บทที่ 6 วันเกิดอายุ 18

.

.

.

เซเธอร์อุ้มประคองเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหลับไป ในขณะที่อาหารที่ตระเตรียมเอาไว้ ไม่ถูกเด็กน้อยแตะต้องแม้เพียงนิด เทพเจ้านัยน์ตาสองสีถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ฝ่ามือถูกยกขึ้นลูบศีรษะเล็กอย่างใส่ใจ

“ข้าอยากช่วยเจ้าได้มากกว่านี้ ดไวท์”

ฟุ้บ!

“เจ้าทำไม่ได้”

“ข้ารู้”

ฟุ้บ!

“นางอยู่ในปรโลก”

“ข้าไม่อาจก้าวก่าย”

“เขาจะเป็นเช่นไร” สิ้นคำถาม รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า เอ่ยปากด้วยความอ่อนโยนราวกับเสียงกระซิบ

“เขาจะมีชีวิตที่เป็นสุข ข้าจักมอบความสุขให้เขา”

“มนุษย์ไม่ยั่งยืนเท่าเรา ขนาดตอนเขาเป็น..... ก็ยังไม่อาจเทียบเท่า”

“ข้าจะหาหนทาง มันต้องมีแน่”

“เซเธอร์ เจ้าก็รู้......”

“แต่หากนายเหนือหัวทรงเมตตา.......”

“เจ้าทำให้นายเหนือหัวกริ้วปานนั้น คิดว่าเขาจะยินยอมให้เจ้าหรือ” ไชนิ่งพูดแย้งเบาๆ ทำให้คนที่กำลังพินิจมองใบหน้าขาวผ่องเป็นกังวล หากไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่มีหนทางอื่นใดแล้ว

“เฮ้อ เซธ เจ้าควรกลับมาอยู่ในที่ของเจ้า”

“และใช่ เจ้าควรกลับมาอยู่ในที่ของเรา ไม่ว่าเจ้าเลือกทางใด ข้ายินดีรับ”

ฟุ้บ! /ฟุ้บ!

“ข้ารอเจ้าอยู่/ข้ารอเจ้าอยู่”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ สหายข้า” ฝากแว่วเสียงสำเนียงไปตามสายลมที่พัดผ่านเช่นเคย ไชนิ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ในขณะที่ดาร์คเนสเปรียบเสมือนยมทูตในปรโลก ทั้งสองอยู่ต่างที่ แต่ก็เป็นเพื่อนของเขาทั้งคู่ ถ้อยคำที่ว่า รออยู่ นั้นหมายถึงช่วงเวลาที่ข้าต้องเลือก ว่าจะใช้ชีวิตกับที่ใด หรือก็คือนายเหนือหัวให้เขาเป็นคนเลือก ว่าจะปกครอง สวรรค์หรือนรกภูมิ ในขณะที่ตัวเขาเอง เลือกที่จะปักหลักบนโลกมนุษย์ เพียงเพื่อเฝ้ามองความเป็นไปของยอดดวงใจของตน

ในอดีตเด็กน้อยผู้เป็นเพียงมารจิ้งจอกสามหาง เมื่อตกตายไป ตามหาเท่าใดก็ไม่อาจพบพาน ไม่ว่าจะบนสวรรค์หรือนรก ล้วนไร้วี่แววของคนรัก เขาจึงเลือกที่จะกลับมาเฝ้ารอ ณ ที่เดิม เผื่อว่าสักวัน เด็กน้อยจะกลับมา จึงทำให้เขายังรั้งรอ ไม่ยอมขยับไปปกครองที่ใดตามที่นายเหนือหัวปรารถนา และนั่นก็ดึงเวลามาจนถึงป่านนี้ 300 ปี

“ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า ยอดดวงใจแห่งข้า” พูดแล้วก็ก้มลงจุมพิตบนหน้าผากแคบ แทนคำมั่นสัญญา แล้วล้มตัวลงนอนกอดเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน กล่อมให้หลับฝันไปด้วยกัน

