บทที่ 3 TTS EP.2 Liar Game (1)

-Tankhun-

“หมอใหม่ ? ชื่อท็อป ?”

ผมเน้นคำตอบทีละคำของป๊าก่อนจะชะโงกหน้าออกไปจากเสาแล้วมองทั้งคู่ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม แหม...ปากยังไม่ทันจะสิ้นกลิ่นน้ำนมริอาจจะมีความรักนะไอ้มาเก๊า สายตามึงนี่แทบจะแดกไอ้หมอทงหมอท็อปอะไรนั่นเข้าไปอยู่แล้ว ละยังมีท่าทางสะดีดสะดิ้งนั่นอีกเห็นแล้วทุเรศลูกกะตาว่ะ อุบาทว์คน! คิดได้ดังนั้นผมเลยใช้มือตีดวงตาด้านขวาของตัวเองเบา ๆ สองสามทีก่อนจะดีดนิ้วออกเสมือนเป็นการแก้เคล็ดที่เหมือนไปเห็นสิ่งอัปมงคลเข้าให้ แหวะ! จะอ้วกโว๊ยยยยย!

“นี่มึงหยุดทำตัวพิลึกพิลั่นได้มั้ย!” ป๊าว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“แล้วป๊ามาโรงบาลทำไมอ่ะ” ผมเสสายตามองป๊าเล็กน้อยก่อนจะทอดสายตาไปยังจุดโฟกัสเดิมที่อยู่ตรงโต๊ะข้างตึกโรงพยาบาลด้วยความรื่นรมย์นั่น

“อื้อหือ...กูซึ้งใจมากนะที่มึงถาม ถ้ากูปวดไส้ติ่งมาป่านนี้คงตายห่าไปละมั้ง”

“งั้นเหรอ...” ผมพูดออกมาอย่างไม่สนใจคำประชดประชันของป๊านัก ก่อนในหัวจะผุดไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้ “ป๊าๆๆๆ” ผมรีบหันขวับเดินเข้าไปประจันหน้ากับป๊าแล้วจับต้นแขนของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น

“โอ๊ยย...อะไร๊!” ป๊าชักสีหน้าด้วยความรำคาญออกมา

“เวลาป๊าออกงานแล้วต้องแนะนำผมให้บรรดาเพื่อน ๆ ป๊ารู้จัก ป๊าจะพูดว่าไงนะ” ผมถามด้วยอาการเนื้อเต้น ป๊าทำหน้าเหวอใส่ผม แต่ผมก็ใช้สายตากดดันจนป๊าต้องทำหน้าปูเลี่ยนออกมาแล้วไหลไปตามน้ำตอบคำถามของผมอย่างไม่เต็มใจนัก

“ลูกชายคนโต ชื่อแทนคุณ”

“ห้ะ ? แค่นี้เองอ่ะ!” ผมว่าออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่คือการแนะนำตัวของลูกหลานตระกูลหลักที่มีอำนาจล้นเหลือ ยิ่งใหญ่เกรียงไกร สะเทือนบกสะเทือนน้ำที่ใครก็ไม่กล้าเทียบ แค่เดินเฉียดคนยังแทบจะหมอบคลานเข่าเลย อะไรวะ แค่นี้เองอ่ะ ? ป๊านี่แม่ง!!!

“เวลาออกงานมึงไม่ได้ฟังที่กูพูดกับแขกเลยสินะ” ป๊าเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึกเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์ให้ปกติสุขที่สุด ผมมากกว่ามั้งที่ต้องทำแบบ

นั้นอ่ะ ใช้ไม่ได้สักคน ไอ้พวกตระกูลหลักเนี่ย! ตระกูลรองมันถึงได้ใจริอาจจะปีนเกลียวข้ามหัวอยู่ทุกมื้อเชื่อวันขนาดนี้ โว๊ะ!

“ป๊า…หายใจเข้าลึก ๆ” ผมพยามตั้งสติแล้วบอกผู้เป็นพ่ออย่างใจเย็น...เขามองผมด้วยความงงงวยซ้ำไปซ้ำมาจนผมต้องเร่งเร้าเขา “หายใจเข้าลึก ๆเร็ว!”

“กูหายใจอยู่ ถ้าไม่หายใจกูก็ตายสิ!” ป๊าเอานิ้วคลึงขมับตัวเองเบา ๆ

“แค่นี้เส้นเลือดในสมองไม่แตกหรอก อย่ามา!!! มนุษย์เราไม่ตายง่ายแบบนั้นหรอกป๊าก็...แหม...” ได้ทีผมก็บ่นพึมพำยกใหญ่ ไม่เห็นมีไรน่าปวดหัวเลย ผมเห็นว่าตอนนี้มันกลับเป็นเรื่องราวสนุก ๆ มากกว่า

“เส้นเลือดสมองกูแตกละเอียดยิบมานานแล้วอีกนิดก็เข้าไอซียูแล้วโว๊ย! ไอ้เวรนี่!” ป๊าแหวใส่ผมถึงแม้เสียงจะไม่ดังเท่าไหร่นักแต่ผมก็เป็นกังวลอยู่ดี

“ชู่วว! จิ๊!เสียงดังทำไมอ่ะ” ผมมองไปที่เป้าหมายอีกครั้งกลัวว่าพวกมันจะไหวตัวทันเสียก่อน

“มึงจะเอาอะไรอ่ะไอ้แทนคุณ มึงว่ามา!” ป๊าว่าอย่างเหลืออด

“หนูอยากให้ป๊าแนะนำตัวหนูใหม่”

“ห้ะ ?” ไม่ใช่แค่ป๊าผมที่ร้องออกมาแต่รวมไปถึงไอ้พวกขี้ข้าที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหลังผมด้วย ผมรีบเอามืออุดปากพวกมัน ไอ้อาร์มคนแรกเลย มึงใกล้มือใกล้ตีนกูดีนักแถมด้วยการโบกกบาลมันเข้าไปซะหนึ่งทีโทษฐานทำตัวระยำหมา หลายดอกละนะ มึงอ่ะ!

“ป๊าว่าหนูเท่ป่ะ”

“ไม่!!!” ไม่ใช่แค่ป๊าอีกแล้ว! พวกมึงก็ด้วย!!!

“โอ๊ยยยยยย!!!!!” ผมเขย่งเท้ากระโดดตบไอ้พวกเฬวรากนี่เรียงตัวจนพวกมันส่งเสียงคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บแสบ

“สมน้ำหน้า! มึงด้วย! มึง! มึง! แล้วก็...” ระหว่างที่ผมไล่ฟาดพวกมัน แล้วจังหวะนั้นผมกำลังหันไปทางป๊าพอดีมือผมก็รีบหุบลงแนบเอาไว้ข้างลำตัวอย่างกระทันหัน อุ๊ย

! เพลินไปหน่อยเกือบล่อหัวบิดาบังเกิดเกล้าซะแล้วกูดีนะยั้งมือทันไม่งั้นได้เป็นเปรตวัดสุทัศน์แน่!

“กลับบ้านไปไป้! เกะกะโรงพยาบาล” ป๊าว่าพลางมองผมตาเขียวด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ไม่! ผมอยากให้ป๊าไปแนะนำผมกับไอ้หมอคนนั้น!” ผมยื่นคำขาดให้ป๊าด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยว ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวแล้วมองเพดานสีขาวที่ขณะนี้ผมเห็นว่ามันกำลังฉายภาพความน่ายำเกรงของตัวผม แล้วตัวผมเองก็นั่งอยู่บนบังลังก์มังกรที่ใครก็ปรารถนา มียศถาบรรดาศักดิ์ เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และคุณงามความดีมากมาย “นี่! ลูกชายผมชื่อ แทนคุณ ธีรปัญญากูร” ผมว่าพลางวาดแขนออกกว้างๆแล้วทำเสียงให้ดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่เวอร์วังอลังการ “เป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลักที่ทำงานหนักที่สุด เก่งกาจ เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ และที่สำคัญเป็นที่เคารพรักและน่ายำเกรงในเวลาเดียวกัน หึ! เพราะเขาคือคนเดียวที่จะกุมอำนาจทั้งหมดของตระกูล ด้วยภาระอันหนักอึ้งนั้นทำให้เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นผู้นำให้น้อง ๆ ที่สำคัญ ชื่อแทนคุณแปลว่า...แปลล” เมื่อผมส่งบทให้ป๊าเสร็จแล้วกำลังจะหันไปหาป๊าด้วยใบหน้าแจ่มใสก็พบว่าป๊าไม่ได้อยู่บริเวณนี้แล้วแต่เดินตรงไปที่ ณ จุดเกิดเหตุที่ผมให้ความสำคัญมาตั้งแต่ต้น “อ้าว!!! ป๊า! ยังบรีฟไม่เสร็จเลย!!!” ผมเดินไปบ่นไปพลันกระทืบเท้าไปด้วยความขัดใจว่าแต่...

“ไอ้มาเก๊าหายไปไหนวะ” ผมหันไปถามไอ้อาร์มที่ยืนทำหน้าท้อแท้อยู่ด้านหลังผม

“เห็นเดินคุยโทรศัพท์ออกไปสักพักแล้วครับ”

“ดี!!!!” ผมเห็นว่านี่คือทางสะดวกผมเลยรีบเดินจ้ำอ้าวไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนคุยอยู่กับหมอทงหมอท็อปอะไรนั่นด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง ผมรีบจัดชุดตัวเองให้เข้าที่เข้าทางดีนะวันนี้ไม่ได้ใส่ชุดรุ่มร่ามมาก แค่ใส่สเวตเตอร์เกล็ดทองเรียบ ๆ ซับในด้วยเสื้อตะข่ายเว้าอกสีดำ กางเกงหนังกับรองเท้าผ้าใบสีส้มตรงส้นเท้าเป็นรูปเปลวเพลิงไล่เฉดสีให้ดูฉูดฉาดสะดุดตาและสุดตีนนิดหน่อยแค่นั้นเอง คิดถูกชะมัดที่ไม่ได้ใส่ขนเฟอร์มา แบบนี้ผู้คนจะได้ไม่แตกตื่นมาก อิอิ

“สวัสดีป๊า” ผมเข้าไปคล้องแขนป๊าเอาไว้ด้วยใบหน้าชื่นมื่นรื่นรมย์

“เดือนแรกโอเคนะ...” หมอท็อปยืนคุยกับป๊าผม แม้จะดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันอยู่แล้ว และดูสนิทสนมกันดีอีกด้วยแต่เขาก็อยู่ในอาการสำรวม และทันทีที่ไอ้หมอนี่มันเห็นผม แน่นอนว่าต้อง...

ชะงัก!

นิ่ง!

อึ้ง!

ช็อค!

…หึ! ถ้าจะมองตาค้างขนาดนี้เพลงจังหวะตกหลุมรักเป็นอย่างนี้ เสี้ยววินาทีที่ได้พบเธอ ~ ก็ต้องขึ้นแล้วป่ะ ? มึงตกหลุมรักกูเหรอ เหอะ!!! กูชนะมึงว่ะไอ้มาเก๊า ฮ่าๆๆๆๆๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป