บทที่ 9 ความแคลงใจ

.

.

.

“ทะ ท่านพี่.... เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”

เสียงร้องถามจากคนในอ้อมกอด ทำให้เซเธอร์หันหนีเบือนหน้าหลบ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ไม่มีอะไรดไวท์....” เมื่อตอบแล้วก็หันกลับมาอีกครา ในครั้งนี้ร่องรอยสีดำบนใบหน้านั้นจางหายไปจนหมดสิ้น และกลับกลายเป็นชายผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนดวงหน้าเสมอดังเดิม

“ท่านพี่... เกิดอะไรขึ้นกับท่าน เหตุใดใบหน้าของท่านจึงเป็นเช่นนั้น” น้ำเสียงครางเครือของเด็กน้อยที่ราวกับจะร่ำไห้ถูกเปล่งออกมาให้ได้ยิน ฝ่ามือเล็กวางทาบลงบนผิวแก้ม เซเธอร์เอียงซบใบหน้าลงกับฝ่ามือนั้นก่อนจะมองจ้องเข้าไปในดวงตาฉ่ำน้ำ เอ่ยปากอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกที

“ไม่มีอะไรดไวท์ เจ้าอย่าได้กังวล”

“เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่ ฮึก เพราะข้าใช่หรือไม่....” น้ำเสียงเจือสะอื้นนั้นทำให้เซเธอร์กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น กดจนใบหน้าเล็กจมหายไปในอ้อมอก เอ่ยปากด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

“จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่างไรดไวท์ เจ้ามิได้ทำอันใดเลยมิใช่หรือ” พูดพร้อมลูบศีรษะเล็กหวังปลอบประโลมให้คลายอาการสะอื้น

“เพราะข้า... เพราะข้า.. ท่านพี่จึงต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มันทำร้ายท่านพี่ใช่หรือไม่ขอรับ ฮือออ” น้ำตาหยาดใสกลิ้งตกลงที่ข้างแก้มของเด็กน้อย และซึมหายไปกับเสื้อบนแผ่นอกกว้าง ที่ตนกำลังซุกซบอยู่อย่างไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป

“ไม่หรอกดไวท์ มันไม่ได้ทำร้ายข้าหรอก เจ้าจงวางใจ หยุดร้องเสีย ดวงใจแห่งข้า” พูดพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีกนิด แต่เด็กน้อยในอ้อมกอดผละออกเล็กน้อย เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาช้อนขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย

“จริงนะขอรับ มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ นะขอรับ”

“จริงสิดไวท์ ข้าไม่เคยโกหกเจ้า” พูดพร้อมรอยยิ้มอีกเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยปากชวน

“เรากลับกันเลยดีหรือไม่ เจ้าเจอเรื่องหนักหนามามากนัก สมควรพักผ่อน” เด็กน้อยนิ่งคิดชั่วครู่คล้ายกับลังเล ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นการปฏิเสธ

“ไม่ขอรับ วันนี้ข้าต้องไปรับค่าแรงจากท่านลุง ข้าจะทำงานต่อจนกว่าจะจบวันขอรับ”

‘นายน้อย... ข้าว่าท่านควรจะพักผ่อนนะขอรับ’ เสียงของราชันย์รัตติกาลเอ่ยบอกเสียงเครียด แต่เด็กน้อยก็ยังยืนยันคำเดิม

“ไม่ได้หรอกซิลเวอร์ พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินนะ” ดไวท์หันไปร้องตอบราชันย์จิ้งจอก เซเธอร์หลับตาลงนิ่งๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้น พร้อมกับดึงเอาเด็กน้อยมานั่งตักของตนไปด้วย

“เช่นนั้นข้าจะอยู่กับเจ้า ดไวท์” หลังสิ้นเสียงตัดสิน ราชันย์จิ้งจอกตัวใหญ่สีดำทมิฬก็เดินมาทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง เด็กน้อยหันรีหันขวาง จนคนพี่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นอะไรไปดไวท์”

“ท่านพี่......”

“....”

“เราจะนั่งกันเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ” เด็กน้อยถามพร้อมกับมองไปรอบๆ ตัว เซเธอร์และซิลเวอร์จึงเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ก่อนจะชะงักนิ่งไป....

เศษซากงูทั้งหลายที่นอนตายอยู่เกลื่อนพื้น จนมองแทบไม่เห็นผืนแผ่นดิน เกิดเป็นเส้นสายสีดำมืดมิดไม่น่าดูเท่าไหร่นัก เซเธอร์ยกมือขึ้นกุมขมับของตน ในขณะที่ซิลเวอร์จ้องมองตาแป๋ว ราวกับไม่เห็นว่าจะน่ากลัวตรงไหน

“ข้าขอโทษดไวท์ ข้าไม่ทันระวัง” เซเธอร์พูดพร้อมกับปัดมือขึ้นหนึ่งครั้ง พลังเวทซึ่งเป็นเส้นสายสีทองกระจายไปทั่วพื้นที่ เหล่าซากงูค่อยๆ แหลกสลายลงไปกับพื้น และก่อเกิดเป็นดอกฟอร์เก็ตมีน็อตสีฟ้าขึ้นกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ภาพความงดงามตรงหน้าไม่ได้ทำให้เด็กน้อยบนตักสนใจได้เลย ดไวท์เงยหน้ามองชายผู้เป็นเจ้าของเบาะรองนั่งให้กับตน ในแววตาของเด็กน้อยคาดเดาได้ยาก ก่อนจะถอนสายตากลับคืน มองจ้องภาพเบื้องหน้า เหล่าฝูงวัวค่อยๆ กระจายตัวออกไปตามที่ต่างๆ ไล่เล็มกินหญ้าและดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ทั่วพื้นที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ท่านพี่....”

“ว่าอย่างไรดไวท์”

“ท่าน... ไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหมขอรับ ท่านพี่ไม่ได้มีเรื่องปิดบังข้าใช่หรือไม่” ดไวท์เงยหน้ามองจ้องขอคำตอบในแววตาปรากฏความกังวลใจอยู่เต็มเปี่ยม และนั่นทำให้เซธถึงกับนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกที

“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ดไวท์ เจ้ากังวลเกินไปแล้ว” พูดพร้อมลูบหัวเด็กน้อย ดไวท์ก้มหน้าลงแล้วไม่ได้เอ่ยวาจาใดอีก

จวบจนกระทั่งตกเย็น ดไวท์และซิลเวอร์ก็ทำการต้อนฝูงวัวเข้าคอกที่ฟาร์มของคุณลุงผู้เป็นเจ้าของ และรับเงินค่าจ้าง ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยกัน ตลอดทั้งวันนั้นดไวท์เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าเซเธอร์จะตะล่อมถามสักเท่าไหร่ เด็กน้อยก็ทำเพียงเงยหน้า ยกยิ้ม ส่ายหัวอีกเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก

เซเธอร์กังวลใจอย่างหนักกับอาการของเด็กน้อยตรงหน้า แต่ก็ไม่อยากคาดคั้นให้มากความกลัวว่าจะเป็นการกวนใจเด็กน้อยในปกครอง จึงได้แต่เฝ้ามองอย่างกังวลใจเท่านั้น

ฟุ้บ!

“เป็นอะไรไปดไวท์”

“ท่านพี่ไชนิ่ง”

ฟุ้บ!

“ไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่เลยนะเด็กน้อย”

“ท่านพี่ดาร์คเนส”

ดไวท์เอ่ยทักคนทั้งคู่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นทางด้านขวาของตน และทางด้านซ้ายของเซเธอร์ ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของคนทั้งคู่ในเวลาถัดมา

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรขอรับ” ทั้งสองต่างหรี่ตามอง ก่อนจะขยับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ หยิบยื่นของขวัญให้กับเด็กน้อย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของดไวท์คือลูกแก้วสีขาวและสีดำขนาดกลางลูกหนึ่ง ทั้งสองต่างพูดพร้อมกันว่า

“หาเจ้าต้องการความช่วยเหลือดไวท์ จงปามันลงพื้นแล้วข้าจักมาช่วยเจ้า/หาเจ้าต้องการความช่วยเหลือดไวท์ จงปามันลงพื้นแล้วข้าจักมาช่วยเจ้า” เด็กน้อยยกยิ้มให้กับความเข้ากันของคนทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณและรับเอาลูกแก้วทั้งสองลูกนั้นมา

“ขอบคุณขอรับท่านพี่” เด็กน้อยพูดแล้วเก็บลูกแก้วนั้นเข้ากระเป๋าของตน ในขณะที่ทั้งสองคนต่างก็เอ่ยปากต่อ

“ขอโทษด้วยดไวท์ ข้าติดภารกิจ จึงไม่ได้มาร่วมงานวันเกิดของเจ้า”

“ข้าก็เช่นกันดไวท์ โปรดอภัยให้ข้า”

“ข้าไม่โกรธหรอกขอรับ ขอท่านพี่ทั้งสองวางใจ” เด็กน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้ทั้งสองจับสังเกตได้มากขึ้นกว่าเดิม

“เซธ เจ้าทำอะไรดไวท์กัน”

“ข้ามิได้ทำอันใด ดไวท์เพียงพบเจอเรื่องไม่ดีมาเท่านั้น”

“เรื่องอันใดกัน ที่ทำให้ดไวท์น้อยเซื่องซึมเช่นนี้”

“แมซซ่าหมายจะเอาชีวิตเขา”

“นางมารงูยักษ์?”

“ใช่”

“เข้าใจล่ะ... ช่างหอมหวานนัก” ดาร์คเนสพูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตานิ่ง และเมื่อลืมตาขึ้น ดวงตาเกิดประกายสีแดงวาบก่อนจะจางหายไป ดไวท์ขยับเข้าหาพี่ในทันที ฝ่ามือเล็กจับยึดเอาชายเสื้อของคนเป็นพี่ไว้แน่น

“ดาร์คเนส เจ้าทำให้ดไวท์กลัว”

“ข้าขอโทษเด็กน้อย หลังจากนี้เจ้าจงระวังตนให้มาก กลิ่นของเจ้าเรียกให้มารเข้ามาหา มันช่างหอมหวนยิ่งนัก” ดาร์คเนสพูดด้วยความเป็นกังวล ก่อนที่เซเธอร์จะเอ่ยขัดขึ้นมาเบาๆ

“ข้าจักปกป้องเขาเอง จะไม่มีอันตรายใดกล้ำกรายเจ้าได้ดไวท์” เซเธอร์พูดพร้อมกับลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา

“เซธ นายเหนือหัวทรงพิโรธมากขึ้นทุกที เจ้าจะดึงเวลาไปอีกนานเท่าไหร่กัน”

“เฮ้อ ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ พวกเจ้าไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร”

“แล้วเจ้าเล่า ถูกพวกข้าทวงถามอยู่ร่ำไป ไยจึงไม่เบื่อหน่ายตนบ้าง” ดาร์คเนสพูดด้วยความฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย เมื่อมาทวงถามกี่ครา คำตอบก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เซเธอร์หยุดนิ่งไป หันมามองหน้าเด็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เมื่อข้าได้ดวงใจของข้ากลับคืน เมื่อนั้น ไชนิ่ง ดาร์คเนส ข้าจะกลับไปพร้อมกับพวกเจ้า” ทั้งสองคนต่างหลับตาอย่างท้อแท้ใจ ก่อนจะหันไปยกยิ้มพร้อมกับโบกมือลาเด็กน้อย และทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายเอาไว้

“ข้ารอเจ้าอยู่/ข้ารอเจ้าอยู่”

ฟุ้บ!

“พวกท่านพี่ไชนิ่งและท่านพี่ดาร์คเนสรออะไรจากท่านพี่หรือขอรับ” ดไวท์หันมาร้องถามอย่างแปลกใจ ก่อนที่เซเธอร์จะบอกปัดอย่างเช่นทุกที

“ไม่มีอะไรดไวท์ แค่ความปรารถนาของตาแก่คนหนึ่งเท่านั้น” จากนั้นสองพี่น้องจึงพากันเดินกลับบ้าน วันนี้เซเธอร์เตรียมอาหารเย็นช้ากว่าทุกที จึงให้เด็กน้อยไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อน แล้วจึงค่อยมารับอาหารเย็นพร้อมกัน จนกระทั่งเด็กน้อยอาบน้ำเสร็จ อาหารก็พร้อมรับประทานพอดี สองพี่น้องจึงทรุดตัวลงนั่งทานอาหารด้วยกัน เมื่อทานเสร็จดไวท์เป็นคนขันอาสาในการเก็บล้าง และดุนดันหลังพี่ชายให้เข้าไปอาบน้ำ เซเธอร์เองก็ไม่ได้ปริปากว่าอะไร ยอมไปอาบน้ำตามที่น้องน้อยต้องการ แล้วกลับมานอนเคียงกันบนเตียงกว้าง เซเธอร์เอ่ยปากร้องเพลงกล่อมจนกระทั่งเด็กน้อยหลับไป ก่อนจะเพ่งพิศดวงหน้าขาวกระจ่างของยอดดวงใจ

“ฮึก ฮือออ ท่านพี่” ปลายนิ้วมือเกลี่ยหยาดน้ำตาสีใสออกให้แผ่วเบา มองดูอาการของเด็กน้อยไปพลาง

“อย่า.... ได้โปรด....”

“อย่าไปกับนาง.... ข้าอ้อนวอนท่าน ฮึก ฮืออออ”

“ยาใจของข้า......” พูดพร้อมแตะนิ้วมือลงที่หน้าผากเล็กแคบ ก่อนจะเริ่มร่ายมนตร์เพื่อช่วยให้เด็กน้อยไม่ทุกข์ทรมาน

“ได้โปรด อย่าทอดทิ้งข้า ฮืออออ”

“ดไวท์ ข้าขอโทษ.....”

“ได้โปรด ได้โปรด....” เสียงพึมพำของคนที่ยังนอนหลับไม่ได้สติ กรีดลงที่กลางใจของคนฟังทุกครา แต่สิ่งที่ทำได้ มีเพียงการร่ายมนตร์เพื่อบรรเทาอาการนั้นลง และเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจจะจำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย

ยามเห็นเจ้า ร่ำไห้ ใจพี่ทุกข์

ยากจะปลุก ปลอบเจ้า ตื่นจากฝัน

หากจะปล่อย นานไป แต่ละวัน

เกรงว่ามัน ยิ่งทวี ความรุนแรง

หากจะเผย ความจริง ช่างยากนัก

พี่สุดหัก ห้ามใจ อย่างเหลือแสน

ทำได้เพียง กักเก็บ ในพรมแดน

ขอเพียงแสง นำทาง จงจางไป

พี่จักซุก ซ่อนแอบ อดีตกาล

พี่จักซุก ความหวาน เมื่อกาลก่อน

พี่จักซุก ความเจ็บปวด ไม่ตรึกตรอง

พี่จักซุก ความเศร้าหมอง ให้ห่างไกล

"ข้าจักทำทุกทางเพื่อปกป้องเจ้า ดวงใจแห่งข้า"

เนินนานกว่าที่เด็กน้อยจะสงบลง เซเธอร์ก็เสียพละกำลังไปมากเช่นกัน เขานั่งตัวหอบโยน เหงื่อผุดพรายตามใบหน้า ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง และเริ่มต้นเช็ดเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเหมือนทุกค่ำคืน เกิดสายลมพัดไหววูบหนึ่ง จนเปลวเทียนหรี่เล็กลงและกลับมาสว่างไสวอีกครา พร้อมกับเสียงของคนผู้หนึ่ง

“เจ้าน่าจะปล่อยให้เขาเผชิญความจริง” แฮคเตอร์เอ่ยปากพร้อมกับยืนพิงกรอบประตู กอดอกแน่น แล้วพูดต่อ

“บางทีอะไรๆ อาจจะดีขึ้น”

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการของเขาจะไม่แย่ลง”

“ข้าไม่รู้หรอก แต่ข้าคิดว่าปล่อยให้เด็กน้อยของเจ้าได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด มันอาจจะช่วยให้เขาสงบลงได้”

“....”

“เจ้ากำลังกลัวอะไรเซธ”

“....”

“หากเจ้ายังทำอยู่เช่นนี้ เจ้าคงได้ตายเข้าสักวัน”

“ข้าไม่กลัวความตายแฮคเตอร์ สิ่งที่ข้ากลัวคือการที่ข้าไม่มีเขาอยู่ข้างกายข้า... ช่วงเวลา 300 ปีนั้นมิใช่น้อยเลยแฮคเตอร์”

“เจ้ายอมที่จะตาย เพื่อได้ใช้เวลาอยู่กับดไวท์ให้มากที่สุดอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงของแฮคเตอร์เข้มขึ้น บ่งบอกถึงอารมณ์ผู้พูดได้อย่างชัดเจน

“เป็นเช่นนั้นแฮคเตอร์”

“โง่เง่า!! เจ้าคือคนที่ท่านพ่อไว้วางใจไม่รู้หรืออย่างไร!! เจ้าได้รับความรักมากกว่าใครๆ!!! เหตุใดจึงยึดติดอยู่กับคนผู้เดียว!!!” เสียงของแฮคเตอร์ตวาดก้องไปทั่วห้องนอน แต่ชายหนุ่มวัย 18 ปี ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับฟังแม้แต่น้อย ลมหายใจเข้าออกยังคงสม่ำเสมอไม่มีสะดุด

“หากเจ้ารักใครสักคนแฮคเตอร์ ไม่ว่าเทพหรือมาร เจ้าจักเข้าใจข้า” เซเธอร์พูดในขณะที่สายตายังคงจดจ้องเด็กน้อยที่หลับอยู่บนเตียง ไม่ได้หันไปสนใจกับแขกผู้มาเยือน

“เจ้านี่มัน!!! ดื้อด้านนัก!! เสียดายที่ท่านพ่อคาดหวังกับเจ้าไว้สูงยิ่ง ท่านพ่อคงจะมองเจ้าผิดไป เจ้าละทิ้งโลกทั้งใบเพื่อคนเพียงผู้เดียว!!” นัยน์ตาสีม่วงอเมทิสต์ของแฮคเตอร์เป็นประกายเข้มขึ้นด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ปรายสายตามองจ้องเด็กตัวขาวบนเตียงนอนก่อนจะเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายทิ้งความยุ่งเหยิงเอาไว้ให้

“แฮคเตอร์ เจ้าช่างน่าชังนัก” เซเธอร์พูดพร้อมถอนหายใจ แล้วปัดมือไปพลาง พลังสีทองปรากฏ จัดเก็บสิ่งของที่ตกล้มระเนระนาดเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจา

“ข้าไม่ได้ละทิ้งโลกทั้งใบเสียหน่อย ดไวท์คือโลกทั้งใบของข้า......”

ในเช้าวันถัดมาดไวท์น้อยนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมาสักพัก แล้วจึงค่อยๆ ผุดตัวลุกขึ้น เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย กลับออกมาอีกครั้งเมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยดี เมื่อพ้นจากประตูห้อง เด็กน้อยก็มุ่งตรงไปที่ห้องครัวก่อนเป็นอันดับแรก

เซเธอร์หันมายกยิ้มให้น้องน้อย ดไวท์ก็ยกยิ้มรับ แล้วทรุดตัวนั่งลงทานอาหารตรงหน้า ในเช้าวันนี้ไร้เสียงพูดคุยอย่างเช่นเคย บรรยากาศอึมครึมลอยฟุ้งตั้งแต่เมื่อวาน จวบจนกระทั่งเช้าวันนี้ และดูเหมือนจะเพิ่มความร้อนรนให้กับเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความอดทนก็หมดสิ้นลง เซเธอร์เดินมาทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าเด็กน้อย เอ่ยปากด้วยท่าทีน่าสงสารสุดใจ

