บทที่ 4 ตอนที่ 4
ครั้นพอเลิกงานมีนาจึงก้าวออกจากตัวอาคาร หลังจากง่วนอยู่กับการเก็บเอกสาร และข้าวของบนโต๊ะจนเรียบร้อยเมื่อสิบนาทีก่อนก้าวลงมา เธอไม่เจอตัวปัญหาที่ทำให้ใจสั่น เขาอาจกลับไปแล้วหรือยังไม่กลับ เพราะช่วงเย็นๆ ยังเห็นเอริก พาเขาไปเยี่ยมแผนกนั้นฝ่ายนี้ในบริษัทอยู่เลย ตอนผ่านฝ่ายของเธอเขาก็อ่อยผู้ใหญ่อย่างเธอด้วยการยักคิ้วหลิ่วตา พร้อมท่าทางกวนบาทาผ่านไป
ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองนักปลายสายคล้ายกับเห็นเขาแอบถ่ายรูปเธอไว้ด้วย แต่นั่นไม่แน่ใจนักไม่อยากคิดไปเอง บางทีเขาอาจถ่ายภาพบรรยากาศเพื่อเก็บไว้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กก็เป็นไปได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงปัดเรื่องนี้ทิ้งไป แล้วก้าวลงจากอาคาร
แต่แล้วความโล่งใจที่เธอคิดว่าสำเร็จ กลับดังปลุกสติขึ้นเบื้องหลัง
“มีนา” เขาขานเรียก ชายหนุ่มมั่นใจว่าเธอคือมีนา...แน่นอนผู้หญิงสวยคนนี้คือมีนา
“คุณ...เอ่อ...เพชร” นี่คงเป็นช่วงจังหวะที่เธอควรเรียกขานผู้ชายคนนี้แบบที่เขาต้องการ เพราะปราศจากสายตาคนอื่น แม้พนักงานต่างทยอยกันออกจากอาคารก็ตาม
“ดีมาก เราตกลงกันไว้แล้วนะ” เพชรย้ำข้อตกลงระหว่างเธอกับเขาตอนอยู่ในห้องประชุม หน้าเด็กตัวเล็กแบบนี้จะให้เขาเรียกพี่มีนา คุณมีนา ก็ไม่น่าจะเหมาะสมสำหรับเธอคือมีนา หรือถ้าสนิทกันมากกว่านี้ก็ทูนหัว ที่รัก ยาหยี เบบี๋ตามแต่เขาจะบัญญัติศัพท์เหมาะสมเพื่อเธอ ยัยป้าน่ากิน ชายหนุ่มคิดในใจ
“เข้าใจค่ะเข้าใจ” หญิงสาวรู้สึกหนักใจกับสรรรพนามบุรุษที่หนึ่ง กับสรรพนามบุรุษที่สองจนอยากวิ่งหนี
“ไปดื่มกันหน่อยไหม ผมเลี้ยงคือผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเกี่ยวกับงานนิดหน่อย” เขาชวนไม่มีปี่มีขลุ่ย
“นี่เป็นเวลาเลิกงานของดิฉัน” นอกเวลางานไม่ควรมีเรื่องงานใดๆ มาคุย หากเขาเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิท เธอคงรีบรับปากไปดื่มด้วย เพราะชีวิตโสดอยู่ลำพังไม่ต้องรีบกลับไปหาใคร ไม่ต้องกลับไปดูแลใคร ไปไหนไปกันหากไม่ดึกมาก
“อ๊ะ...” ชายหนุ่มยกนิ้วห้ามเพื่อเตือนสรรพนามที่ไม่ถูกต้อง
“ของมีนา” เฮ้ย นี่มันอะไรกันเด็กเมือวานซืนให้เธอแทนตัวมีนา ให้เรียกเขาเพชรเฉยๆ กระดากปากเป็นบ้า ไอ้เด็กเวร ช่างเอาแต่ใจดีแต่สั่งวางอำนาจ นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นลูกเจ้านายแม่ได้โวยลั่นแน่
“ไปน่ามีนาว่าง่ายๆ ผมมีเรื่องคุยกับคุณจริงๆ” เขาไม่ฟังเสียงคัดค้านแต่อย่างใด รุกจีบสาวใหญ่คงต้องว่องไวและแสดงให้เห็นว่าเขาอยากจีบเธอแค่ไหน เพชรลากมีนาไปขึ้นรถ
“เดี๋ยวฉันมีรถ ฉันเอารถมา”
“ไม่เป็นไรจอดไว้ที่บริษัทไม่มีวันหาย” เขาไม่แคร์เรื่องนั้น จึงจับร่างเล็กยัดเข้าไปในห้องโดยสารรถหรูสีเงินอย่างว่องไว
มีนาตั้งใจจะประท้วงด้วยการกระโดดลงจากรถ หากว่าเกรงสายตาใครต่อใครมองมายังเธอ ด้วยลานจอดรถตรงนี้ไม่ได้ร้างสายตาผู้คนนัก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเลิกงาน เธอจึงเลือกนั่งอย่างสงบปลอดสายตาคนแล้วค่อยขอตัวลง หรือทำอะไรสักอย่างที่ไม่ต้องไปกับ “ไอ้เด็กเวร” นี่ท่าทางหัวดื้ออยู่ไม่น้อย
“ทำไมไม่คุยกันในบริษัท เปิดห้องประชุม หรือคุยที่ห้องทำงานฉันก็ได้”
“ผมอยากคุยไปดื่มไป และทำความรู้จักกับคุณไปโดยไม่มีสายตาคนอื่นที่...แบบรู้จักเรา”
“ทำความรู้จัก ?” หญิงสาวสงสัยในคำพูดจากเขา ทำไมเขาอยากรู้จักเธอนอกเวลางาน แล้วมันคืออะไรการอยากรู้จักแบบนี้ ความจริงมีนาเคยโดนจีบบ่อยๆ แต่เพราะเธอไม่เคยถูกรุกเร้าขนาดหนักแบบนี้ จึงไม่คิดว่าการมาแบบนี้ของเพชรคือการจีบ และเธอคิดว่าผู้ชายอายุอ่อนกว่าเธอไม่น่าสนใจผู้หญิงที่อายุมากกว่า
อีกอย่างหน้าตา รูปร่าง และฐานะอย่างเขาคงมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิต ไม่เว้นแต่ละวันเขากำลังคิดลองของอะไรกับเธอกันแน่
ขับรถมาถึงร้านๆ หนึ่งบรรยากาศดี เด็กในร้านกำลังตระเตรียมร้าน บ้างเช็ดโต๊ะ บางจัดแจกัน
“เอ่อ...ร้านคงยังไม่เปิดละมั้งเพชร”
“เดี๋ยวก็เปิด ผมมาเขาจะต้อนรับอย่างดี”
“นายมีอภิสิทธิ์ขนาดนั้นเชียว”
“มาเถอะ” เขาถือโอกาสฉวยข้อมือเล็ก เธอมองแล้วรั้งกลับแต่ก็จนแต้มเมื่อเขาไม่ยอมปล่อย หรือว่าฝรั่งไม่ถือเรื่องมือถือแขน เจอกันแค่วันเดียวเขาก็จับมือเธอหลายครั้งแล้ว
เพชรเดินอย่างคล่องแคล่วไปตรงมุมดีๆ ในร้าน สำหรับที่นั่งสองคน พนักงานโค้งให้เขาราวกับรู้จักกันเป็นอย่างดี เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ ก่อนจะอ้อมไปนั่งอีกตัวตรงข้าม ท่าทางห่ามๆ แต่ดูเป็นสุภาพบุรุษดีใช้ได้ ครั้นพอนั่งลงเขาเรียกเด็ก บริกรมาสั่งเครื่องดื่มสำหรับสองที่
“มีนาผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างมือสักหน่อยนะครับ” เพชรเอ่ยปากขอตัว
“ไปสิฉันไม่ได้ผูกขานายติดกับโต๊ะไว้นี่”
“กวนดีนักนะ”
เขาเดินจากไปพร้อมกับกล่าวโทษหญิงสาวไว้ เพชรหายร่างเข้าไปในห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีโดยเดินสวนกับชายอีกคนแล้วยกฝ่ามือตบไหล่ราวกับคนรู้จัก ใครคนนั้นรูปร่างไม่ต่างกับเพชรเลยสักนิด
“รอนานไหม” เพชรกล่าวขณะหย่อนก้นลงนั่ง สูทสีเทาหายไปจากตัว
“สูทนายหายไปไหน” มีนาเอ่ยถามตอนเขาเดินไปเข้าห้องน้ำ ยังสวมสูทอยู่เลยนี่นา
“อ้อ...ผมฝากพนักงานช่วยเอาไปแขวนไว้ให้หน่อย”
“นายดูสนิทกับคนที่นี่จัง”
“เอ่อ...ร้านประจำน่ะ” เขาตอบติดขัดเล็กน้อย
“ช่างเถอะผู้ชายส่วนใหญ่ก็พาผู้หญิงมาร้านที่ตัวเองคุ้นเคย เพราะนั่นหมายถึงความคล่องตัวในการเทคแคร์ผู้หญิง”
“ป้า...เคยถูกผู้ชายพามาร้านอาหารแบบสองต่อสองด้วยเหรอ” เขาถามยียวนเป็นผู้หญิงย่อมมีโมเม้นนี้หรือ ต้องเคยมี
“ป้า...ทำไมนายเรียกฉันว่าป้า เมื่อกี้ยังมีนาอยู่เลย” สรรพนามที่ถูกเรียกขานเปลี่ยนไป เขาชักไม่ให้เกียรติคนสูงวัยกว่าอย่างเธอมากเกินไป นึกอยากเรียกอะไรก็เรียก
“ผมอยากเรียกแบบไหนก็เรื่องของผม มีปัญหาไหม” เขาตอบกวนประสาท พร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อจนไม่อยากมองนาน ลอยหน้าลอยตาฉีกยิ้มกว้างแปลกไป ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวยแม้ว่าตอนพบกันในห้องประชุม เขายิ้มอย่างอ่อนโยนสุขุมกว่านี้ หากแต่พอมาอยู่ด้วยกันลำพังโดยไม่มีสายตาคนอื่นคอยมอง เขากลับยิ้มเบิกบานปนกวนประสาทระคนไป
“นายกวนฉันมากกว่าเดิม” หนำซ้ำการแต่งตัวก็แปลกไป เมื่อกี้เขายังเนี๊ยบใส่สูท แต่ตอนนี้เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกอย่างลวกๆ ทั้งสองข้าง กระดุมเสื้อถูกปลดสามเม็ดเผยไรขนรำไรแพมออกมาตามรอยแยกของสาบเสื้อ
มีนามองตรงนั้นแล้วถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเหนียวหนืด ราวกับกลืนก้อนกรวด
“นอกเวลางานน่าป้าอย่าเรื่องเยอะสิ สั่งอะไรหรือยัง ที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยนะ พาสต้าทะเลหน่อยมั้ย” เขาเสนอเมนูอร่อยประจำร้าน
“ฉันไม่ค่อยชอบอาหารอิตาเลียน มันเลี่ยนสมชื่อ” เธอชอบอาหารไทยหากอยู่บ้านต่างจังหวัดเธอมักติดรสมือแม่ พอมาอยู่เมืองกรุง ทั้งงาน ทั้งชีวิตยุ่งเหยิงจึงต้องฝากท้องไว้กับร้านอาหารมากกว่าลงมือปรุงเอง แต่ก็มีบ้างที่สองลูกน้องแรดร่าน จะหิ้วของติดมือไปที่บ้านของเธอแล้วสุมหัวทำรับประทานเอง
“ไม่หรอกต้องลอง ที่นี่อร่อยไม่เลี่ยน” เขานำเสนอโดยจัดการสั่งอาหารเอง เป็นอาหารจานเดียวสองจาน คงสำหรับของเธอและของเขา เครื่องดื่มถูกนำมาเสิร์ฟเรียบร้อยตั้งแต่เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“ไหนว่ามีเรื่องคุย” มีนาไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังมาก เหตุผลค่อนข้างหาไม่ได้ แต่เอา...น่าเธอไม่อยากอยู่กับเขาแบบนี้นาน หรือไม่อยู่ด้วยกันเลยเป็นการดี
“นี่ไงคุยไปทานอาหารไป ดื่มไป ได้บรรยากาศกันเองผมไม่ชอบบรรยากาศคร่ำเคร่ง คุยแต่สาระกันตลอดเวลา”