ข้าเฝ้าคอย ตามหา ดวงใจเจ้า

ใยจึงเฝ้า เร้นกาย เมินหน่ายหนี

ข้ายังรอ เพียงเจ้า นะคนดี

พี่ปรีดี ยามเจ้า เผยหน้ามา

เฝ้ามองจ้อง จดจ่อ อยู่เป็นนิจ

เพียงเจ้าพิจ มองจ้อง พี่โหยหา

ได้โปรดเถิด ดวงใจ เพียงหันมา

พี่จักกอด กายา ไม่ห่างกาย...

.

.

.

วันเวลาเลยผ่าน ยามทิวามาเยี่ยมเยือนและโรยราไป จันทรากระจ่างใสในค่ำคืน เด็กน้อยตัวขาวราวหิมะทำเพียงมองเหม่อที่หน้าต่างของบ้าน เฝ้ามองออกไปที่สวนด้านนอก ตกอยู่ในภวังค์ มีเพียงเทพข้างกายเท่านั้นที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จัดเตรียมอาหาร เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่หลับนอน และดูแลบ้านช่องให้อย่างเอาใจใส่

เวลาผ่านเลยไปมากเท่าใด ดูเหมือนเด็กน้อยจะยิ่งทำใจได้มากเท่านั้น ทำให้คนเป็นพี่ยกยิ้มพึงพอใจ ที่อาการของเด็กน้อยทุเลาลง จากเด็กชาย กลายเป็นเด็กหนุ่ม จากเด็กน้อยอายุเพียง 10 ขวบ เติบใหญ่จนกระทั่งอายุ 17 ปี เพียงแต่.....

“ฮึบ! ฮึ้บ! ฮึ้บบบบบบ”

“เจ้านี่โตเพียงอายุเท่านั้นสินะ” คนพี่ว่าพลางยืนซ้อนหลัง เอื้อมหยิบถ้วยใบใหญ่ที่อยู่บนชั้นบนสุด ที่แม้เด็กน้อยจะเขย่งจนสุดแขน ก็ยังต่ำกว่าคนพี่มากนัก

“ก็บ้านนี้ท่านพี่เป็นใหญ่นี่ อะไรๆ ก็สูงไปเสียหมด แล้วข้าจะปริปากว่ากระไรได้เล่า” ว่าพร้อมยู่หน้า รับเอาถ้วยมาถือไว้ เดินไปที่หม้อซุปหางวัว ก่อนจะตักแบ่งใส่ถ้วยวางลงบนโต๊ะอาหาร แล้วทรุดตัวนั่งลง

“เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่สามารถหาของดีๆ มาบำรุงเจ้าได้” คนพี่น้อมรับความผิดด้วยความจนใจ มองอย่างลุกแก่โทษ เพราะเขาเป็นเทพ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำให้ต้องอาศัยหาอาหารจากเศษซากของสัตว์ที่ตายแล้ว และผลไม้ที่ร่วงลงสู่พื้นดิน จึงทำให้คนเป็นน้องตัวเล็กจ้อย ไม่ต่างจากเด็กอายุ 14 ทั้งที่ความจริง อายุนั้นเลยวัยออกเรือนไปเสียแล้ว และยังถูกเข้าใจผิดว่ายังเป็นเด็กน้อย จนหลายๆ คนที่ไม่ยอมรับเข้าทำงาน

เด็กน้อยจึงกลายมาเป็นเด็กเลี้ยงสัตว์ ให้กับบ้านใกล้เรือนเคียงแทน ที่ทำก็มีเพียงให้อาหารและคอยดูแลไม่ให้มันหลุดออกจากฝูง ซึ่งก็คือพี่ชายคนนี้เองที่ทำหน้าที่แทนในการควบคุมดูแลสัตว์น้อยใหญ่ที่น้องได้รับมอบหมาย

“ท่านพี่ อย่าได้โทษตนเลย หากข้าไม่มีท่าน ข้าคงจะตกตายตามมารดาไปเสียแล้ว ท่านเลี้ยงข้ามาจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้ ข้าซึ้งใจท่านยิ่งนัก แม้ว่าข้าจะตัวเล็กน้อย แต่ข้าก็สู้งานไม่ถอยนะขอรับ” เด็กน้อยพูดพร้อมตบอกของตนเอง แสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีแรงน้อยเหมือนตัวตนที่เป็นอยู่

“ฮึฮึ ตัวเล็กเช่นเจ้า ข้ากระตุกแขนเพียงครั้งก็อาจจะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้แล้วดไวท์” เด็กน้อยยู่หน้าขัดใจ บ่นออกมาอุบอิบ

“ท่านพี่ก็อย่าทำข้าแรงสิขอรับ” ว่าพร้อมอ้าปากงับช้อน แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างน่าเอ็นดู

“ทานเสร็จแล้วก็อาบน้ำชำระล้างกายเจ้าเสีย ข้าจักไปเตรียมน้ำให้” คนพี่พูดขณะลุกขึ้นยืน เดินย่ำพาตัวเองเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล

เนื่องด้วยเทพแห่งการปกป้องและคุ้มครองเข้าทำหน้าที่ดูแลเด็กน้อยแทนมารดาที่ตายไป ดังนั้นเรื่องการจัดการบ้านช่องและหาข้าวหาปลาให้เด็กน้อยจึงตกเป็นของตนอย่างไม่อาจเลี่ยง และเขาก็เต็มใจที่จะทำเสียด้วย บ้านทั้งหลังถูกปรับปรุงตกแต่งใหม่ ให้เพียงพอสำหรับคนสองคน เตียงถูกขยับขยายให้กว้างขึ้น ชั้นวางของถูกปรับให้เข้ากับความสูงของคนพี่ อ่างน้ำถูกขยายใหญ่ จนเด็กน้อยแทบไม่ต้องทำอะไรในบ้านของตนเองแม้แต่น้อย

เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองก้าวเท้าลงไปในอ่างน้ำ เส้นผมสองสีลอยอยู่เหนือผิวน้ำเพียงชั่วครู่ แล้วจึงจมลงไป เช่นเดียวกันกับปีกใหญ่ ที่พับลงและจมลงใต้น้ำครึ่งหนึ่ง

จ๋อม! ซ่าาาาาา

เด็กน้อยตัวขาวที่ร่างกายไร้อาภรณ์ก้าวเท้าตามลงมาติดๆ มานั่งหันหลังเกาะขอบอ่างให้กับคนเป็นพี่ ฝ่ามือใหญ่เอื้อมหยิบเอาใยขัดตัวขึ้นมาถือไว้ แล้วเริ่มต้นขัดหลังน้องอย่างเบามือ

“ท่านพี่ ท่านมีคนรักหรือไม่ขอรับ” ฝ่ามือใหญ่ที่ทำหน้าที่ขัดถูตัวชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยตอบ

“ข้าเคยมีดไวท์”

“แล้วตอนนี้เธอไปไหนขอรับ”

“เขาจากข้าไป และกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วดไวท์”

“คนรักของท่านพี่มิใช่เทพหรอกหรือ?”

“ไม่ดไวท์ เขาไม่ใช่เทพ แต่เขาเป็นมาร”

“ข้าไม่เคยเห็นมารมาก่อน”

“ฮึฮึ ดาร์คเนสก็มารนะดไวท์”

“อ๊ะ! ท่านดาร์คเนสเป็นมารหรือขอรับ!” เด็กน้อยหันมาทำหน้าตกใจใส่ จนคนพี่ลดมือลง และเปล่งเสียงหัวเราะในลำคอ

“ใช่น่ะสิ หันหน้ามานี่” ว่าแล้วก็จับเด็กน้อยให้หันหน้ามาหา แล้วเริ่มขัดถูตัวที่ด้านหน้าให้อย่างเบามือ ในขณะที่คนเป็นน้องยังคงพึมพำออกมาเบาๆ

“ข้ามิรู้มาก่อน” คนพี่ขัดต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบที่เหนือยอดอกของเด็กน้อยดั่งเช่นทุกที แล้วจึงผละออกไป

“ทำไมท่านพี่ต้องประทับริมฝีปากที่ตรงนี้ทุกที” เด็กน้อยถามขณะก้มหน้าลง เห็นเพียงเส้นผมสีดำสลับขาว ก่อนที่คนพี่จะเงยหน้าขึ้น แล้วกดจูบที่ข้างแก้มในลำดับถัดมา

“เพื่อไถ่โทษกระมัง” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากอ่างน้ำ พร้อมหันมาร้องบอกเด็กน้อย

“เจ้าก็รีบขึ้นเสีย ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” ว่าจบก็เดินออกไปจากห้อง ที่เอวสอบยังคงมีกางเกงผูกเอาไว้อยู่ เปลือยกายเพียงท่อนบนเท่านั้น

ฟุ้บ!

“เจ้าทนได้อย่างไร”

ฟุ้บ!

“ถ้าเป็นข้าเขาไม่เหลือแม้แต่เส้นผม”

“เขาเป็นของข้า” เอ่ยตอบเสียงเย็น ขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตน

“ข้านับถือเจ้านักเซธ”

“เจ้าอดทนต่อเขาได้เยี่ยงไร”

“หากเจ้ามีรักแท้ ไชนิ่ง เจ้าจะรู้จักการรอคอย”

“แต่ถ้าให้รอนานเช่นเจ้า ข้าคงได้ลงแดงเป็นแน่”

“ข้ารอมาตั้ง 300 ปี รออีกสักนิดจะเป็นอะไรไป” ว่าพร้อมเดินออกจากห้องเปลี่ยนผ้า แล้วมุ่งตรงไปหาเด็กน้อยที่ห้องนอน ในขณะที่เพื่อนทั้งสองก็เร้นกายหายไป หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่ ในขณะที่คนพี่ก็เอนหลังนอนลงเคียงข้าง ท่อนแขนใหญ่วางพาดที่ช่วงเอวคอดกิ่วราวกับหญิงสาว ดึงกระชับน้องให้เข้ามาใกล้มากขึ้น

“ท่านพี่... ท่านมีบ้านให้กลับไปหรือไม่ขอรับ?”

“เจ้าคือบ้านของข้า ดไวท์”

“ท่านพี่ก็คือบ้านของข้าเช่นกันขอรับ” พูดตอบพร้อมซุกตัวเข้าหาอกแกร่ง ริมฝีปากรูปกระจับเผยยิ้ม ก่อนจะเอื้อนเอ่ยบทเพลงกล่อม จนกระทั่งเด็กน้อยในอ้อมแขนหลับลงไปช้าๆ ผู้เป็นเทพก้มลงมองเด็กน้อยในอ้อมแขน จุมพิตลงที่แก้มนวล

“ข้ารักเจ้า ดวงใจแห่งข้า”

.

.

.

“ข้ายินดีกับเจ้าด้วยดไวท์”

“ท่านพี่ ท่านไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ บ้านเรามีเงินทองไม่มากนัก”

“จะไม่ทำได้อย่างไร ในปีนี้เจ้าอายุเต็ม 18 ปี ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของมนุษย์โลกมิใช่หรือ?”

“ก็ใช่ขอรับ เพียงแต่ท่านไม่ต้องตระเตรียมสิ่งของมากมายเช่นนี้” วันนี้เป็นวันที่เด็กน้อยในปกครองอายุครบ 18 ปีเต็ม คนพี่จึงจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ เอาไว้ให้ ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพียงแค่ขนมเค้กปักเทียนเล่มน้อย พร้อมด้วยดอกไม้นานาชนิดบนโต๊ะอาหาร สรรพสัตว์น้อยใหญ่รายล้อมอยู่รอบบ้าน คล้ายกับมาร่วมแสดงความยินดี คนพี่จุดแสงไฟดวงน้อยที่ปลายนิ้ว ยื่นไปแตะที่ปลายเชือกของเทียน

“จงอธิษฐาน ดไวท์ ความต้องการของเจ้า” พูดพร้อมรอยยิ้ม คนน้องประกบฝ่ามือเข้าไว้ด้วยกัน หลับตาลงอธิษฐาน จนเมื่อแล้วเสร็จก็ลืมตาขึ้น พร้อมโน้มตัวไปข้างหน้า ตั้งใจจะเป่าแสงเทียนให้ดับลง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

“หึหึหึหึ”

หลังสิ้นเสียงหัวเราะ เกิดลมกรรโชกแรง จนเปลวเทียนดับลง ข้าวของภายในบ้านพัดกระจายล้มระเนระนาด สัตว์น้อยใหญ่พากันหนีหาย กระโดดหลบอย่างไร้ทิศทาง น้องขยับตัวเข้าหาพี่ในทันที คนพี่ใช้แขนป้อง กอดปลอบ พร้อมทั้งปีกใหญ่ที่คลุมกายเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน

ฉับพลัน ทุกอย่างก็สงบนิ่ง ตกอยู่ในความเงียบ ในขณะที่คนพี่ก็ผละอ้อมกอดออก ดันน้องให้ไปอยู่ด้านข้าง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“ทำไมต้องทำเช่นนี้ เก็บบ้านของข้าซะ เเฮคเตอร์”

“ชิ!” เกิดเสียงสบถขึ้นหนึ่งครา ก่อนที่ข้าวของที่กระจัดกระจายจะถูกลมพัดหวนอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม พร้อมกับเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้นใหม่ เซเธอร์ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ แล้วจึงเอ่ยปากแนะนำ

“ดไวท์ นี่แฮคเตอร์ เรียกเขาว่า เเฮค ก็ได้ พี่ชายของข้าเอง” เด็กน้อยขยับเข้าไปเกาะแขน มองผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ ลำตัวของแฮคเตอร์สูงใหญ่ไม่ต่างจากเซเธอร์เท่าไหร่นัก สวมใส่ชุดสีขาวคล้ายๆ กัน เพียงแต่ปีกใหญ่นั้นเป็นสีดำสนิท คล้ายกับสีของอีกา

“เจ้าทำให้ดไวท์กลัว แฮค”

“ข้าแค่หยอกเล่นเล็กน้อยเท่านั้น ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ” แฮคเดินเข้ามาใกล้ดไวท์ พร้อมทรุดตัวนั่งลงตรงหน้า เด็กน้อยหลบอยู่หลังปีกของผู้เป็นพี่ อย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก

เฮือก!!!

เด็กน้อยที่แอบอยู่หลังพี่ สะดุ้งแรง เมื่อมีมือมาแตะเข้าที่กลางหลัง หันขวับไปมอง ในขณะที่คนพี่กุมขมับอีกครา

“เฮ้อ เจ้าก็ทำให้ดไวท์กลัวเช่นกัน คาเตอร์” เซธพูดพร้อมกับหันมาหาชายที่ด้านหลัง มือถูกยกขึ้นลูบหลังของน้องไปมาเบาๆ พบเพียงชายที่มีใบหน้าคล้ายกับเซธและเเฮค ยืนยิ้มอยู่ที่ด้านหลัง

“ขอโทษดไวท์ ข้ามิได้ตั้งใจ” คาเตอร์พูดพร้อมลูบเส้นผมสีเทาอ่อนของเด็กน้อย ดไวท์เงยหน้ามองเซธอย่างขอคำตอบ

“ดไวท์ นี่เหล่าพี่ชายของข้าเอง คาเตอร์พี่คนโต แฮคเตอร์พี่คนรอง”

“ท่านพี่เป็นน้องเล็กหรือขอรับ”

“ใช่ดไวท์” เซธพูดด้วยรอยยิ้ม พาน้องไปนั่งลงเก้าอี้ตามเดิม พร้อมกับเอ่ยปากถามไปด้วย

“พวกท่านมาทำอะไร”

“ดไวท์น้อยอายุครบ 18 ปี ทั้งที เขาควรจะได้รู้อะไรที่ควรรู้” คาเตอร์พูดพร้อมทรุดตัวนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กน้อย ในขณะที่แฮคเตอร์ก็ขยับไปนั่งข้างๆ พี่ชาย

“เขายังไม่พร้อม” เซธกดเสียงต่ำ เข้มขึ้น จนเด็กน้อยผู้เป็นเจ้าของวันเกิดเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ

“เซธ เจ้าก็รู้ ว่าเจ้าปกปิดเขาไม่ได้ เจ้าคิดจะใช้มนต์ลืมเลื่อนกับเขาไปถึงเมื่อไหร่กัน” แฮคเตอร์พูดแย้งออกมาบ้าง แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่าคำเรียกที่ได้ยิน

“มนต์ลืมเลือนหรือขอรับ?”

“เงียบปากของเจ้าซะแฮคเตอร์” ใบหน้าเซธปรากฏแววคุกรุ่นอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็น ขณะตัดแบ่งเค้กก้อนเล็กให้กับน้องน้อยอย่างเอาใจใส่

“เจ้าปิดไปตลอดไม่ได้หรอกเซธ ไม่ได้....” คาเตอร์พูดแย้ง พร้อมกับแบมือตรงหน้าเด็กน้อย จนปรากฏลูกแก้วใส ภายในบรรจุน้ำสีฟ้าคราม มีประกายระยิบระยับบนฝ่ามือ ขนาดของมันเล็กเท่าหัวแม่มือ

“ของขวัญของเจ้า ดไวท์ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มันจะช่วยรักษาได้ทุกโรค ทุกอาการ จงเก็บมันไว้ให้ดี” พูดพร้อมวางลงตรงหน้าเด็กน้อย ดไวท์มองหน้าพี่ชายก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับ

“ขอบคุณขอรับ ท่านคาเตอร์”

“อันนี้ของข้า” แฮคเตอร์พูดพร้อมส่งขนนกสีดำสนิทมาให้ วางลงบนมือของเด็กน้อย

“สิ่งนี้คืออะไรหรือขอรับ”

“เจ้าสามารถขอพรกับขนนกวิเศษนี่ได้หนึ่งข้อ ดไวท์” พูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเสกชุดถ้วยชาออกมานั่งจิบด้วยตัวเอง หลังจากที่คาเตอร์และแฮคเตอร์มอบของขวัญแล้ว น้องก็หันมองพี่ด้วยแววตาของความคาดหวัง นัยน์นั้นเปล่งแสงประกายเจิดจ้า จนทำให้คาเตอร์และแฮคเตอร์ลอบมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม

“นี่ของข้า ดไวท์” สิ่งที่พี่ชายนำมาวางไว้ให้ตรงหน้า คือรูปแกะสลักไม้ของหมาจิ้งจอกตัวเล็กเท่านิ้วก้อย คล้องห้อยกับกำไลสีเงิน น้องยกยิ้มอย่างถูกใจ ต่างจากพี่ชายทั้งสองที่ระเบิดเสียงหัวเราะ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างน่ารักน่าชังนักเซเธอร์” แฮคเตอร์ยกมือขึ้นกุมท้อง หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮึฮึ เลือกได้ดีเซธ” คาเตอร์ หัวเราะในลำคออย่างไว้มาดอยู่ในที พร้อมกับยกชาขึ้นจิบ เพื่อซ่อนรอยยิ้ม หากแต่เซธไม่สนใจ หันไปถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“ตั้งชื่อให้มันสิดไวท์”

“อืมมมม ชื่อ.... ซิลเวอร์ขอรับ” น้องเงยหน้าตอบ พี่ชายจึงยกยิ้ม พร้อมกับห้อยมันเข้ากับข้อมือเล็กในทันที

“มันเป็นของเจ้า มันจะช่วยปกป้องเจ้าจากภยันตราย” พูดแล้วก็กดจูบลงที่ศีรษะเล็กแล้วผละออก

“เมื่อไหร่เจ้าจะกลับไปเซธ ท่านพ่อชักจะกรุ่นโกรธเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“เจ้าจะปฏิเสธอย่างไรก็ได้เซธ ในเมื่อท่านพ่อยังไม่ลงมาด้วยพระองค์เอง แต่จงระวังเวลานั้นไว้เซธ สิ่งสำคัญที่เจ้าเฝ้าทะนุถนอม จะถูกพรากไปจากอกของเจ้า”

ปัง!

“หากข้าไม่ยอม ใครหน้าไหนจะทำอะไรได้” เสียงตบโต๊ะดังลั่นจนโต๊ะไม้เกิดรอยแยกปริแตกจนแทบจะหักครึ่ง เด็กน้อยวัย 18 ปี สะดุ้ง ด้วยไม่เคยเห็นพี่ชายในมุมนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว

“ข้าก็แค่เตือนไว้ อย่าขัดใจท่านพ่อให้มากนัก” คาเตอร์พูดพร้อมจิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงบนถาดรอง ผุดตัวลุกขึ้น แล้วพูดต่อ

“อย่าให้เราต้องมาทำงานแทนเจ้านานนักเซธ เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้า”

“นรกก็ไม่ได้แย่เซธ จงรีบตัดสินใจซะ ข้าเบื่อที่ต้องรั้งรอ” สองพี่น้อง คาเตอร์และแฮคเตอร์เดินอ้อมโต๊ะจากทางซ้ายและขวา ยันมือลงที่ขอบโต๊ะข้างเด็กน้อยคนละข้าง โน้มตัวลงพร้อมกันและ......

จุ๊บ/จุ๊บ

ริมฝีปากบางรูปกระจับของสองพี่น้อง ประทับลงบนแก้มนวลของดไวท์ ทำให้เซเธอร์ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นอีกหลายส่วน ต่างจากสองพี่น้องที่ยกยิ้มมุมปาก กระซิบเสียงพร่าข้างใบหูเล็กทั้งสองข้าง

“แล้วพบกันอีกดไวท์/แล้วพบกันอีกดไวท์”

“เจ้า!” ยังไม่ทันที่จะได้รู้สึกตัว สองพี่น้องก็เร้นกายหายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงน้องเล็กของครอบครัวที่ทำหน้ากรุ่นโกรธนิดๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ข้าขอโทษด้วยดไวท์ วันนี้ช่างวุ่นวายนัก”

“พวกเขาดูเป็นคนดีนะขอรับ” เด็กน้อยพูดพร้อมตักเค้กเข้าปาก ก่อนจะมีแก่ใจ ยื่นไปให้พี่ชายด้วย คนพี่ทำเพียงยกยิ้ม แล้วอ้าปากรับขนมที่น้องป้อนให้อย่างเต็มใจ

“ทานเสร็จแล้วก็จงไปอาบน้ำเข้านอนเสีย อย่ากินมากเกินไป เจ้าจะปวดท้องเอาได้”

“ขอรับท่านพี่” เซธพยักหน้า ทำท่าจะผละออกจากโต๊ะอาหาร หากแต่คนน้องก็ร้องถามออกมาก่อน จนทำให้คนพี่หยุดนิ่ง ชะงักงัน

“ท่านพี่.... เรื่องอะไรที่ข้าควรรู้หรือขอรับ? อะไรที่ทำให้ท่านร่ายมนตร์ลืมเลือนใส่ข้า? ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป