บทที่ 7 ราชันย์รัตติกาล

.

.

.

“ท่านพี่.... เรื่องอะไรที่ข้าควรรู้หรือขอรับ? อะไรที่ทำให้ท่านร่ายมนตร์ลืมเลือนใส่ข้า? ”

ตัวของเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครองแข็งเกร็ง ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลงตามลำดับ หันกลับมาหาเด็กน้อยพร้อมยกยิ้มอ่อนโยนอย่างที่เคยเป็น

“ก็แค่ฝันร้ายของเจ้าเท่านั้นดไวท์ อย่าได้ใส่ใจเลย” เด็กหนุ่มวัย 18 มองจ้องนิ่งๆ กัดริมฝีปากน้อยๆ

“ข้า... ข้าอยากรู้ขอรับ...” เซเธอร์มองจดจ้องอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงสาวเท้ากลับมานั่งลงที่โต๊ะตามเดิม ชายรูปร่างสูงใหญ่ ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างน้องน้อยแล้วหันกายมาเผชิญหน้ากัน

“เจ้าจำได้หรือไม่ดไวท์ เมื่อเจ้ายังเด็ก เจ้าเคยฝันร้ายมาก่อน” เด็กน้อยส่ายหน้า บ่งบอกว่าจำไม่ได้เลยสักนิด จนพี่ยกมือขึ้นลูบหัวทุยแผ่วเบา แล้วจึงเอ่ยวาจาต่อ

“เมื่อเจ้ายังเด็กดไวท์ เจ้าตกอยู่ในฝันร้าย เจ้าฝันว่ามีคนตามล่าเอาชีวิตเจ้า เจ้านอนร้องไห้ครวญครางทั้งคืน ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นได้ จึงได้ร่ายมนตร์ลืมเลือนให้ เพื่ออาการของเจ้าจะได้ทุเลาลง”

“ทำไมข้าจึงฝันเช่นนั้นกัน...” เด็กน้อยพำพึม ด้วยความสงสัย

“อาจเป็นเพราะเจ้าเจอแต่สิ่งที่ไม่ควรจะเห็นมาตั้งแต่เด็กกระมัง”

“จริงหรือขอรับ?”

“อาจจะเป็นเช่นนั้นดไวท์” เซเธอร์พูดพร้อมรอยยิ้ม น้องจึงพยักหน้ารับอย่างรู้ความ

“ไปอาบน้ำได้แล้วดไวท์ จงรีบเข้านอนเสีย” พูดพร้อมลุกขึ้นจากโต๊ะอีกครา เดินไปเตรียมน้ำท่าให้เด็กน้อย แล้วลงแช่ก่อนเหมือนเช่นเคย เพียงไม่นานนัก เด็กหนุ่มตัวจ้อยก็เดินตามมา และลงแช่ในอ่างน้ำเดียวกัน สองพี่น้องช่วยกันขัดถูตัว แล้วพากันขึ้นจากน้ำ ผลัดผ้าสวมใส่ชุดนอน แล้วจึงขึ้นไปนอนเคียงกันบนเตียงหลังใหญ่ คนพี่นอนกล่อมน้องเหมือนเช่นทุกวัน จนกระทั่งมั่นใจว่าน้องหลับสนิทแล้วจริงๆ จึงได้ค่อยๆ ผุดตัวขึ้นช้าๆ

ยืนจ้องเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู ผิวขาวราวหิมะแรกของฤดู ดวงตากลมโตกระจ่างใสราวลูกแก้ว ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจสีของกุหลาบแรกแย้ม เส้นผมสีเทาอ่อนส่องประกายเจิดจ้ายามวิกาล ร่างกายบอบบางผายผอม เอวเล็กคอดกิ่วราวอิสตรี แขนขาเรียวเล็กราวกับจะหักเอาได้หากกระทำรุนแรงจนเกินไป ทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นคนผู้นี้ คลับคล้ายคลับคลากับคนที่ติดอยู่ในความทรงจำ

“ดูแลนายของเจ้า ซิลเวอร์” จิ้งจอกตัวจ้อยแกะสลักจากไม้ ดวงตาประกายแสงวูบหนึ่งราวกับรับคำสั่ง ก่อนที่เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองจะหมุนกายออกไปห้อง เดินตรงไปที่ประตูบ้าน กางปีกกว้างแล้วออกบินไปที่ต้นไม้ที่ประจำ

ตุ้บ!

กายหนาร่อนลงบนพื้น หยุดยืนอยู่ที่ต้นไม้นั้นพอดิบพอดี ฝ่ามือหน้ายกขึ้นทาบทับกับต้นไม้ใหญ่ ศีรษะกว้างแนบลงกับลำต้น ภาพความทรงจำในอดีตพัดหวน ย้ำเตือนสิ่งที่พยายามจะลืมเลือนมันไป จนเมื่อไม่อาจทนไหว จึงได้ผละออกราวกับถูกของร้อน

“ข้าจะทนได้อย่างไรดไวท์..... หากสายตาที่เจ้ามองข้าเปลี่ยนไป ข้าจะทำเช่นไร....” เสียงทุ้มพร่าพูดรำพึงรำพันเพียงผู้เดียว สายลมพัดพาให้หนาวสั่น กลีบดอกวิสทีเรียพลิ้วไหวตามแรงลม

“กลัวใจเจ้า ร้างรา จากพี่ไป

กลัวว่าใจ แหลกสลาย หากรู้ความ

กลัวว่าเจ้า จากจร ไม่เหลียวมา

กลัวเวลา ที่เรา ต้องห่างกัน

พี่ทุกข์ทน รอเจ้า มานานนัก

โปรดอย่าหัก หันเห เมินหน้าหนี

ด้วยความจริง แสนปวดร้าว โอ้คนดี

อย่าให้พี่ พบเจอ มันอีกครา

หากถามหา ความจริง จงปรากฏ

พี่จักพก ซ่อนเร้น ติดกายหนา

หากว่ามัน ทำให้เจ้า ต้องร้างรา

พี่จักขอ ใจมาร เพื่อครอบครอง”

“ข้าขอโทษดไวท์.......”

ในเช้าวันถัดมา เด็กน้อยตื่นขึ้นในอ้อมแขนของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครอง ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป่ารินรดกระหม่อมบาง ดไวท์ค่อยๆ แกะอ้อมแขนของพี่ชายออกช้าๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น ในขณะที่ตัวเองใช้เวลามองจดจ้องใบหน้างามล้ำ ดุจนางฟ้านางสวรรค์ เหมาะสมแล้วที่ได้ชื่อว่าเทวดา เด็กน้อยเท้าคางมองหน้าเพลินจนลืมเวลา

“ที่หน้าของข้ามีอะไรติดอยู่หรือ” เซเธอร์ถามแล้วกระชับอ้อมกอด ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสองสีทั้งสีแดงโกเมนและสีม่วงอเมทิสต์ นัยน์ตาเปล่งประกายดุจอัญมณีเลอค่า จนทำให้คนที่มองเพลินถึงกับสะดุ้ง ละล่ำละลักตอบ

“มะ ไม่มีขอรับ”

“รีบลุกเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” เซเธอร์พูดพร้อมกับลุกขึ้นช้าๆ ทำให้ดไวท์เห็นว่าพี่ชายของตนไม่ได้นอนหลับเพลินแต่อย่างใด หากแต่ตื่นก่อนตนตั้งนานแล้ว

“ขอรับ” พูดพร้อมยันตัวขึ้นจากเตียงช้าๆ เข้าห้องน้ำไปจัดการตนเอง แล้วกลับออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่หอมฟุ้ง เดินไปทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พบอาหารหน้าตาน่าทานมากมาย มันฝรั่งอบ ซุปข้าวโพด และขนมปัง พร้อมด้วยนมอุ่นๆ อีกหนึ่งแก้ววางรอตนเองอยู่ เด็กน้อยนั่งทานอย่างมีความสุข มีเซเธอร์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

จนกระทั่งทานเสร็จ สองพี่น้องก็พากันออกจากบ้าน เซเธอร์เดินเคียงกับดไวท์ไปเรื่อยๆ ตลอดทางเด็กน้อยชวนพูดคุยไม่หยุด กระโดดโลดเต้นไปมาอยู่รอบกาย แต่พอเข้าเขตหมู่บ้านเมื่อใดก็จะสงวนท่าที ทำตัวกลมกลืนไปกับผู้คนรอบข้าง

หลังจากที่เกิดการแย่งชิงดินแดนครั้งนั้น ฝ่ายศัตรูก็เข้าครอบครองพื้นที่แล้วทำการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม แต่อาณาจักรที่ดไวท์มาขอพึ่งพิงก็กลับมาแย่งชิงรุกคืบเอาผืนแผ่นดินคืน จนชนะสงครามในที่สุด ส่วนของดไวท์เองได้เซเธอร์ช่วยร่ายมนตร์บังตาเอาไว้ ทำให้บ้านทั้งหลังหายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เด็กน้อยรอดมาได้โดยไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก

หลังการแย่งชิงดินแดนคืน ท่านเจ้าเมืองก็ส่งหัวหน้าหน่วยเข้ามาฟื้นฟูแผ่นดิน และทำการโยกย้ายชาวบ้านที่ถูกรุกคืบทำลายหมู่บ้านไป มารวมกันไว้ที่นี่ ทำให้ก่อเกิดหมู่บ้านอีกครั้ง จากบ้านหลังเล็กไม่กี่หลังคาเรือน กลายเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ในเวลาไม่กี่ปี

เพราะสถานที่แห่งนี้มีคนตายอยู่มาก ดไวท์จึงเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง และบางครั้งก็สัมผัสได้ และงานที่ดไวท์ทำจะต้องเดินตัดผ่านกลางหมู่บ้านทะลุไปอีกฝั่งที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างเพื่อเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเซเธอร์ก็จะเดินมาส่งเด็กน้อยทุกครั้งเพื่อให้เด็กน้อยในปกครองนั้นอุ่นใจ

“ท่านพี่ ส่งข้าแค่นี้ก็พอขอรับ”

“เจ้าแน่ใจหรือดไวท์”

“ขอรับ ท่านพี่มีงานต้องทำอีกมาก ไปเถอะขอรับ จากนี้เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว”

“ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นดไวท์ มีอะไรก็ให้ซิลเวอร์ปกป้องเจ้า เข้าใจหรือไม่?”

“ซิลเวอร์หรือขอรับ?” เด็กน้อยทำหน้างง คนพี่จึงยกยิ้ม แล้วเอ่ยปากบอก

“หากมีภัยใดที่จะกล้ำกรายเจ้า จงร้องเรียก ซิลเวอร์จงปกป้องข้า”

“ซิลเวอร์จงปกป้องข้า.....” เด็กน้อยพึมพำทวนคำพูดด้วยความเผลอตัว ในขณะนั้นเองที่ดวงตาของจิ้งจอกไม้แกะสลักประกายแสงวาบราวกับรับคำสั่ง เกิดสายลมกรรโชกแรงวูบหนึ่ง ควันสีดำพวยพุ่งออกจากจี้แกะสลัก หมาจิ้งจอกสีดำทมิฬตัวใหญ่โตมโหฬารก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเด็กน้อย นัยน์ตาสีแดงก่ำราวกับสีเลือด ขนสีดำเป็นมันเงา หางเป็นพ่วงระย้า เขี้ยวเล็บแหลมคมจนน่าหวาดหวั่น น้องขยับเข้าหาพี่ทันทีที่ได้เห็น

“ฮึฮึ ซิลเวอร์อย่างไรเล่าดไวท์”

“นี่คือซิลเวอร์หรือขอรับ” เงยหน้าถามด้วยความตกใจสุดขีด เจ้าจิ้งจอกตัวนี้ตัวใหญ่โต สามารถให้ดไวท์ขึ้นขี่ได้สบายๆ

“จอมราชันย์รัตติกาล จงดูแลดไวท์น้อยของข้าให้ดี”

‘ข้าเป็นจอมราชันย์ แต่เจ้ากักขังข้าไว้ในรูปปั้นแกะสลักไม้!’

“ก็พกพาสะดวกดีมิใช่หรือ เจ้าจะให้ดไวท์แบกรูปปั้นของเจ้าหรือไร”

‘ช่างน่าตายนัก!’

“โอ้ซิลเวอร์ เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าคือเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองและคอยดูแลสรรพชีวิต ข้าสามารถดึงกระชากดวงวิญญาณของเจ้าได้นะ”

‘กรรรรรรรรร’ เจ้าหมาจิ้งจอกทำได้เพียงข่มขู่ในลำคอ ต่างจากเซเธอร์ที่หัวเราะอารมณ์ดี

“ท่านพี่ ข้ากลัวขอรับ” ดไวท์เงยหน้าบอกพี่ชาย มือน้อยๆ กระตุกชายผ้าเรียกความสนใจ ทำให้จอมราชันย์หันมามองหน้า ก้มหัวหมอบต่ำ

‘นายน้อยของข้า อย่าได้เกรงกลัว ชีวิตข้าเป็นของท่าน จ้าวแห่งราชันย์ทั้งปวง’

“ซิลเวอร์ไว้ใจได้ดไวท์ ลองสิ” เซเธอร์ผายมือให้น้องลองสัมผัสตัวของจิ้งจอกดำดู เด็กน้อยเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปหา ทั้งที่เจ้าจิ้งจอกยังหมอบอยู่อย่างรอคอย เด็กน้อยค่อยๆ วางมือลงบนหัวที่ใหญ่โตนั้น เจ้าหมาจิ้งจอกก็หลับตาลงช้าๆ อย่างไว้วางใจ

“นุ่มจัง” เด็กน้อยพึมพำแล้วลูบขนสีดำสนิทไปทั่วทั้งตัว ก่อนจะโผเข้ากอดในเวลาต่อมาพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใสกังวานก้อง ดึงหูดึงหางสนุกมือ ยิ่งเจ้าจิ้งจอกทมิฬส่ายหางไปมาเล่นด้วย ยิ่งทำให้เด็กน้อยชอบใจใหญ่ วิ่งไล่จับพัลวัน

“จะสายแล้วดไวท์” เซเธอร์เอ่ยปากเตือน เด็กน้อยจึงนึกขึ้นได้

“แล้วข้าจะพาซิลเวอร์ไปที่ฟาร์มได้อย่างไร มีหวังวัวที่เลี้ยงไว้วิ่งหนีกระจายกันหมดแน่”

“บอกว่า พักผ่อนได้ซิลเวอร์”

“พักผ่อนได้ซิลเวอร์ ขอบใจเจ้ามาก”

‘ขอรับ’ จิ้งจอกดำตอบรับแผ่วเบา เกิดเงาร่างขมุกขมัวสีดำพุ่งเข้าไปอยู่ในจี้แกะสลักดังเดิม

“หวังว่าของขวัญของข้าจะถูกใจเจ้าดไวท์”

“ข้าชอบมากขอรับท่านพี่ ข้าจะดูแลรักษาอย่างดีขอรับ” น้องน้อยร้องตอบ พร้อมยกยิ้ม แม้ตอนที่มอบให้ของขวัญของเซเธอร์จะตกเป็นรองกว่าของคาเตอร์และแฮคเตอร์ แต่อย่างไรเด็กน้อยก็ชื่นชอบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของมีค่าหรือไม่ก็ตาม เซเธอร์ยกยิ้ม พร้อมกับดุนหลังดไวท์เบาๆ

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวท่านลุงเจ้าของวัวจะลดค่าแรงของเจ้าหรอก” เด็กน้อยทำตาโต ก่อนจะรีบวิ่งไป แต่ก็แล้วก็ชะงัก หันมาโบกไม้โบกมือพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงออกวิ่งอีกครา เซเธอร์ยกยิ้มรับ ก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไปช้าๆ เมื่อคล้อยหลังเด็กน้อย

“ดูแลดไวท์ให้ดีซิลเวอร์ คอยปกป้องคุ้มครองเขาแทนข้า....” ดวงตาของจิ้งจอกแกะสลักประกายวาบรับรู้โดยที่เด็กน้อยไม่ทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย เซเธอร์มองตามหลังอีกชั่วครู่ ก่อนที่ปีกใหญ่จะกางสยาย แล้วกระพือขึ้นบินกลับบ้านของตน

ออกคำสั่งให้กับสัตว์น้อยใหญ่ให้ช่วยจัดการงานบ้าน ในขณะที่ตนเองทำเพียงยืนมองจ้องเตียงนอนนิ่งๆ

“อาการหนักขึ้นทุกที......”

ฟุ้บ!

“เจ้าจะทำเช่นไร”

ฟุ้บ!

“จะยับยั้งหรือปล่อยเลยตามเลย” เซเธอร์ชายตามองดาร์คเนสด้วยความเย็นชา

“ปล่อยให้เขาเจอความเจ็บปวดน่ะหรือ? ไม่มีทาง”

“ทุกวันนี้เขาก็เจ็บปวด แถมยังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ”

“แต่พอเช้ามาเขาก็ลืมมิใช่หรือไชนิ่ง”

“เจ้าใช้เวลานานขึ้นทุกที พลังของเจ้ากำลังจะถดถอย”

“ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าใช้มนต์กับดไวท์ทุกวัน และส่วนหนึ่งเพราะเจ้าอยู่ที่นี่นานเกินไป”

“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“เซธ นายเหนือหัวต้องไม่ชอบใจแน่ หากถึงเวลานั้น เจ้ายังดื้อดึง.....”

“ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้จริง”

ฟุ้บ! /ฟุ้บ!

“ข้ารอเจ้าอยู่/ข้ารอเจ้าอยู่”

“.....” เซเธอร์ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ การที่เขาอยู่อาศัยในโลกมนุษย์ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี สภาพแวดล้อมและอาหารการกินที่แตกต่างบั่นทอนพละกำลังของเขาให้เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ จากที่คิดไว้คืออยู่ได้อีกราวๆ 200 ปี รวมกันเป็น 500 ปีพอดี เพียงแต่....

การที่มีเด็กน้อยตัวขาวเข้ามาในชีวิต ทำให้เขาต้องใช้มนต์ตราทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งตั้งแต่เด็กน้อยสัมผัสโดนต้นไม้ใหญ่ในวันนั้น ยิ่งต้องใช้มนต์มากขึ้นเรื่อยๆ ฝันร้ายของดไวท์รุนแรงขึ้นทุกที เป็นหนักขึ้น นานขึ้น ทำให้เซเธอร์ใช้เวทมนตร์มากขึ้นตามไปด้วย

จากเดิมใช้เวลาเพียงไม่กี่วิ ก็กลายเป็นนาที จากนาทีกลายเป็นชั่วโมง และทุกครั้งน้องน้อยจะทรมานอย่างแสนสาหัส ทำให้ใจของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองรวดร้าวตามไปด้วย เรื่องทั้งหมดที่ได้ยินจากริมฝีปากบางนั้นยังไม่ถึงครึ่งของความจริงที่เป็น

นั่นยิ่งทำให้เขากังวลใจ พลังเริ่มถดถอย ดไวท์ก็เป็นหนักขึ้นทุกที ทางแก้มีเพียงทางเดียวคือการกลับไปอยู่ในที่ของตนสักระยะ ทานอาหารเทพที่ในโลกมนุษย์ไม่มี ฟื้นฟูกำลังของตน

“เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะจำใจจากเจ้าได้อย่างไร” ทางลัดมันก็มี แต่ต้องบากหน้าไปพึ่งพานายเหนือหัวหรือก็คือท่านพ่อของตนเอง มีหวังถูกจับขัง ไม่ได้พบพานกันและกันเป็นแน่ คิดแล้วก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ พาตัวเองเดินออกไปยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ วางทาบมือลงกับเปลือกไม้ เงยหน้าขึ้นมองจ้อง

“ข้าจักทำเช่นไร......”

ที่อีกด้านหนึ่ง......

เด็กน้อยที่นั่งเฝ้าฝูงวัวมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง วันนี้ต่างจากวันก่อนๆ ที่เคยเป็น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดภูตผีถึงมีจำนวนเยอะมากขึ้นอย่างผิดปกติ แต่ละตัวนั้นคอยเมียงมองมาหา เด็กน้อยจึงต้องก้มหน้าหลบอยู่เป็นนิจ บางตัวหัวขาด หัวแหว่ง ขาแขนไม่สมประกอบ ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด ทำให้เด็กน้อยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเต้นเร็วระรัว เหงื่อกาฬไหลซึมตามไรผมและกรอบหน้า แผ่นหลังเล็กชุ่มชื้นไปด้วยหยาดน้ำใส มือกุมกระชับจี้แกะสลักไว้แน่น

[หอม......] ภูตผีตัวหนึ่งพูดขึ้น แม้ว่าร่างจะอยู่ไกลกว่าจะเอื้อมถึง แต่เสียงนั้นดังราวกับกระซิบอยู่ข้างหู

[หอม......] ผีผู้หญิงอีกตัวพูดขึ้นขณะจับจูงลูกเล็กลากไปกับพื้น เด็กน้อยที่ตัวขาดครึ่งถูกมารดาลากไปตามพื้นอย่างน่าอดสู

“ฮึก” ดไวท์เผลอมองจ้องสบตากับเด็กน้อยผู้นั้น ทำให้หัวใจกระตุกไหววูบเมื่อยามสบตากัน จนร่ำๆ จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

[หอม......] ผีทางซ้ายพูดขึ้นเรียกให้ดไวท์หันไปมอง เห็นเพียงทหารกล้าที่ขาขาดข้างหนึ่งกำลังคลานเข้ามาใกล้ ใบหน้านั้นเละจนดูไม่ได้ ดวงตาถลนปูดโปนหลุดออกจากเบ้าตา

“ฮึก ฮืออออ ท่านพี่ ฮือ” ดไวท์ทำเพียงนั่งกอดตัวเองแน่น ก้มหน้าซุกลงกับหัวเข่าอย่างหวาดกลัว ร้องเรียกหาพี่ชายที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

‘เรียกข้า นายน้อย.... จงเอ่ยนามของข้า.....’

“ฮึก ฮือออ"

'เรียกชื่อข้า'

"ฮืออออออ ฮือ ซิล ซิล”

‘เอ่ยนามของข้า....’

“ซิลเวอร์ จงปกป้องข้า ฮือออ” เพียงเท่านั้นจิ้งจอกดำก็ปรากฏกาย ขู่คำรามหวังขับไล่ภูตผีที่มาระรานนายน้อยของตน

กรรรรรรรรรรร!!!

เสียงคำรามกึกก้อง ทำให้พวกภูตผีหวาดกลัว เร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ทำให้ฝูงวัวที่เด็กน้อยดูแลอยู่วิ่งหนีไปด้วย เด็กน้อยเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมอง เจ้าจิ้งจอกดำจึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วใช้ลิ้นเลียน้ำตานั้นออกให้แผ่วเบา จนเมื่อมั่นใจว่าหยาดน้ำตานั้นหมดลง มันก็ส่งเสียงร้องอีกครั้ง

บรู้ววววววววววว

เสียงหอนลากยาวดังก้องไปทั่วผืนป่า เพียงไม่นานนักก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา พร้อมๆ กับฝูงวัวที่ถูกไล่ต้อนให้มารวมกันที่เดิม

‘กลับกันเถิดขอรับ’ เด็กน้อยทำเพียงพยักหน้ารับ ขึ้นไปนอนซบอยู่บนแผ่นหลังของราชันย์จิ้งจอก ในขณะที่จิ้งจอกดำพุ่งทะยานตัวออกวิ่งอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันได้มีใครสังเกตเห็น นอกจากสายลมพัดผ่านเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาถึงบ้าน เซเธอร์ที่กำลังตระเตรียมอาหารเย็นอยู่รีบหันหน้ามามองอย่างแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้น” พูดพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้ อุ้มเด็กน้อยลงจากหลังจิ้งจอก เมื่ออยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น ดไวท์ก็ร้องไห้ออกมาทันที

“ฮึก ฮืออออ ท่านพี่ ท่านพี่ ฮืออออ”

“ชู่ววว เด็กน้อยของข้า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

“ฮึก ฮืออออ พวกมัน พวกมัน ฮึก”

‘ภูตผีน่ะขอรับ มันมาล้อมนายน้อยหวังกลืนกิน’

“เริ่มแล้วสินะ” เซเธอร์พูดแค่นั้น ก่อนจะหันมาโอบกอดเด็กน้อยไว้แล้วจึงหันมาร้องบอกอีกครั้ง

“หยุดร้องนะคนดี เจ้าอยู่กับข้าแล้ว ไม่ต้องกลัว”

“ฮึก ฮืออออ มันไม่เหมือนที่ผ่านมา ฮือออ” ฝ่ามือหนาลูบศีรษะแผ่วเบา พาเด็กน้อยอุ้มขึ้นไว้ในอ้อมแขน ขณะที่ตนเองก็สาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องนอน พาล้มตัวนอนอย่างอ่อนโยน

“ชู่วววว ไม่มีอะไรมาทำอันตรายเจ้าได้ ข้าอยู่ตรงนี้แล้วดไวท์” เซธตระกองกอดเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ฝ่ามือก็ลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจไปพลาง

“ท่านพี่ ข้ากลัว ฮึก ฮืออออ”

“ชู่วววว นอนพักสักหน่อยเด็กน้อย เจ้าเจอเรื่องหนักหนามาทั้งวันแล้ว”

เซเธอร์ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกล่อมเด็กน้อยให้สงบลงได้ เมื่อมั่นใจว่าเด็กน้อยนอนหลับสนิทดีแล้วจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกช้าๆ ปลายนิ้วมือเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มใส ก่อนจะก้มลงจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน จากดวงตาทั้งสองข้าง แก้มนวล หน้าผาก ปลายจมูกรั้น และจบลงที่ริมฝีปาก เพียงประทับบางเบาแล้วจึงผละออก พิศมองดวงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปาก

“ซิลเวอร์ ข้าขอสั่งเจ้า ราชันย์แห่งรัตติกาล จงคอยปกป้องคุ้มครองดวงใจแห่งข้า แม้ไร้เสียงเอ่ยนาม ก็จงกระทำในทันทีหากสิ่งนั้นเป็นภัย เข้าใจหรือไม่”

‘ข้าน้อมรับคำสั่ง’ เสียงตอบรับดังขึ้นภายในหัว คราแรกเซเธอร์ตั้งใจให้ดไวท์เป็นผู้ควบคุมเอง แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก หากดไวท์ลืมเลือนไปหรือไม่อยู่ในสถานะที่จะปริปากพูดได้ เด็กน้อยของเขาคงจะตกที่นั่งลำบากเป็นแน่

ยิ่งเมื่อเด็กน้อยในปกครองอายุครบ 18 ปีเต็ม พลังที่หลับใหลจึงถูกปลุกขึ้น แม้พลังจะไม่เท่ากาลก่อน แต่ก็ยังมีและดึงดูดพวกวิญญาณร้ายให้เข้ามาใกล้ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีพวกมารอีกที่ต้องคอยระแวดระวัง ปกติเด็กน้อยเจอภูตผีก็รับมือได้ยากแล้ว หากเจอพวกมารเข้าไป แม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ ดวงตาของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองเข้มขึ้นเมื่อตัดสินใจได้ ก้มมองเด็กน้อยอีกคราอย่างเป็นกังวล

“ข้าจะทำทุกทาง เพื่อปกป้องเจ้า ดไวท์”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป