บทที่ 6 ตอนที่ 6
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกรีดร้อง มือบางล้วงหยิบออกมาดู พบว่าเป็นพี่ใหญ่ที่โทร.เข้ามา ไพลินลังเลในการจิ้มรับสาย ไม่รู้จะปั้นเสียงอย่างไรให้แนบเนียน เธอทุกข์ปลงไม่ตก แต่พี่ใหญ่มองเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา
ขณะกำลังจะกดรับสายพลันเสียงแม่นวลดังขึ้น ไพลินจึงไม่ได้กดรับ หันไปมองแม่นวลซะก่อน
“นั่นใครน่ะ ใช่ลินไหม”
“อ๋อ...ใช่ค่ะแม่” ไพลินตอบแม่นวลกลับไป พร้อมกับปรับเสียงให้ปกติที่สุด เก็บอาการสับสนไว้ภายใต้ดวงหน้าสวยน่ารัก ช่างอ้อนให้มากที่สุด ร่างบอบบางก้าวเดินไปหยุดตรงหน้าแม่นวล รู้สึกอยากกอดท่านมากจึงยกแขนสวมกอดแม่นวล
“อะไรทำอย่างกับไม่เคยกอด ทำไมกลับมาเร็ว แล้วพี่ใหญ่ล่ะ”
“พะ...พี่ใหญ่ติดงานค่ะ เห็นว่าลินเบื่อๆ เลยให้กลับมาก่อน”
“ตายจริงเวลาแบบนี้ทำไมปล่อยให้น้องมาเองไม่มาส่งแย่จริงเชียวลูกคนนี้” ลูกคนนี้ปกติก็ดูแลน้องดี ไม่ปล่อยให้ไปไหนมาไหนในยามค่ำคืนลำพัง ดังนั้นเชื่อว่าใหญ่ต้องมีเหตุผลในการทำแบบนี้
“ลินขอตัวก่อนนะคะแม่ เหม็นควันเหม็นบุหรี่ที่ผับ แสบตาไปหมดแล้ว” ไพลินหาข้ออ้างเพื่อจะได้ผละไปจากแม่นวล วันนี้สิ่งที่ประสบมารู้สึกไม่ค่อยดี แต่กลับรู้สึกดีอยู่ลึกๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใดๆ เลย
“จ้ะ” แม่นวลยิ้มอ่อนหวาน อบอุ่นแก่ไพลิน
ว่าแต่ได้ยินลูกชายบอกว่าจะให้ไพลินทำงานแต่ในสำนักงาน ไม่ให้ออกมาตรงส่วนผับ แล้วทำไมไพลินบอกว่าเหม็นควันบุหรี่ หรือเพราะออกไปตรงส่วนผับอาจจะโดนพี่ชายดุ ไพลินจึงงอนแล้วรีบกลับบ้านลำพัง แม่นวลได้แต่คิดตามรางบอบบางผู้สวยวันสวยคืน ที่ก้าวจากไปแม่นวลนางได้แต่แอบยิ้ม ไม่นึกรังเกียจอะไรในตัวไพลินเลย หากต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูอีกในฐานะหนึ่ง เพราะเท่ากับว่านางได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบตามที่มรกตขอไว้ ก่อนจากไปชั่วนิรันดร์ นวลยังรู้สึกว่าตัวเองกุมมือสัญญากับมรกตอยู่หมาดๆ
เผลอแป๊บเดียวไพลินโตเป็นสาวเต็มตัว นี่ผ่านเวลาไปนานขนาดนี้ได้อย่างไร
ตกกลางดึกพี่ใหญ่กลับมาที่บ้าน ปกติเขาจะไม่กลับมาเวลานี้ แต่เพราะมีเรื่องให้คิด จึงต้องกลับมาก่อนกำหนดเวลา ก่อนก้าวเข้าห้องเขามองไปยังห้องน้องสาวที่อยู่มุมสุดตรงข้ามห้องพ่อกับแม่ มองแล้วก็มองไม่รู้ควรทำอย่างไร เขาเองก็คิดมากเรื่องที่อดใจไม่ไหว เขาเองก็คาใจในปฏิกิริยาที่ไพลินแสดงออก
เธอไม่รังเกียจไม่ขัดขืน ปล่อยให้เขาจูบ ลูบคลำ ทั้งใช้ลิ้นพันเกี่ยว อยู่นิ่งๆ ซ้ำยังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อจูบ เขาประลาดใจรู้สึกได้ รับรู้เป็น หรือจะปล่อยเรื่องนี้ให้หายไปตามกาลเวลา ทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาจะทนได้แค่ไหน เท่านี้ก็หึงหวงไพลินจนระงับไม่อยู่ ในเวลาที่เห็นน้องสาวนอกไส้คนนี้อยู่กับผู้ชาย โปรยยิ้มหว่านเสน่ห์กับผู้ชายหลายๆ คน แค่หญิงสาวขยับยังไม่ทันยิ้ม ผู้ชายมากหน้าหลายตา ต่างพร้อมสยบแทบเท้าเธอแล้ว
เขาผู้เป็นมดที่แฝงอยู่พวงมะม่วง ควรแสดงความเป็นเจ้าของอย่างไร บอกความจริงที่ถูกเก็บงำไว้ตลอดระยะเวลายี่สิบปี ตนจะได้มีสิทธิ์ครอบครองในตัวน้องสาว อย่างไม่ต้องปิดบังความรู้สึก หรือ...อยู่ห่างจากเด็กในปกครองให้มากที่สุดว่าแต่ยากทุกกรณี
พี่ใหญ่ทิ้งกายลงนอนบนเตียงนุ่ม ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากด้วยความร้อนรุ่ม คิดมากคิดถึงสัมผัสกับไพลินแล้วหัวใจหนุ่มใหญ่ที่เคยแข็งแกร่ง ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ครั้นพอได้ประกับจูบปากกับน้องสาวนอกไส้ ที่ตัวเองค่อนข้างคิดไม่ซื่อหมักบ่มไว้นานแล้ว การควบคุมในตัวเองพลันแปรเปลี่ยนเป็นใจง่าย หมายจับน้องในปกครองกินเป็นอาหาร
หรือว่าเขา...ควรรอเวลาอีกสักหน่อย พี่ใหญ่พยายามปลง สุดท้ายจึงตอบตัวเองได้อย่างนั้น แล้วข่มตาให้หลับหลังจากจัดการชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว
ครั้นพอเช้าพี่ใหญ่ถูกแม่ปลุกให้ตื่น เพราะต้องไปส่งไพลินไปเรียน เขาปั้นหน้าไม่ถูกในตอนที่เข้าไปนั่งในรถเคียงข้างกับไพลิน เธอเองก็เงียบเขาจึงเลือกเงียบไปตลอดทาง
ตลอดทางไปยังมหาวิทยาลัยโดยที่ปีนี้ไพลินเรียนปีสุดท้ายจะได้จบเป็นบัณฑิตสมใจ เธอตัดใจนั่งเงียบมองออกไปนอกกระจกรถเพียงอย่างเดียว ครั้นพอหันกลับมาก็เจอดวงหน้าหล่อเหลาคมคร้าม มองมือ มองหน้า มองคาง พร้อมเผลอไปมองริมฝีปากบางได้รูปที่เคยประกบจูบบดขยี้ปากเธอจนร้อนผ่าว ราวกับต้องการดูดวิญญาณออกจากร่าง
“นี่...” เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้น
ปลุกความคิดเตลิดเปิดเปิง ไปถึงจูบเมื่อคืนจนร้อนรุ่มนั้น ร่างบอบบางที่เอาแต่นิ่ง สายตาจับจ้องมองพี่ใหญ่อยู่เงียบๆ ถึงกับสะดุ้งโหย่ง
“จะเอาแต่เงียบจริงๆ หรือลิน”
“เอ่อ...ลินไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ”
ปกติไพลินเจื้อยแจ้วตลอดเวลาที่ได้เข้ามานั่งในรถกับพี่ใหญ่ พูดนั่นนี่ไม่ยอมหยุด ดินฟ้าอากาศ ละคร การเรียน รวมไปถึงเล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังไม่ขาดปาก จากที่เขาไม่รู้จักเพื่อนไพลิน ไม่เคยเห็นหน้าแค่ได้ฟังจากปากไพลินทุกๆ วันที่เขาต้องขับรถมาส่งน้อง เหมือนกับได้รู้จักทุกคนกันถ้วนหน้า เพื่อนน้องสาวหลายคนชอบเขากระทั่งส่งของกิน ของที่ระลึกฝากผ่านไพลินมาให้ เขาก็แค่ขอบใจแต่ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งของเหล่านั้น
“ถ้าเรื่องนั้นพี่ยังยืนยันว่าไม่ผิด”
“ไม่ต้องพูดแล้วค่ะไม่ต้องพูด” พอพี่ใหญ่พูดถึงจูบหัวใจอ่อนบางพลันวูบ ไม่กล้าสบตากับเขา ไม่กล้ามอง หัวใจเธอร้อน ร่างกายผะผ่าว มือชื้นเหงื่อ เขายังพูดอีกว่าไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่ น่าตายนัก พี่ชายคนนี้ จูบดูดลิ้นนัวเนียพันเกี่ยวขนาดนั้น ยังหน้าด้านหน้าทนบอกว่าไม่ผิด นี่พี่ใหญ่วิปริตไปแล้วอย่างนั้นหรือ
