทานได้ขอรับท่านพี่ ข้าขอบคุณท่านมากขอรับ” เด็กน้อยตอบรับ พร้อมกับหยิบเอาองุ่นเข้าปาก เคี้ยวหงุบหงับจนแก้มตุ่ย คนพี่เฝ้ามองจ้องจนน้องทานเสร็จ จึงเอ่ยปากถามไถ่

“เจ้าอิ่มหรือไม่”

“ขอรับ เหมือนท้องข้าจะแตกในไม่ช้านี้เลย” ว่าพร้อมลูบท้องกลมๆ ของตัวเอง

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว จงนอนหลับพักผ่อนเสีย ข้าจักกล่อมเจ้านอน” ว่าพร้อมนอนเท้าแขน มองเด็กน้อยที่พลิกตัวนอนตะแคงข้างเข้าหาตน

“รัตติกาล คืบคลาน ยามเดือนดับ

พี่ขยับ เข้าใกล้ ไม่หน่ายหนี

ตะล่อมกล่อม หลับฝัน เถิดคนดี

เพราะพี่นี้ จักเคียงข้าง ไม่ห่างกาย...”

จบคำกล่าว เจ้าของร่างนัยน์ตาสองสี โน้มตัวลงต่ำ กดจูบบนหน้าผากเล็กที่หลับฝันแผ่วเบา กระซิบคำหวานที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน

“ฝันดี ยอดยาใจของข้า”

ในเช้าวันถัดมา ช่างเป็นเช้าที่สดใส แสงแดดสาดส่อง จนทำให้หิมะเริ่มละลาย ผืนแผ่นดินเริ่มปรากฏ ต้นไม้ใหญ่เริ่มผลิดอกออกผล ใบอ่อนเริ่มแตกหน่อขึ้นจากพื้นดิน หลังจากที่ถูกฝังกลบภายใต้หิมะเย็นชืดมาเนิ่นนาน

เด็กน้อยรีบลุกจากเตียงแต่เช้า ช่วยมารดาตระเตรียมสิ่งของ ทำงานงานบ้านของตน แล้วจึงออกไปเล่นกับพี่ชายที่ต้นไม้ใหญ่ที่ประจำ เด็กน้อยนั่งตักของคนเป็นพี่ เงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่ยังคงผลิดอกเป็นพวงสีขาวอมม่วง บ้างก็มีสีชมพูแซมจางๆ ร้องถามอย่างแปลกใจ

“ท่านพี่ ต้นไม้นี้คือต้นอะไรหรือขอรับ”

“ต้นวิสทีเรียน่ะ”

“เห” เด็กน้อยตอบรับในลำคอ เงยหน้าขึ้นมองอย่างสนใจ คนพี่จึงกล่าวต่อ

“ความหมายของดอกวิสทีเรีย หมายถึงอายุยืนยาว แต่ในขณะเดียวกัน มันกลับเป็นดอกไม้ที่อันตรายนัก ลำต้น กิ่งก้านสาขา รกรากหรือดอกผลล้วนมีพิษ แม้จะสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ในขณะเดียวกันกลิ่นของมันกลับหอมรัญจวนใจ อยากที่จะสูดดม หากแต่อันตรายยิ่งนัก อีกทั้งมันเป็นพืชรุกราน ถ้าเจ้ามองเห็น โดยรอบนี้ไม่มีพืชชนิดอื่นขึ้นแทรกแม้แต่ต้นเดียว” เด็กน้อยได้ฟังก็มองไปรอบๆ จริงอย่างที่พี่ชายว่า แม้ว่าต้นไม้อื่นๆ จะพากับผลิบาน แต่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่นี้กลับไม่มีเลยแม้แต่ต้นเดียว และเขาเองก็ไม่เห็นดอกของมันร่วงโรยเช่นกัน

“มันจะร่วงโรยเมื่อใดหรือขอรับ”

“ไม่หรอก มันจะไม่มีวันร่วงโรย ในทางกลับกัน มันจักเจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีวันโรยรา”

“อัศจรรย์นัก!!” เด็กน้อยตาโต แต่คนพี่กลับส่ายหน้าไปมาด้วยความเศร้าใจ

“ไม่หรอก สำหรับข้า มันถูกจองจำ ดั่งต้นไม้ต้องสาป” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง แววตาเศร้าสร้อยระคนทุกข์ใจ เห็นความเจ็บปวดในดวงตา พร้อมถ้อยคำรำพึงรำพัน

“ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก” พูดจบก็ยกยิ้มเศร้า จนคนมองรู้สึกว่าหัวใจถูกทุบด้วยของแข็ง จิตใจหล่นวูบ ระด้วยความเศร้าตามที่คนพี่รู้สึก ฝ่ามือเล็กแตะลงบนใบหน้า เอ่ยปากอย่างเลื่อนลอย

“ข้าอยู่นี่....”

เพียงเท่านั้นก็เรียกให้สายตานั้นรั้งกลับมามอง

“เจ้าว่ากระไรนะ?” ถามราวกับไม่เชื่อหูของตนเอง คนที่ยกมือขึ้นแตะกะพริบตาปริบๆ เอียงคอถาม

“อะไรหรือขอรับ?”

“เมื่อครู่นี้เจ้า.... ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” บอกปัดไป ด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางจดจำอดีตชาติได้ มือเล็กยังคงแตะอยู่ที่ใบหน้า มองจ้องดวงตาคละสี

“เหตุใดท่านพี่จึงมีดวงตาสีแดงและสีม่วงละขอรับ” คนฟังยกยิ้มให้เด็กขี้สงสัย วางฝ่ามือทาบทับกับมือของน้องเอาไว้ แล้วดึงออกแผ่วเบา

ไม่ผิด ปีก วงแหวน และนัยน์ตาต่างสี ล้วนมีที่มาของมัน เขาจะเล่าเท่าที่จำเป็น ด้วยไม่อยากให้เด็กตัวน้อยหวาดกลัวตนเอง

“แต่เดิมข้ามีดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ แต่เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ทำให้ปีกและวงแหวนของข้ากลายเป็นสีดำ ในขณะเดียวกันมันทำให้ดวงตาของข้าเปลี่ยนเป็นสีแดงไปด้วย”

“เพราะงั้นข้างขวาของท่านจึงเป็นปีกสีดำ วงแหวนสีดำ และนัยน์ตาสีแดงใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้วเด็กน้อย”

“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ก่อนที่คนพี่จะปัดมันทิ้งไป

“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าต้องรู้หรอกนา สักวันเจ้าจะได้รู้ ข้าสัญญา” เด็กน้อยเห็นความเจ็บปวดปรากฏอยู่ในน้ำเสียงและแววตานั้น จึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป ไม่เซ้าซี้ให้มากความ แล้วหันไปถามเรื่องการแต่งตัวแทน

“ท่านพี่ไม่หนาวหรือขอรับ ข้าไม่เคยเห็นท่านสวมใส่เครื่องป้องกันลมหนาว” เด็กน้อยพูดพร้อมกับกวาดสายตามองการแต่งกาย พี่ชายของเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวสะอาดตา ที่ส่วนปลายของแขนเสื้อและชายผ้าเป็นสีทองพร้อมลวดลายที่สวยงาม มีสายคาดเอวสีน้ำเงินเข้ม แล้วคาดด้วยเข็มขัดทองทับอีกที รองเท้าเป็นสีดำดิ้นทองแบบหุ้มส้น ที่คอสวมใส่สร้อยที่เป็นเชือกสีดำ จี้ห้อยเป็นเขี้ยวของตัวอะไรสักอย่าง นอกจากนี้แล้วไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับอื่นใดอีก

“ไม่ดไวท์ ข้าไม่หนาว ข้ามีพลังในกายช่วยรักษาสมดุล ทำให้ข้าทนร้อน ทนหนาวได้”

“เช่นนั้นท่านพี่ควบคุมดินฟ้าอากาศได้หรือไม่ขอรับ”

“ไม่เช่นกัน นั่นเป็นหน้าที่ของเทพแห่งฤดูกาล ข้าไม่อาจแทรกแซง ข้าทำได้เพียงกำหนดสรรพชีวิต ว่าควรจะเติบโตและโรยราในช่วงชีวิตใด”

“ยังมีเทพองค์อื่นอีกเยอะไหมขอรับ”

“มีอีกมากทีเดียว” คนพี่พยักหน้ารับคำ เงยหน้ามองภาพพระอาทิตย์กำลังตกดิน ก่อนจะร้องบอกเบาๆ

“จงรีบกลับบ้านเสีย ใกล้จะมืดแล้ว เดี๋ยวมารดาเจ้ากลับมาแล้วเห็นเจ้ายังวิ่งเล่นอยู่นี่จะโดนดุเอาได้” ว่าพร้อมผุดตัวลุกขึ้นยืน พาให้เด็กน้อยลุกตามไปด้วย

“งั้นข้าไปก่อนนะขอรับ วันพรุ่งข้าจักมาเล่นกับท่านใหม่” เด็กน้อยร้องบอกพร้อมโบกมือเบาๆ คนพี่ก็โบกมือกลับไป ก่อนจะร้องเรียกเอาไว้

“ดไวท์”

“ขอรับ?”

“จงใช้เวลาอยู่กับมารดาเจ้าให้มาก นางรักเจ้ามาก รู้ใช่หรือไม่” เด็กน้อยยกยิ้มกว้าง พยักหน้าหงึกๆ

“ข้าทราบขอรับท่านพี่” เด็กน้อยโบกมืออีกครั้ง ก่อนจะวิ่งกลับเข้าบ้านของตนที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ไม่ทันได้สนใจคนที่มองตามส่งจากด้านหลัง

“เวลาเหลือน้อยนิดแล้วดไวท์ เหลือน้อยลงแล้ว....”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป