บทที่ 2
ครอบครัวที่ตาบอดแบบนี้ เขมจิราไม่ต้องการเลยสักนิด ถ้าเลือกได้ เธอก็อยากจะคืนเลือดในกายที่เป็นของพวกเขาให้หมดสิ้น
ชาติที่แล้วเธอถูกพี่กวินท์ทิ้งไว้ที่หน้าสวนสนุก ไม่นานก็หลงทาง เกือบจะถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวไป โชคดีที่ได้เจออาจารย์เข้าเสียก่อน ถึงได้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมมาได้
ทุกคนในห้องนั่งเล่นเมื่อเห็นว่าเขมจิราดูเหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่ที่จะจากไปจริงๆ ก็พากันตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมาสบตากัน
พวกเขาไม่เชื่อว่าเขมจิราจะกล้าตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาจริงๆ เพราะชีวิตเดิมของเธอนั้นยังไม่ถึงครึ่งของตระกูลทับทองเลยด้วยซ้ำ แค่บ้านที่เคยอยู่ก็ยังไม่หรูหราเท่าห้องแม่บ้านในคฤหาสน์ของตระกูลทับทองเสียอีก
เมื่อเห็นว่าเขมจิรากำลังจะไปจริงๆ ญาดาวีถึงได้ลุกขึ้นจากโซฟา ทำทีเป็นวิ่งเหยาะๆ ไปทางประตูแล้วยื่นมือไปดึงเธอไว้
“พี่คะ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ หนูไม่ได้คิดจะแย่งโควต้านี้กับพี่นะ แค่พี่ไม่ไป หนูยอมพี่ได้ทุกอย่างเลย อย่าไปถือสาพวกพี่ชายเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นคุณพ่อคุณแม่จะเสียใจ”
เขมจิราหยุดฝีเท้า หันกลับมาขมวดคิ้วมองมือที่จับแขนตัวเองอยู่ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปหยุดที่ใบหน้าของญาดาวี
เธอเห็นแววตายั่วยุในดวงตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ญาดาวียืนหันหลังให้คนอื่นๆ ที่อยู่บนโซฟา ไม่มีใครเห็นท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความลำพองใจของเธอในตอนนี้ได้เลย เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจ
ภายนอกทำทีเป็นเข้าใจผู้อื่น แต่ความจริงแล้วผลประโยชน์ทุกอย่างกลับตกเป็นของเธอทั้งหมด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขมจิราคงจะแฉญาดาวีตรงนั้นเดี๋ยวนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่ทำแล้ว ยังไงซะ คนพวกนี้ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร พวกเขาก็พร้อมจะเชื่อญาดาวีอยู่แล้ว
“ญาดาวี ที่ฉันทำแบบนี้มันไม่ถูกใจเธอหรอกเหรอ? จะมาเสแสร้งทำไมตรงนี้?”
เขมจิราแค่นเสียงเย็นชา พร้อมกับมองไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อไปว่า “ในเมื่อเธอยอมได้ทุกอย่าง งั้นก็เล่าเรื่องที่เธอทำมาทั้งหมดให้หมดเปลือกสิ เธอกล้าไหมล่ะ?”
ใบหน้าของญาดาวีซีดเผือด ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยราวกับจะล้มลงไปกองกับพื้น โชคดีที่นิติพงศ์เดินเข้ามาประคองเธอไว้ได้ทัน
“พี่คะ พี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า หนูไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีกับพี่เลยนะคะ ทำไมพี่ถึงได้เกลียดหนูขนาดนี้? หนูทำอะไรผิดไป พี่บอกมาสิคะ หนูจะแก้ไข”
ญาดาวีเอนตัวพิงไหล่ของนิติพงศ์ น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ไหลออกมา การแสดงที่ห่วยแตกจนไม่อยากจะมอง แต่พอคนในตระกูลทับทองเห็นเข้า กลับพากันจ้องเขมจิราตาเขม็ง
“ไม่ต้องหรอก ฉันรับไม่ไหว ที่เธอพูดแบบนี้ก็แค่แกล้งทำตัวน่าสงสาร อยากจะไล่ฉันออกจากตระกูลทับทองจริงๆ ใช่ไหมล่ะ? ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันไปเอง”
เขมจิราขี้เกียจจะเสียเวลากับญาดาวี ฟังคำพูดเสแสร้งของเธอแล้วจะอ้วกอยู่แล้ว
“พี่พงศ์คะ พี่ช่วยพูดกับพี่เขมหน่อยสิคะ ถ้าพี่เขมไม่ชอบหนูจริงๆ หนูก็จะไปเองค่ะ ยังไงซะพี่เขมก็เป็นคุณหนูตัวจริงของตระกูลทับทอง ส่วนหนูมันก็แค่ตัวปลอม”
ญาดาวีเริ่มปาดน้ำตาอีกครั้ง คุณหญิงมาลิณีทนดูต่อไปไม่ไหว เดินตรงเข้ามาดึงเธอไปกอดไว้ในอ้อมแขน แล้วลูบหลังเบาๆ
“ญาดาวีลูกรัก อย่าเสียใจไปเลยนะ ตราบใดที่แม่ยังอยู่ ใครก็ไล่ลูกไปไม่ได้ แม่บอกว่าลูกคือคุณหนูของตระกูลทับทอง ลูกก็คือคุณหนู”
“ใช่แล้ว ญาดาวี อย่าไปฟังที่เขมจิราพูดเลย เธอมันก็แค่คนใจแคบ”
ณัฐวีร์พูดเสริมขึ้นมา
ญาดาวีไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ซบไหล่คุณหญิงมาลิณี แล้วยกมุมปากขึ้นอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น
เป็นลูกแท้ๆ แล้วยังไงล่ะ? คนตระกูลทับทองก็ยังรายล้อมเอาใจเธออยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะมาแย่งของไปจากมือเธอได้ แม้แต่ของที่เธอไม่ต้องการแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์เก็บไป
“ฉันไม่มีเวลามานั่งดูพวกคุณแสดงบทแม่ลูกรักกันดูดดื่มหรอกนะ โอ้โห ซึ้งใจจริงๆ เลย พอพวกคุณซึ้งกันเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมเซ็นชื่อในหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ด้วยล่ะ”
เขมจิรามองคุณหญิงมาลิณีอย่างไม่อดทน พร้อมกับกอดอก ตอนที่เธอเพิ่งถูกตระกูลทับทองตามตัวกลับมาใหม่ๆ คนในตระกูลก็เร่งให้เธอย้ายทะเบียนบ้านเข้ามา ตอนนี้พออยากจะไป กลับยุ่งยากจริงๆ
“เขมจิรา เธอเลิกพูดจาประชดประชันแบบนี้สักทีได้ไหม ตลอดหลายปีมานี้มีแต่ญาดาวีที่อยู่เคียงข้างพวกเรา คอยกตัญญูดูแล ทำให้พวกเรามีความสุข แล้วเธอล่ะ ตอนนั้นเธอทำอะไรอยู่?”
คุณหญิงมาลิณีขมวดคิ้วจ้องเขมจิราเขม็ง หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ญาดาวีทำหน้าที่แทนเธอมาหลายปี แค่ขอให้เธอยอมสละรายการวาไรตี้ให้เขาเพื่อเป็นการชดเชยบ้างเท่านั้น เธอก็ต้องมาทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ เธอมันเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว”
“นั่นมันหนี้บุญคุณของคุณ ไม่ใช่ของฉัน ถ้าจะชดเชยก็ไปชดเชยกันเอง อย่ามาใช้ตรรกะวิบัติกับฉัน ที่สำคัญคือไอ้เรื่องคุณธรรมอะไรนั่น ตลอดหลายปีมานี้พวกคุณก็สอนให้ญาดาวีไปหมดแล้ว ฉันไม่เคยได้เรียน”
คำพูดของเขมจิราทำเอาคุณหญิงมาลิณีโกรธจนพูดไม่ออก แต่ก็ทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะตระกูลทับทองเป็นหนี้บุญคุณเธอจริงๆ
ภูมิรพีผู้เป็นพ่อซึ่งเงียบมาตลอด พอได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้ ขมวดคิ้วมุ่นแล้วตวาดถามเสียงเย็นชาว่า
“ที่เธอพูดมานี่ หมายความว่าเธอเกลียดพวกเราแล้วใช่ไหม?”
“ตอนที่เธอหายไป พวกเราเสียใจกันแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่รับเลี้ยงญาดาวี และคงไม่ตามหาเธอมาตลอดหลายปี พูดแบบนี้หมายความว่าพวกเราทำผิดงั้นเหรอ?”
พอญาดาวีได้ยินคำว่า “รับเลี้ยง” ก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน ความเกลียดชังที่มีต่อเขมจิราในใจก็เพิ่มขึ้นอีกสองส่วน เธอหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากว่า
“พี่คะ อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงพี่มากนะคะ หนูรู้ว่าหนูเป็นแค่ตัวแทนของพี่ ตอนนี้ในเมื่อพี่กลับมาแล้ว หนูก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปแล้วค่ะ หนูจะคืนคุณพ่อคุณแม่แล้วก็พวกพี่ชายให้พี่เอง”
เขมจิราเห็นท่าทีปาดน้ำตาของญาดาวีอีกครั้งก็รู้สึกขยะแขยง รีบโบกมือห้ามการแสดงของเธอ “เธอช่วยเลิกเสแสร้งได้ไหม ฉันกลัวว่าจะอ้วกออกมาจริงๆ”
พูดจบเธอก็หันไปมองภูมิรพี แล้วชี้ไปที่บัตรเครดิตบนโต๊ะ “ในนี้คือเงินทั้งหมดที่พวกคุณให้ฉันตลอดหนึ่งปีกว่าที่กลับมา ฉันยังฝากเงินเพิ่มเข้าไปอีกก้อน ถือซะว่าเป็นค่าเช่าบ้านกับค่ากินอยู่ของฉันตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาแล้วกัน”
“เขมจิรา คุณพ่อคุณแม่อุตส่าห์ขอร้องเธอขนาดนี้แล้ว ญาดาวีก็ยอมไม่เอาวาไรตี้ของเธอแล้ว เธอยังจะอาละวาดอะไรอีก?”
กวินท์ที่นั่งอยู่ริมสุดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาบ้าง แต่น้ำเสียงของเขาอ่อนกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ตลอดหนึ่งปีกว่าที่กลับมา กวินท์ดีต่อเขมจิราที่สุด พูดจากับเธออ่อนโยนที่สุด แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทำเธอหายไปเท่านั้น จริงๆ แล้วในใจก็ยังคงลำเอียงเข้าข้างญาดาวีอยู่ดี
เมื่อก่อน เธอยังเคยคิดว่าอย่างน้อยในใจของกวินท์ก็ยังมีเธออยู่บ้าง แต่เมื่อได้เกิดใหม่ในชาตินี้ เธอก็มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“ถ้าพี่ไม่พูด ฉันก็เกือบลืมพี่ไปแล้วนะ ตอนเด็กๆ พี่อยากจะเล่นเกมกับเพื่อนต่ออีกหน่อย เลยทิ้งฉันไว้คนเดียวที่หน้าสวนสนุก พูดให้ถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะพี่ไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ยังมีหน้ามาพูดกับฉันอีกเหรอ?”
เขมจิราหันหน้าไปมองกวินท์ ถ้าจะบอกว่าคนอื่นในบ้านนี้แสดงความเกลียดชังเธออย่างเปิดเผย กวินท์แห่งตระกูลทับทองก็คือคนที่เสแสร้งที่สุด
ทั้งๆ ที่ในใจรำคาญเธอจะตายอยู่แล้ว แต่ภายนอกกลับต้องทำเป็นห่วงใย จะมีก็แต่เรื่องที่เกี่ยวกับญาดาวีเท่านั้น ที่เขาไม่แม้แต่จะเสแสร้ง
กวินท์ถูกสายตาของเขมจิรามองจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เขาเบือนหน้าหนีอย่างแนบเนียนแล้วพึมพำว่า “นั่นมันเรื่องเมื่อไหร่กันแล้ว ฉันก็รู้แล้วว่าผิด นี่ก็กำลังชดเชยให้เธออยู่ไม่ใช่เหรอ?”