“ดไวท์ เจ้าเป็นอันใดกัน บอกข้าได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลา ขมวดคิ้วหมุนด้วยความจนใจ เมื่อไม่รู้ว่าสาเหตุที่น้องแสดงอาการเช่นนี้ใส่ตนนั้นมาจากเหตุใด ด้วยเพราะดไวท์น้อยไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้ใส่ตนมาก่อน

“ก็มิมีอันใดนี่ขอรับท่านพี่” พูดพร้อมวางแก้วนมสดลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยปากต่ออย่างไม่รั้งรอ

“ข้าจะไปทำงานแล้วขอรับ ท่านพี่ไม่ต้องไปส่งข้าหรอกขอรับ ข้ามีซิลเวอร์แล้ว” ว่าจบก็เดินออกจากบ้านไปทันที ทิ้งให้เทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครองมองตามตาปริบๆ ก่อนจะรีบรุดไปที่ประตูบ้าน เปิดออกกว้าง แล้วสาวเท้าเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

ดไวท์เดินก้าวเท้าในจังหวะสม่ำเสมอ ไม่ได้รีบร้อนหรือเชื่องช้าแต่อย่างใด การก้าวเท้าเป็นไปเรื่อยๆ โดยที่มีคนตัวโตและปีกใหญ่ที่ยาวระไปกับพื้นดินเดินตามอยู่ไม่ห่าง

“ดไวท์... เจ้าเป็นอันใดกัน บอกข้าได้หรือไม่”

“ข้าไม่ได้เป็นอันใดนี่ขอรับท่านพี่” พูดตอบพร้อมรอยยิ้ม หากแต่ดวงตาไม่ปรากฏรอยยิ้มนั้นดังเช่นเคย ก่อนจะสะบัดหน้าหนี แล้วก้าวเท้าเดินต่อ

“ดไวท์ ข้าทำอันใดผิดไปหรือ”

“ไม่ผิดหรอกขอรับท่านพี่” พูดพร้อมกับมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้หันมาสนใจดังเช่นทุกที

“ดไวท์.... เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำกับข้าเช่นนี้เลย” พูดด้วยน้ำเสียงที่เหงาหงอยลง

“.....” ดไวท์ไม่ได้เอ่ยวาจาใดกลับมาอีกแม้แต่น้อย เนื่องจากเดินทางเข้าสู่ตัวหมู่บ้านแล้ว สองพี่น้องเดินเคียงกันไปเงียบๆ จนกระทั่งพ้นตัวประตูเมือง

“ท่านพี่ส่งข้าแค่นี้ก็พอขอรับ ข้าขอตัวก่อน” พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินแยกไปอีกทาง

หมับ!

“อย่าทำกับข้าเช่นนี้ หัวใจของข้าเจ็บปวดนัก” มือข้างหนึ่งของเซเธอร์จับคว้าข้อมือเล็ก เพื่อเป็นการบ่งบอกให้รั้งรอก่อน แล้วจึงดึงกระชับเข้าหาตัว ใช้อีกมือเชยใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั้นขึ้นมองจ้องสบตา ในแววตาปรากฏความเศร้าสร้อย จนใจคนมองกระตุกวูบ ดไวท์ยกมือขึ้นวางลงแนบกับใบหน้าของเทพเจ้าแห่งการปกป้องคุ้มครอง เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ท่านพี่บอกข้าได้หรือไม่ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่นเป็นการทำร้ายท่านหรือไม่ขอรับ เหตุใดท่านพี่จึงมีพลังเวทที่เป็นทั้งสีทองและสีดำในเวลาเดียวกัน และเหตุใดใบหน้าของท่านจึงเป็นสีดำเช่นนี้....”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป