บทที่ 8 การตื่นของพลัง

.

.

.

หลังจากที่ดไวท์ได้พบเจอเรื่องน่าหวาดหวั่นมา ทำให้เด็กน้อยซึมลงไปถนัดตา เดือดร้อนถึงคนเป็นพี่ที่ต้องคอยเย้าแหย่ ให้น้องน้อยคลายความหวาดกลัวลง กว่าจะได้ผลก็เล่นเอาเซธถึงกับปาดเหงื่อ ตอนนี้ สองพี่น้องกำลังนอนกอดกันอยู่บนเตียงกว้าง โดยที่ดไวท์ซุกเข้าที่อกของเซเธอร์ และเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองก็นอนลูบหลังอยู่ไม่ห่าง

“ข้าไม่เข้าใจ.....”

“ไม่มีอะไรหรอกดไวท์ เจ้าอย่าได้กังวล”

“ข้าเคยเจอภูตผีมาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครบอกว่าหอม....”

“พวกมันคงจะหิวโหย จึงได้พูดออกไปเช่นนั้น” ดไวท์ซุกหน้าลงกับอกของเซธอีกครา พร้อมส่ายศีรษะเล็กไปมาเชิงปฏิเสธ

“ข้าเคยพลั้งเผลอพูดคุยกับพวกมันไปบ้างบางครั้ง เมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ว่าไม่เคยมีใครบอกว่าข้าหอมมาก่อน ครั้งนี้มันแตกต่าง...” ดไวท์พูดพร้อมกับลำตัวที่สั่นเทาเบาๆ จนคนเป็นพี่รู้สึกได้ และกระชับอ้อมกอดมากยิ่งขึ้น พร้อมกับพูดกระซิบข้างใบหูเล็ก

“เลิกคิดถึงเรื่องร้ายเถอะดไวท์ ข้าจะคอยกอดเจ้าทั้งคืน ข้าจะนอนอยู่เคียงข้างกายเจ้า เฝ้ามองเจ้ายามหลับใหล เช่นนี้ดีหรือไม่” ดไวท์พยักหน้ารับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น มองจ้องด้วยแววตาออดอ้อนอยู่ในที

“ท่านพี่ อย่าทิ้งข้านะขอรับ”

“เจ้าจงวางใจดไวท์ ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า” เซเธอร์ให้คำมั่นสัญญาแก่เด็กน้อย พร้อมกับร้องเพลงกล่อมไปด้วย จนกระทั่งเด็กน้อยค่อยๆ ผล็อยหลับไปอย่างช้าๆ แต่แววตาของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองไม่ได้หลับใหลตามไปด้วย เซเธอร์มองจ้องเด็กน้อย ในหัวสมองย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน วันเกิดครบอายุ 18 ของเด็กน้อยในปกครอง

.

.

.

“อึก ฮึก แฮ่ก แฮ่ก อื้ออออ” ร่างน้อยบิดตัวไปมาอย่างทรมาน เหงื่อกาฬไหลโทรมกาย ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำสีใส จนน้ำตาปริ่มอยู่ที่หางตา

“ฮึก ฮืออออ ฮือ” เซเธอร์มองจ้องอย่างทรมานในหัวใจ เมื่อในวันที่เด็กน้อยอายุครบ 18 ปี ถือว่าบรรลุนิติภาวะ ทำให้พลังที่ถูกกักเก็บไว้เริ่มปะทุ และทำให้ร่างน้อยเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วกายบาดลึกไปถึงกระดูก สิ่งที่เซเธอร์ทำได้มีเพียงการร่ายมนตร์บรรเทาอาการให้เบาบางลง แต่ก็ยังคงทรมานอยู่ดี

ที่แผ่นอกขาวเรียบเนียน มีประกายแสงสีม่วงปรากฏอยู่ จนเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองเลิกเสื้อขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบที่มาของแสงนั้น พอได้เห็นแล้วแววตาก็ทอประกายเข้มขึ้นความรู้สึกหลากหลายตีตื้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อตำแหน่งที่มันปรากฏสัญลักษณ์คือรูปหยดน้ำ 3 หยด ที่เป็นการสื่อถึงมารจิ้งจอก และตำแหน่งที่ปรากฏขึ้นนั้นคือบริเวณหัวใจ ที่พรากเอาชีวิตของน้องน้อยในอ้อมแขนไปเมื่อครั้งอดีตกาล

แสงสีม่วงที่ปรากฏขึ้นค่อยๆ จางแสงลง และซึมหายเข้าไปในผิวเนื้อ ราวกับแสดงให้ได้รับรู้ถึงการตื่นขึ้นของพลัง แม้จะเพียงน้อยนิดและไม่ได้มีมากเทียบเท่ากับชาติก่อน แต่ก็เพิ่มความหอมหวานให้กับรสเลือดของเจ้าของร่างได้ไม่ยาก หลังจากนี้จะเกิดเรื่องยุ่งตามมาอีกแน่

“ข้าจักปกป้องเจ้า ดไวท์” พูดพร้อมกับเพิ่มมนตราที่เป็นทอประกายสีทองให้กับร่างขาวที่นอนบิดตัวราวกับร่างกายจะแหลกสลายในไม่ช้านี้ ยิ่งเนิ่นนานใบหน้าของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองก็ยิ่งซีดจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปเกือบ 5 ชั่วโมง ในการถ่ายพลัง ก็สำเร็จผลเมื่อดไวท์เริ่มที่จะนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ใบหน้าที่ขมวดคิ้วหมุนเริ่มคลายลงอย่างช้าๆ ตัวที่บิดงอไปมาอย่างทรมานค่อยๆ เหยียดกายตรงนอนอยู่อย่างสงบ คล้ายกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เซเธอร์จ้องมองเด็กน้อยในปกครองที่สงบลงในที่สุด จึงผละมือออกช้าๆ จากหน้าผากเล็กแคบ หอบหายใจอย่างอ่อนล้า แล้วพิศมองดวงหน้าที่มีสีสันขึ้นตามลำดับ จนทำให้คนที่เพียรพยายามตลอด 5 ชั่วโมงเต็มเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกเชือกที่พันกายเล็กเอาไว้ออกแผ่วเบา ปลดเปลื้องอาภรณ์ของเด็กตัวขาวออกจนหมด

ร่างกายเล็กผอมบางตัวขาวกำลังเปลือยกายอยู่ตรงหน้า แม้ว่าเด็กชายในวันวานจะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มวัย 18 ในวันนี้ แต่ร่างกายก็ราวกับเด็กสาวแรกแย้ม ที่มีตัวขาวราวหิมะเปล่งประกายในความมืด เอวเล็กคอดกิ่วสอดรับกับสะโพกผาย แผ่นอกราบเรียบแต่ประดับด้วยเม็ดบัวสีชมพูน่าลิ้มลอง ตอหนวดและไรขนในส่วนที่ควรจะมีกลับไม่ปรากฏ ราวกับเด็กตัวน้อยยังไม่เติบโตดี ไม่มีเส้นขนสีดำรกรุงรังให้รำคาญสายตา

เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองกวาดสายตามองเรือนร่างเย้ายวนตรงหน้าอย่างพยายามหักห้ามใจ ก่อนจะเริ่มต้นเช็ดเนื้อตัวที่ฉ่ำชื้นไปด้วยเหงื่อหยาดใสออกไปจนหมด แล้วประพรมแป้งให้อย่างเอาใจใส่ เพื่อที่เด็กน้อยจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายตัว

เมื่อจัดการเช็ดเนื้อตัวเสร็จก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้ ก้มลงกดจูบที่ริมฝีปากบางเพียงชั่วครู่แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ผุดลุกตัวเดินมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ กระทำการปลดปล่อยหยาดน้ำแห่งอารมณ์เหมือนเช่นที่เคยทำมานานนับปี จนเมื่อมั่นใจว่าไฟราคะได้มอดดับลงแล้ว จึงได้เดินกลับมาตระกองกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนตามเดิม แล้วหลับตาลงไปจนเช้า

.

.

.

เซเธอร์มองจ้องเด็กน้อยในอ้อมแขน แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเหลือคณา ก่อนจะก้มลงหอมแก้มใสแผ่วเบา แล้วจึงผละออก ก่ายกอดไว้ในอ้อมแขนนิ่งๆ อย่างเฝ้าระวังเหมือนที่เคยทำมาตลอดในทุกๆ ค่ำคืน

“แม้ภัยร้าย คืบคลาน มาเพียงนิด

พี่จักพิศ จดจ่อ ไม่ละสาย

หากภัยร้าย มันกล้า เข้ากล้ำกราย

พี่จักร้าย เพื่อปกป้อง ยอดดวงใจ...”

ในเช้าวันนี้ดไวท์สดใสเหมือนอย่างเคย ราวกับหลงลืมเรื่องน่าหวาดกลัวไปจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นอยู่รอบกายเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองอย่างร่าเริง ก่อนจะแยกจากกันเมื่อพ้นประตูเมืองเหมือนอย่างทุกที สองพี่น้องโบกมือล่ำลากันและกัน ดไวท์หันหลังเดินจากไปในขณะที่เซเธอร์ก็กางปีกสยาย แล้วโผบินกลับไปที่บ้านดั่งเดิม

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วเซเธอร์ก็จัดการงานบ้านงานเรือนทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งผ่าฟืน หาบน้ำ ซักผ้า ล้างจาน จัดเตียง ดูแลแปลงผักสวนครัว และออกไปหาอาหารเพื่อตระเตรียมเป็นมื้อเย็น

ในขณะเดียวกันที่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน ดไวท์น้อยกำลังตัวสั่นงันงก ฝ่ามือเย็นเฉียบ ตัวแข็งเกร็งค้างอยู่กับที่ เมื่อมีงูหลากหลายสายพันธุ์เข้ามารายล้อม จนเด็กหนุ่มไม่สามารถขยับไปไหนได้ งูหลากหลายตัวยั้วเยี้ยพัวพันกันไปมาจำนวนมหาศาล จนแทบไม่เห็นพื้นดินที่อยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย ฝูงวัวหลบไปกองอยู่ที่ฝากหนึ่งของคอกกั้นอย่างขลาดกลัว ดไวท์ตัวสั่นทิ่มอย่างน่าสงสาร เหงื่อไหลชุ่มไปทั่วใบหน้าเล็ก ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง เมื่องูตัวหนึ่งกำลังจ้องตาราวกับกำลังเล่นเกมอย่างสนุกสนาน หากใครหลบตาก่อนคือผู้แพ้และต้องตกตายไป.....

ในตอนนั้นเองที่ซิลเวอร์ปรากฏกายออกมาโดยที่ไม่ต้องมีคำร้องเรียก ร่างกายสูงใหญ่ของราชันย์จิ้งจอกทมิฬปรากฏลงตรงเบื้องหน้า ขู่คำรามหวังขับไล่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ และนั่นทำให้เกิดเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่ง ร่างกายของนางเป็นสีดำสนิทเกล็ดของงูสีดำคล้ำมืดมนปรากฏอยู่ตรงหน้าของดไวท์ เด็กหนุ่มรีบขยับเข้าหาซิลเวอร์ในทันทีอย่างไม่ไว้ใจ

“จุ๊ จ๊ จุ๊ เด็กน้อย...... กลิ่นของเจ้าช่างหอมหวาน” ดไวท์ทำหน้าประหวั่นพรั่นพรึง มือน้อยๆ กอบกุมขนสีดำสนิทเอาไว้แน่นราวกับเป็นเพียงหลักยึดเดียวที่ตนเองมี นัยน์ตาสีแดงเพลิงของราชันย์จิ้งจอกหดเล็กลง ส่งสัญญาณบางอย่างให้คนผู้เป็นเทพเจ้าได้รับรู้

เซเธอร์ที่อยู่ห่างไกลไปหลายกิโลหันขวับกลับมามองทิศทางที่น้องน้อยกำลังทำงานอยู่ ก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งของในอ้อมแขนลงกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ สองขารีบวิ่งออกจากบ้านพักไปอย่างรวดเร็ว และสยายปีกเมื่อพ้นประตูบ้าน ปีกกว้างสองสีตีกระพืออย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่เหนือพื้นดิน แล้วรีบกางปีกบินไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาทิ้งกายลงด้านข้างเด็กน้อยที่กำลังหวาดกลัวเป็นล้นพ้น สองแขนดึงเอาเด็กหนุ่มตัวเล็กที่สูงเพียงอกเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างต้องการแสดงการปกป้อง

“แหม แหม ข้านึกว่าใคร ท่านเซเธอร์นี่เอง”

“ไปซะแมซซ่า เขาไม่ใช่คนที่เจ้าจะแตะต้องได้” เซเธอร์กดเสียงต่ำ เป็นการข่มขู่และร้องบอกไปในตัว ให้มารสาวตรงหน้ารับรู้

“แหม เซเธอร์ ท่านจะใจร้ายกับลูกๆ ข้างั้นหรอ” มารสาวเลื้อยกายที่เป็นเกล็ดงูสีดำมะเมื่อมเสียดสีไปกับหญ้าสีเขียวชอุ่ม ที่ปลายหางสั่นไปมาส่งเสียงแผ่วเบาราวกับงูหางกระดิ่ง เพียงแต่นางมีขนาดตัวที่ใหญ่โตราวกับอนาคอนด้ายักษ์ เส้นผมสีดำสนิทระไปกับใบหน้าหวานพราวเสน่ห์ หากแต่เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองไม่ได้หลงใหลไปกับเสน่ห์อันมากล้นนั้นแม้แต่น้อย เขามองจ้องอย่างระแวดระวัง

“เจ้ารู้ดี แมซซ่า แม้ว่าข้าจะเป็นเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครอง แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะคร่าชีวิตใครไม่เป็น” เซเธอร์กล่าวออกมาเสียงเย็นดุจทะเลลึกเกินจะหยั่งถึง

“ท่านพี่” เด็กน้อยบดเบียดตัวเข้าหาอย่างหวั่นเกรง ลอบมองผู้เป็นพี่กับนางมารสลับกันเป็นระยะ

“กลิ่นของเขาช่างหอมหวาน ท่านเซเธอร์ ได้โปรดมอบเขาให้ข้า”

“บังอาจ!!!” เสียงทุ้มตวาดก้องจนร่างน้อยในอ้อมกอดสะดุ้งเฮือก เสียงตะโกนราวกับคำตัดสินชะตาของนางมาร ดไวท์เงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายในทันใด ต่างจากซิลเวอร์ที่ร้องคำรามลั่น ก่อนจะกระโจนเข้าใส่นางมารผู้นั้นอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ในขณะเดียวกันเหล่างูร้ายที่รายล้อมอยู่ก็พากันพุ่งเข้าหาอย่างดุดัน แต่เซเธอร์ตวัดมือเพียงครั้งเดียว เกิดกระแสลมพัดกรรโชกแรง เส้นผมปลิวไสวระไปกับใบหน้า จนเด็กน้อยได้แต่หรี่ตาหลบ และเมื่อลมฝนสงบลงดวงวิญญาณทั้งหมดของงูร้ายหลุดลอยออกจากร่าง พลังเวทที่เคยเป็นสีทองอยู่เสมอ ในคราวนี้มันกลับกลายเป็นสีดำสนิท เปล่งแสงขมุกขมัว ทันทีที่ดวงวิญญาณสีขาวของเหล่างูร้ายหลุดออกจากร่าง พลังเวทสีดำก็เข้าโอบล้อมในทันทีแปรเปลี่ยนดวงวิญญาณจากสีขาวเป็นสีดำสนิท และซากร่างของงูเหล่านั้นก็ร่วงผล็อยลงกับพื้นแน่นิ่งไป ทั้งที่พึ่งได้ขยับเขยื้อนกายได้เพียงไม่กี่วิ

ดไวท์มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา พี่ชายของเขาโดยปกติแล้วจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้ใด หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ดไวท์เห็นเซเธอร์พรากชีวิตของผู้อื่น คนร่างสูงกระทำโดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าหล่อเหลานั้นแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหวั่นใจจนยกมือขึ้นแตะใบหน้าที่นิ่งเฉย แต่มันกลับไม่ได้เรียกให้เซเธอร์หันมามองได้แต่อย่างใด สายตาของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองยังแน่วนิ่งและมั่นคงอยู่ที่ภาพตรงหน้า

“อ้าาาาาาาาาาาา!!” เสียงแผดร้องของนางมารดึงความสนใจของดไวท์ออกจากคนร่างสูง แล้วหันกลับไปมองในทันที สิ่งที่เห็นทำให้ใบหน้าเล็กนิ่งงัน เพราะภาพที่ซิลเวอร์กำลังฝังคมเขี้ยวเข้าที่ลาดไหล่ของนางมารงูยักษ์จนลิ่มเลือดไหลทะลัก เพราะบาดแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ดวงตาของนางมารหดเล็กลง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นเพื่อปล่อยพลังใส่ราชันย์จิ้งจอกรัตติกาล

ผลั่ก!!

“อึก! กรี้ดดดดดดดดดด” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ดไวท์ต้องเบือนหน้าหนี ซุกเข้ากับอกของพี่ชาย ต่างจากเซเธอร์ที่ยืนมองภาพนั้นนิ่งๆ เมื่อราชันย์จิ้งจอกเดาทางได้มันจึงรีบถอยออกมาตั้งหลัก หากแต่มันไม่ได้ถอยออกมาธรรมดาๆ มันกระชากเอาเศษเนื้อติดริมฝีปากมาด้วย จนเนื้อของนางมารงูยักษ์ถูกถลกออกมาเสียครึ่งตัว หยาดโลหิตสีแดงฉานไล้ย้อมไปทั่วกาย ที่ร่างกายของนางแผ่ไอสีดำมืดออกมา มันค่อยๆ กัดกร่อนสิ่งมีชีวิตโดยรอบให้ค่อยๆ ละลายหายไป ราวกับพิษร้ายแรงที่พบเจอได้ยากในโลกใบนี้ เพราะเพียงไม่กี่วินาที สิ่งมีชีวิตรอบๆ ร่างกายของนางก็สูญสิ้นไปหลังจากที่สัมผัสโดนไอพิษนั้น ซิลเวอร์คายเศษเนื้อออกจากปาก ดวงวิญญาณสีดำสนิทยังลอยอยู่เหนือพื้นดินอย่างเฝ้ารออะไรบางอย่าง ในขณะที่เซเธอร์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น

“จงเลือกแมซซ่า ชีวิตเจ้า หรือชีวิตเขา”

กรอดดดดดดดดดด

“ชีวิตมัน!!!!!” นางกรีดร้องลั่นพร้อมกับพุ่งมาหาหมายจะทำร้ายเด็กน้อยในอ้อมกอด ดวงวิญญาณของเหล่างูร้าย พากันวิ่งเข้าหาคนร่างสูงและแปรเปลี่ยนเป็นพลัง เซเธอร์ก็ยืนปักหลัก ไม่หลบไปที่ใด อ้อมแขนกอดกระชับดไวท์แน่นขึ้นราวกับคำมั่นสัญญา ในตอนที่นางมารพุ่งเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว ราชันย์จิ้งจอกที่มีร่างกายใหญ่โตเทอะทะไม่ทันระวัง จนนางมารใกล้จะถึงตัวของผู้เป็นนายอยู่รอมร่อ แต่แล้ว ลำคอขาวนวลก็ถูกจับยึดเอาไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ที่มีสีดำสนิท กรงเล็บยาวเฟื้อยจิกเข้าที่ลำคอของนางจนหยาดโลหิตสีแดงก่ำไหลซึมออกมาเป็นทาง ดไวท์ยืนกอดเซเธอร์เอาไว้แน่นอย่างหวาดกลัว ลำตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะตัวนางอยู่ใกล้แค่เอื้อม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแสบจมูก ยิ่งทำให้เด็กน้อยฝังใบหน้าลงกับอกกว้างอย่างต้องการจะหลีกหนี

“เจ้าเลือกเอง แมซซ่า” ดวงตาสีโกเมนประกายแสงวาบ บ่งบอกให้รู้อารมณ์ของผู้พูดได้เป็นอย่างดี

“ขะ ข้า ข้า.....”

“ชีวิตเจ้า เป็นของข้า” น้ำเสียงเย็นเฉียบราวกับจะแช่แข็งคนฟัง นัยน์ตาของนางมารหดเล็กลงอย่างหวาดกลัว ต่างจากเซเธอร์ที่ใบหน้าเฉยชาไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ นางมารละล่ำละลัก เผยอปากร้องขอชีวิต

“ดะ ดะ ได้โปรด วะ ไว้ชีวิต... วะ ไว้ชีวิตข้า”

“ข้าจะให้เจ้าได้อย่างไรแมซซ่า ตอนข้าให้เจ้าเลือก เจ้าหมายจะเอาชีวิตดวงใจแห่งข้า” เซเธอร์พูดพร้อมส่ายหน้าช้าๆ

“ทุกสิ่งที่มีชีวิต ล้วนเป็นของข้าแมซซ่า เจ้าก็แค่เพียงส่วนหนึ่งของข้า จะเป็นอะไรไปหากข้าจักขอมันคืน” พูดแล้วก็จิกกรงเล็บเข้าไปที่คอของนางอีกครั้ง ดูดพลังวิญญาณของนางกลับคืนดั่งปากว่า ปลายเล็บนั้นจิกลงลึกไปถึงกระดูกอ่อนบริเวณลำคอ แล้วจัดการดึงกระชากออกอย่างรุนแรง

มันรุนแรงมากเสียจนหัวของนางหลุดออกจากร่าง ไม่เพียงเท่านั้น มันดึงเอากระดูกสันหลังของนางติดมาด้วย ศีรษะของนางอยู่ที่ฝ่ามือหนา กระดูกสันหลังสีขาวปนเลือดระไปกับพื้นดิน ในขณะที่ร่างของนางแน่นิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอนเอียงไปมาและล้มลง

ซิลเวอร์มองจ้องเซเธอร์อย่างประหวั่นพรั่นพรึง มันคิดว่ามันร้ายกาจแล้ว หากแต่ก็ยังไม่เทียบเท่าเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองเมื่อยามโกรธา น่าหวั่นเกรงว่าหากมันไม่ส่งสัญญาณให้เทพเจ้าตนนี้ได้รับรู้ และนำภัยมาสู่นายของตน มันเองแม้จะเป็นราชันย์แต่ก็คงไม่พ้นต้องตกตายไป อย่างที่เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองได้พูดไว้ ทุกสิ่งที่มีชีวิต ล้วนเป็นของเขา แม้ตัวมันจะได้ขึ้นชื่อว่าราชันย์ แต่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของพลังของเทพตนนี้เท่านั้นเอง

เมื่อร่างนางมารไร้ซึ่งวิญญาณมันก็ค่อยๆ ผุพังกลายเป็นผุยผง จางหายไปในอากาศ ไม่ต่างกับหัวของนางมารแม้แต่น้อย เซเธอร์โยนศีรษะของนางทิ้งอย่างไม่ไยดี สะบัดมือเปื้อนเลือดอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจมากนัก ก่อนจะนำมือนั้นมาจับกระชับไหล่บางของคนในอ้อมกอด เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่มีอะไรแล้วดไวท์ มันจบแล้ว” เสียงนั้นเรียกให้น้องน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะตะลึงงันเมื่อเห็นใบหน้าของพี่ชายชัดๆ ใบหน้าของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองแบ่งแยกสีอย่างชัดเจน ครึ่งซ้ายสีขาวครึ่งขวาสีดำ ซึ่งมันกลมกลืนไปกับเส้นผม ปีกกว้าง ดวงตาและวงแหวนอย่างพอเหมาะพอเจาะ

“ทะ ท่านพี่.... เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป